นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 488 เป็นห่วงใต้หล้า
ตอนที่ 488 เป็นห่วงใต้หล้า
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามคำถามนี้ออกไป ในสำนักเสนาบดีราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาเสียงดัง
ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เยี่ยนเป่ยซีหันศีรษะไปมองฉินฮุ่ยจืออย่างมีความหมายแอบแฝง
ฉินฮุ่ยจือลุกขึ้น พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลว่า “เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีข้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ท่านฉิน ท่านรู้หรือยังว่าความรู้สึกในการถูกใส่ร้ายมันเป็นเยี่ยงไร ? ”
เขายกมือขึ้นทำท่าคารวะแล้วกล่าวว่า “ท่านฉินอย่าได้นำไปใส่ใจ นี่เป็นเพียงการทดสอบที่ข้าลองดูก็เท่านั้น ท่านมิต้องกังวลเช่นนั้น อีกอย่างหนึ่ง…ต่อให้องค์ชายสี่เอื้อประโยชน์แก่ท่านบ้าง แล้วเยี่ยงไรเล่า เยี่ยงไรเสียองค์ชายสี่อยู่ที่เมืองซีหรง ก็ต้องรับรู้เรื่องราวในวันนี้อยู่ดี ท่านว่าจริงหรือไม่ ? ท่านฉิน ! ”
ฉินฮุ่ยจือหันไปกำมือขึ้นแล้วคาราวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวความเท็จ ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงหลงเชื่อ กระหม่อมและองค์ชายสี่มิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน หาได้มีเรื่องมิบริสุทธิ์เยี่ยงที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวหากระหม่อมไม่”
ฮ่องเต้ลูบเครายาวของตนเอง “เสี่ยวกวนกล่าวแล้วว่า นั่นเป็นเพียงบททดสอบเท่านั้น ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจ”
ฉินฮุ่ยจือเบิกตากว้างขึ้นมาทันควัน เนื่องจากประโยคเมื่อครู่ของฝ่าบาททรงมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง
“ความจงรักภักดีที่กระหม่อมมีต่อฝ่าบาท ฟ้าดินเป็นพยานได้ ! ”
“ท่านฉิน คำเอ่ยเช่นนี้ผู้ใดก็เอ่ยได้ แต่ทว่าท่ามกลางความจงรักภักดีนี้ มักแฝงไปด้วยปิศาจร้าย ให้ข้าเดาดูหรือไม่ว่าปิศาจในใจของท่านฉินคือสิ่งใด”
“ท่านฟู่ ข้าหวังว่าท่านจะประมาณตนเองบ้าง ! ในวันนี้กล่าวถึงเรื่องการฟ้องร้องท่าน ท่านอย่าได้เบี่ยงเบนหัวข้อให้ผู้อื่นคล้อยตาม ! บัดนี้ข้าขอถามท่านว่า ท่านมิเข้าออกงานตรงตามเวลาจริงหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินกลับไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เขามิได้ตอบคำถามของฉินฮุ่ยจือ แต่กลับถอนหายใจออกมาและกล่าวช้า ๆ ว่า “ข้ามิประสงค์ที่จะใช้คนเก่าคนแก่ ณ ที่นี้ เนื่องจากข้ามองดูแล้ว พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นเช่นเดียวกับท่านฉินทั้งสิ้น”
“ความคิดล้าหลัง มิคิดก้าวหน้า มิรู้จักการปรับเปลี่ยน ยึดมั่นแต่หลักการเดิม ๆ… ขุนนางเยี่ยงท่านฉินนี้ หากทุกอย่างสงบสุขก็มิมีปัญหา แต่เมื่อใดที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมา คนเยี่ยงนี้จะมิกล้าหยิบมีดขึ้นต่อสู้ อีกทั้ง…หากพ่ายแพ้ก็คงจะยกธงขาวขึ้นมาอย่างง่ายดาย”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงนำคนรุ่นใหม่เหล่านั้นเข้ามาทำงาน ? เนื่องจากพวกเขาเป็นเยาวชนของราชวงศ์หยู พวกเขาดุจดั่งสุริยาที่เพิ่งขึ้นสู่ท้องนภา ! เเต่คนชราเยี่ยงท่านฉินมัวยึดติดอยู่แต่ในอดีต ส่วนเยาวชนราชวงศ์หยูพวกเขานึกถึงอนาคต ผู้ที่ยึดติดอยู่ในอดีตมักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง และรักษาสิ่งเดิม ๆ เอาไว้ แต่ว่าผู้ที่คิดถึงอนาคต เขาจะมีความหวังอยู่ภายในใจ และมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ”
“ท่านฉิน ลองคิดดูเถิดว่าท่านเป็นเช่นนี้จริง ๆ ใช่หรือไม่ ? คนชรามักชอบกังวลไปกับทุกสิ่ง ขี้ขลาดและอ่อนแอ ส่วนคนหนุ่มสาวมักจะมีความสุขเนื่องจากพวกเขากล้าที่จะแหกกฎและเปลี่ยนแปลงมัน”
“ในพระราชวังนี้มีผู้ที่คิดเฉกเช่นเดียวกับท่านฉินมิน้อยเสียทีเดียว ดังนั้นข้าจึงมิคาดหวังให้พวกเขาเข้ามาทำงานในกรมการค้า เพราะหากพวกเขาทำสิ่งใดมิเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งยังมาเป็นหินขวางทางเช่นวันนี้ ข้านั้นคงจะมิปล่อยพวกเขาเอาไว้เป็นแน่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างคมคาย ทำเอาขุนนางที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็ไร้ซึ่งวาจาที่จะโต้เถียง
ฝ่าบาททรงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ทรงนึกในใจว่าเรื่องนี้ข้าเป็นผู้ผลักดัน ดังนั้นข้าจึงยังมิใช่คนชราสินะ !
เยี่ยนเป่ยซีหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน เจ้าหมอนี่ช่างโจมตีรุนแรงยิ่ง โชคดีที่ข้านั้นเป็นผู้สนับสนุนนโยบายใหม่นี้
ต่งคังผิงและเยี่ยนฮ่าวชูสบตากัน แล้วต่างพากันคิดว่าเจ้าหมอนี่ปากร้ายมากยิ่งนัก โชคดีที่เจ้าหมอนี่เป็นลูกเขยของพวกเขา
สรุปคือ บัดนี้การฟ้องร้องนั้นไร้ซึ่งความหมายใด ๆ แล้ว เนื่องจากคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มฉินฮุ่ยจือนั้นเป็นพวกเฉื่อยชา
คำกล่าวว่านี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซัน !
ฉินฮุ่ยจือได้สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เป็นความหมายว่าเขาได้พ่ายแพ้แล้ว บัดนี้สิ่งที่ตนควรกระทำคือดึงตำแหน่งของตนในดวงใจของฝ่าบาทกลับคืนมาให้ได้เสียก่อน
ดังนั้นเขาจึงหันไปคารวะฝ่าบาทแล้วกล่าวว่า “เรื่องที่ท่านฟู่กล่าวมานั้น กระหม่อมมิอาจยอมรับได้ กระหม่อมนั้นศึกษาตำราศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เยาว์วัย เข้าใจถึงความทุกข์ยากของราษฎรทั่วหล้าดี นโยบายใหม่นี้มีประโยชน์กับพ่อค้า การที่พ่อค้าให้เกษตรกรเข้าไปทำงานในอุตสาหกรรม มองดูแล้วอาจเห็นว่าเป็นการช่วยหางาน แต่แท้จริงแล้วพวกพ่อค้าเพียงแค่ต้องการขูดเลือดขูดเนื้อจากเกษตรกรเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้น”
“กระหม่อมคิดว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พื้นที่ทำการเกษตรจะรกร้าง แล้วธัญญาหารจะไปเอามาจากที่ใดกัน ? เมื่อถึงเวลานั้น แคว้นก็จะมิเป็นแคว้นอีกต่อไป จะเสียใจในตอนนั้นก็คงมิทันแล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็นึกในใจว่า ตาเฒ่านี่ยังมิถอดใจ !
“คำเอ่ยของท่านฉินเป็นกระต่ายตื่นตูมอย่างแท้จริง ผู้ใดบอกกับท่านว่าผืนนาจะรกร้าง ? ท่านนั่งอยู่ที่พระราชวังนี้ก็สามารถตัดสินอนาคตของแคว้นได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เขาลุกขึ้นคารวะฝ่าบาท แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทควรจะส่งขุนนางผู้ล้าหลังเหล่านี้ไปยังจุดทดลองเสียหน่อย ให้พวกเขาได้ไปเห็นการเป็นอยู่ของราษฎรภายใต้นโยบายใหม่นี้ พวกเขาจะได้มิมากล่าวเรื่องไร้สาระเหล่านี้ให้เสียเวลาของกระหม่อมอีก…”
“ทุก ๆ 3 ลมหายใจกระหม่อมจะมีรายได้มากถึง 10,000 ตำลึง ฝ่าบาททรงคำนวณดูว่ากระหม่อมเสียเวลาไปแล้ว 2 เค่อ จะขาดรายได้ไปเท่าใดกัน ? ท่านฉินจะรับผิดชอบไหวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฝ่าบาทตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ทุก ๆ 3 ลมหายใจเยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน แล้วหันไปคารวะต่อขุนนางทั้งหลาย
“ผู้ที่อยู่ในพระราชวังล้วนเป็นห่วงราษฎร ส่วนราษฎรทั่วไปเป็นห่วงฮ่องเต้ นี่คือพื้นฐานของการเป็นหนึ่งในราชวงศ์หยู ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ จะเป็นห่วงกังวลใต้หล้านี้เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยแสวงหาความสุขส่วนตน ! ”
“ข้านั้นได้รับพระกรุณามาจากฝ่าบาท บัดนี้ประโยคเมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่ในหัว บัดนี้ราชวงศ์หยูมิได้อยู่ในความสงบสุข สิ่งที่พวกเราต้องทำนั้นยังมีอีกมากโข เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ในใต้หล้ายังมิได้รับการแก้ไข อีกทั้งยังมิถึงช่วงเวลาแห่งความสุข”
“ดังนั้นข้าจะขอเอ่ยเตือนคนประเภทท่านฉินไว้ว่า เมื่อพวกท่านกินอิ่มนอนหลับแล้ว ให้นึกถึงความยากลำบากของราษฎรเสียบ้าง ให้ครุ่นคิดบ้างว่าจะทำเยี่ยงไรให้ราษฎรมีความสุขสมหวังได้ ! ”
“ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการมากมายอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ไปหวังว่าจะมิมารบกวนข้าด้วยเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี้อีก ข้าขอตัว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคสุดท้ายออกมา จากนั้นก็คารวะฮ่องเต้ก่อนจะเดินออกไป บัดนี้เหลือเพียงบรรดาขุนนางที่นั่งมองตามหลังเขาไปเท่านั้น
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้า “อืม ดีเยี่ยม ! ผู้ที่อยู่ในพระราชวังต้องเป็นห่วงราษฎร ส่วนประชากรทั่วไปเป็นห่วงฮ่องเต้ ! นึกถึงความยากลำบากของราษฎรเสียบ้าง ครุ่นคิดบ้างว่าจะทำเยี่ยงไรให้ราษฎรมีความสุขสมหวังได้ ! แบบนี้สิถึงจะเป็นขุนนางที่ข้าต้องการ ! พวกเจ้าลองถามตนเองดูว่า พวกเจ้านั้นมีความคิดสูงส่งเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ? พวกเจ้าเคยคิดถึงอนาคตเยี่ยงนี้หรือไม่ ? ”
ฮ่องเต้หยุดลงชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “เขาคือบุตรเขยที่ดีเยี่ยมของข้า ตัวเขานั้นอายุยังมิถึง 18 ปี แต่พวกเจ้าใกล้จะ 80 ปีกันแล้ว ! พวกเจ้าใช้ชีวิตไร้ค่ากันอย่างแท้จริง ! ”
“ฮุ่ยจือ ข้ามิได้อยากจะว่าเจ้า แต่เจ้าสามารถกล่าวดังเช่นที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาได้หรือไม่ ? เจ้าสามารถคิดในระดับสูงเช่นฟู่เสี่ยวกวนได้หรือไม่ ? ฟ้องร้องเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาฟ้องร้องกัน ? หากว่าพวกเจ้าเอาใจใส่แคว้นอย่างแท้จริง ยามราตรีก็จงไปดูที่กรมการค้าด้วยตาของตนเองเถิด ! ”
“ในขณะที่พวกเจ้านอนหลับสบายอยู่บนเตียงนุ่น ๆ แต่คนในกรมการค้านั้นยังทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ แต่เหตุใดจึงมีความแตกต่างเหลื่อมล้ำมากถึงเพียงนี้กัน ? บัดนี้ข้าได้เข้าใจแล้วว่า หน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้มิได้อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่เยาวชนทั้งแคว้น และข้าจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนได้มองเรื่องเหล่านี้ออกเนิ่นนานแล้ว ! ดังนั้น พวกเขาเยาวชนแห่งราชวงศ์หยู จะพาแคว้นของพวกเราก้าวหน้าไปอย่างแน่นอน ! ”
“นับแต่นี้สืบไป เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับกรมการค้าจะมีเพียงข้าเท่านั้นที่คอยจัดการดูแล สำนักเสนาบดีจะมิมีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องอันใดอีก ! ”