นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 505 อย่าได้กล่าวถึงเรื่องในอดีตอีก
ตอนที่ 505 อย่าได้กล่าวถึงเรื่องในอดีตอีก
เขาคือสวี่เช่ากวง บิดาของสวี่หยุนชิง ท่านตาของฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงที่เบาะ สีหน้าของสวี่เช่ากวงปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
ชายชราหลับตาลงและเคาะบักฮืออีกครา ปากยังคงพึมพำต่อไป ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟัง จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังท่อง ‘พระสูตรมหาปรินิพพาน’
ทุกสิ่งบนโลก ล้วนมีเกิดและมีดับ
แม้อายุขัยจะหาที่สุดมิได้ ถึงเยี่ยงไรก็ต้องหมดลง
มีรุ่งเรืองย่อมมีถดถอย มีพบก็ต้องมีพราก
……
เสียงเคาะหยุดลง สวี่เช่ากวงลืมตาขึ้นมาอีกครา และหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน
“ประคองข้าที แล้วเดินไปกับข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนประคองสวี่เช่ากวงขึ้น จากนั้นจึงพากันเดินออกมาจากห้องพระ เมื่อยืนอยู่ภายใต้แสงสุริยา ถึงได้พบว่าชายผู้นี้ได้ชราภาพโดยแท้
เดิมที คิดว่าสวี่เช่ากวงจะเล่าเรื่องของมารดาให้เขาฟัง คาดมิถึงว่าอีกฝ่ายจะมิเอ่ยอันใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
“การที่สามารถหวนคืนมาพบกันได้ ข้ารู้สึกยินดียิ่งนัก”
“ข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าตั้งมากมาย เคยได้อ่านบทประพันธ์ของเจ้ามาก่อน ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง ข้ารู้สึกดีใจมากยิ่งนัก”
“และในวันนี้ เจ้าได้เติบใหญ่ สมรสมีครอบครัวแล้ว ทั้งยังเป็นขุนนางคนสำคัญของฝ่าบาท เจ้าคงจะยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก… จงไปเถิด หากมีเวลาว่างค่อยกลับมาพบกันอีก”
ฟู่เสี่ยวกวนโน้มคารวะ “ท่านตา หากข้ามีเวลาว่างข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก”
“อืม เจ้าไปเถิด”
“ขอตัวลา”
สวี่หวยซู่เดินมาส่งฟู่เสี่ยวกวนถึงลานและได้เอ่ยถามขึ้น “เหตุใดเจ้ามิสนทนากับเขาให้มากกว่านี้อีกสักหน่อยเล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนทำหน้าไร้เดียงสา “ข้ามิรู้ว่าจะสนทนาเรื่องใดกับเขา หรือจะให้มองหน้ากับเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลกันเล่า ? ”
ก็จริง ! อย่างน้อยตนก็เคยร่วมเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋กับฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน ทั้งยังมีปากเสียงกันเล็กน้อย สองตาหลานคู่นี้คงจะมิทราบว่าจะสนทนาเรื่องใดกันอย่างแท้จริง
“ช่างเถิด ๆ… แล้วเมื่อใดเจ้าจะนำบุตรีของข้ามาส่ง ? ”
“นางได้รับบาดเจ็บ เมื่อรักษาจนหายดีแล้ว ข้าจะนำตัวมาส่ง ระหว่างนี้ท่านก็กรอกชื่อของนางเข้าทะเบียนบ้านให้เรียบร้อยเสีย”
“นางพักฟื้นอยู่ที่ใด ? ”
“จวนของข้าเยี่ยงไรเล่า”
“…” ทันใดนั้น สวี่หวยซู่ก็หันไปมองหน้าฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมปานจะก้มกราบ เด็กนี่ห้าวหาญถึงเพียงนี้เชียว คาดมิถึงว่าจะกล้าพาอนุไปพักถึงที่จวน
ฟู่เสี่ยวกวนต้องโกหกภรรยาทั้งสามเป็นแน่ มิเช่นนั้น คงมิมีสตรีใดยอมรับเรื่องแบบนี้ได้หรอก
สมองของสวี่หวยซู่ถูกเติมเต็ม ทว่าเป็นการเติมเต็มแบบแปดเก้าไม่ถึงสิบ ข้อผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวคือการที่เขาปักใจเชื่อไปแล้วว่าสตรีผู้นั้นคืออนุของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง
ฟู่เสี่ยวกวนออกจากจวนสวี่และกลับไปยังจวนฟู่พร้อมกับซูเจวี๋ย จากนั้นจึงได้เดินเข้าไปในเรือนซีเซวี๋ย
ถงเหยียนยังคงนอนอยู่บนเตียง ทว่าเปลือกตาของนางได้เปิดขึ้นเนิ่นนานแล้ว นัยน์ตานั้นช่างว่างเปล่ายิ่ง
“ข้าได้ช่วยชีวิตฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้… เดิมทีข้าต้องสังหารเขา… แต่ทว่าตอนนั้น ในใจมีเพียงความคิดที่ว่าถ้าช่วยเขาก็จะสามารถช่วยผู้คนอีกมากมายบนผืนปฐพีนี้ได้”
“สถานที่นี้คือจวนฟู่ สตรีแสนงดงามเมื่อเช้าคงจะเป็นภรรยาของเขา แล้วเขาจะทำเยี่ยงไรกับข้า ? ส่งตัวให้ทางการ ? หรือว่าจะสังหารข้าหลังจากที่เค้นความจริงเรื่องแผนการของลัทธิจันทราได้สำเร็จ ? ”
“เล่าลือกันว่าขุนนางระดับสูงเยี่ยงเขา มักจะเหยียบย่ำคราบโลหิตเพื่อไต่เต้าให้ตนเองสูงขึ้น หากสามารถกวาดล้างลัทธิจันทราได้ คาดว่าคงจะได้รับคุณงามความดีครายิ่งใหญ่ เพื่ออนาคตของเขา… เกรงว่าเขาจะลงมือกับข้าทุกวิถีทาง”
ในยามที่ถงเหยียนกำลังคิดฟุ้งซ่าน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้ามา
เขานั่งลงที่ขอบเตียง จดจ้องใบหน้าที่ดูแปลกตาทว่างดงามที่อยู่เบื้องหน้าของเขา จากนั้นจึงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน…
นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของถงเหยียนเยี่ยงนั้นหรือ ?
ให้ตายเถอะ ! ความงามของนางมิได้ด้อยไปกว่าภรรยาทั้งสามของตนเลยสักนิด !
ถงเหยียนฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย เติบโตขึ้นในภูเขา แม้ตอนนี้ใบหน้าอันงดงามของนางจะซีดเผือด แต่ทว่าก็ยังคงจิตวิญญาณความองอาจเอาไว้อยู่ นางมีนิสัยบ้าระห่ำที่ภรรยาทั้งสามของเขามิมี แม้แต่ในดวงตาคู่นั้นก็มีความดื้อรั้นแฝงอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนเคยคิดว่าจะสามารถควบคุมตนเองได้ดี แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของนาง จิตใจก็ได้บังเกิดความหวั่นไหวขึ้นมา
“แค่ก แค่ก…” เขายกชายแขนเสื้อขึ้นปิดปากและกระแอมไอออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงกลืนน้ำลาย และได้โยนความหวั่นไหวในใจทิ้งไป แล้วกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่จริงจังเป็นอย่างยิ่งว่า
“ในตอนนี้เจ้าต้องจดจำทุกคำที่ข้ากล่าว เพราะสิ่งนี้จะเกี่ยวพันถึงความเป็นและความตายของเจ้า ! ”
“เจ้าเอ่ยมาเถิด การช่วยชีวิตของเจ้าเป็นเพียงความคิดชั่ววูบเท่านั้น โดยพื้นฐานพวกเรายังคงเป็นศัตรูต่อกันอยู่ ทางที่ดีเจ้าควรสังหารข้าเสีย มิเช่นนั้น เกรงว่าภายภาคหน้าอาจจะเป็นข้าที่ใช้กระบี่บั่นคอเจ้า”
“บุตรสาวจวนใดบ้าง ที่วัน ๆ เอาแต่เอ่ยถึงเรื่องต่อสู้ฟาดฟันกันเยี่ยงเจ้า ? ในภายภาคหน้าเจ้าต้องเรียนปักผ้า ! ”
ปักผ้า… ถงเหยียนตาโตขึ้นมาทันพลัน จากนั้นจึงผุดรอยยิ้มขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนใจกระตุก แม่นางผู้นี้ร้ายกาจนัก ร้ายยิ่งกว่าเปียนหรงเอ๋อผู้นั้นเสียอีก
เปียนหรงเอ๋อดึงดูดใจผู้คนได้ ส่วนรอยยิ้มของแม่นางผู้นี้ก็สามารถล่อลวงให้หลงใหลได้เช่นกัน !
ฟู่เสี่ยวกวนรีบเก็บอารมณ์ของตนเอง แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “จากนี้ต่อไป นามของเจ้าคือสวี่ซินเหยียน จงลืมชื่อถงเหยียนของเจ้าไปเสีย เจ้าคือสวี่ซินเหยียน ! ”
“เจ้าเกิดในจวนสวี่ บิดามีนามว่าสวี่หวยซู่ ปัจจุบันเป็นเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์หยู… กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้าได้หาบิดาให้แก่เจ้าแล้ว ดีใช่หรือไม่ ? ”
ถงเหยียนมิได้ตอบกลับอันใด แต่กำลังจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่…
หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
เหตุใดต้องแก้ชื่อเปลี่ยนแซ่ด้วยเล่า ? ทั้งยังหาครอบครัวที่ร่ำรวยให้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย “ด้วยเหตุผลอันใดกัน ? ”
“มิใช่เพราะอันใดหรอก เจ้าช่วยข้าไว้และข้ามิชอบติดหนี้บุญคุณผู้อื่น ดังนั้น ข้าจึงช่วยชีวิตเจ้าเป็นการตอบแทน จะได้มิติดหนี้บุญคุณต่อกันอีก”
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของข้าเป็นผู้ใด ? ”
“เจ้าคือสวี่ซินเหยียน เป็นญาติผู้พี่ของข้า ! ”
ถงเหยียนคิ้วขมวดเล็กน้อย เขารู้ว่านางคือผู้ใดทั้งที่มิได้เอ่ยถาม มิเคยเอ่ยถามอันใดเลย… หรือว่าเขาต้องการช่วยนางอย่างแท้จริง หรือนี่จะเป็นเพียงกลยุทธ์ประวิงเวลา เพื่อให้นางเล่าความลับของลัทธิจันทราให้เขาฟังหลังจากที่นางตายใจแล้วกัน ?
“สำหรับเอกสารของจวนสวี่ ประเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าหนึ่งฉบับ เจ้าต้องท่องจำให้คุ้นชิน นอกจากนี้ในภายภาคหน้า อย่างน้อยก็ก่อนที่ลัทธิจันทราจะล่มสลาย เจ้าจะมิสามารถออกไปข้างนอกได้ ข้ากังวลว่าเจ้าจะถูกคนของลัทธิจันทราตามสังหาร ส่วนวรยุทธ์ของเจ้าถูกศิษย์พี่ใหญ่สกัดจุดปิดเอาไว้ และจะยังมิเปิดคืนให้กับเจ้าในขณะนี้ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าทำเรื่องโง่เง่า หากต้องมาตามเก็บศพเจ้าอีก คงจะวุ่นวายมากเสียทีเดียว”
“ตอนนี้อาการของเจ้ายังคงสาหัสนัก ให้พักอยู่ในจวนนี้ไปก่อน ได้รับยาสูตรพิเศษของศิษย์พี่ใหญ่รับรองว่าเจ้าจะหายเร็วขึ้น นอกจากนั้น… เจ้าควรทานให้มากขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อเสียเลือดมากก็ต้องเสริมเข้าไปให้มากตาม จะได้มิป่วยเรื้อรัง”
“หากต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ก็สามารถเรียกใช้บ่าวในเรือนได้ มิต้องเกรงใจ ทำตัวเหมือนเป็นบ้านของเจ้าได้เลย เพียงแค่อย่าวิ่งไปวิ่งมาและอย่ารื้อข้าวของในจวนก็พอ”
ระหว่างคิ้วของถงเหยียนคลายออก แม้ว่าความระแวงในจิตใจยังมิได้รับการปล่อยวางโดยสิ้น แต่นางก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง เขาหาใช่คนธรรมดาทั่วไปไม่ หากเป็นแบบนี้แล้วจะเป็นการนำปัญหามาเพิ่มให้กับเขาหรือไม่ ?
“ให้กล่าวตามจริง รูปลักษณ์ของเจ้าค่อนข้างเป็นภัยโดยแท้ เฮ้อ… เกรงว่าภายภาคหน้าจะเสียเปรียบให้กับไอ้สารเลวหน้าไหนเข้า ! ” ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจพลางส่ายหน้า ฝ่ายถงเหยียนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ พลางกัดริมฝีปากเล็กน้อยและหลบสายตา
“จงพักฟื้นอย่างสบายใจเถิด อย่ากังวลเรื่องอื่น ข้าต้องไปพบเหล่าภรรยาของข้าแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินจากไปโดยมีถงเหยียนมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับสายตา หวนนึกไปถึงเหตุการณ์บนรถม้าในคืนนั้น ใบหน้าก็พลันแดงก่ำขึ้นมาอีกครา รู้สึกราวกับตนจะเสียเปรียบให้กับไอ้สารเลวผู้นี้ไปเสียแล้ว !