นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 514 วันแสนสบายวันหนึ่ง
ตอนที่ 514 วันแสนสบายวันหนึ่ง
เดือนหนึ่ง วันที่ห้า
เมืองจินหลิง หลังหิมะตกหนัก ฟ้าสีครามปลอดโปร่ง อากาศเย็นยะเยือก
ในที่สุดก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน ดื่มชาร้อนต้มสดใหม่กับซูเจวี๋ยอย่างสบายใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ภูเขาชิงหยุนไกลจากเมืองจินหลิงมากหรือไม่ ? ”
“ออกจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปทางตะวันออกแล้วเดินทางต่อราว 300 ลี้”
นับว่าไกลพอควร ฟู่เสี่ยวกวนจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินทางไปยังภูเขาชิงหยุน แล้วหันมาเอ่ยถามถึงสวี่ซินเหยียน “แม่นางผู้นั้น ต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนานหรือไม่ ? ”
“ใกล้จะหายดีแล้ว”
“นาง…นางมีอาการผิดปกติอันใดหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยครุ่นคิดแล้วตอบว่า “แม่นางผู้นั้นตื่นมานั่งสมาธิและฝึกตนทุกเช้า ปกตินางมักจะสนทนากับซูซูเสียมากกว่า แต่พออยู่คนเดียวช่างดูเงียบเหงายิ่ง เยี่ยงไรเสียนางก็เติบโตขึ้นในลัทธิจันทรา ที่เมืองจินหลิงก็ไร้ญาติขาดมิตร คงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักพัก”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เอ่ยถามนางเกี่ยวกับลัทธิจันทรา ตั้งแต่เข้าปีใหม่ยังมิได้เดินทางไปเยี่ยมนางเลยด้วยซ้ำ ประการแรก คือตนยุ่งเป็นอย่างมาก อีกประการ…เกรงว่าจิตใจของตนเองมิหนักแน่นพอ
สวี่ซินเหยียนมิเหมือนกับซูซู !
สตรีทั้งสองแม้งดงามเหมือนกัน แต่ซูซูก็อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น นางชอบกินขนมและใช้ชีวิตประจำวันด้วยการเที่ยวเล่น ในสายตาของตนมองนางมิต่างจากเด็ก
แต่สวี่ซินเหยียนที่อายุยี่สิบแล้ว เรือนร่างของนางช่างยั่วยวนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาว ราวกับลูกท้อที่สุกงอมเต็มที่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนกลัวว่าตนจะทนไม่ไหวและเอื้อมมือไปเด็ดมาลิ้มลอง เขามิใช่นักบวช จะให้ตัดความต้องการเหล่านี้ไปได้เยี่ยงไร
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางช่างดีเสียจริง นับตั้งแต่เริ่มฝึกก็รู้สึกว่าตนมีพลังมากกว่าเดิม ราวกับกินยาบำรุงชั้นเลิศเข้าไป เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเหลือบไปมองศิษย์พี่ใหญ่ บุรุษผู้นี้ช่างมีจิตใจที่แน่วแน่เสียจริง ฝึกตนจนถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว มิรู้ว่าอดทนมาได้เยี่ยงไร
ทั้งสองสนทนากันไปเรื่อยเปื่อยตามปกติของวงน้ำชา กลิ่นอายสดชื่นของยามเช้าช่างหอมอบอวลยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้กับซูเจวี๋ยหนึ่งถ้วยและรินให้ตนเองด้วยหนึ่งถ้วย เขายกมันขึ้นดื่มจนหมด บัดนี้ความคิดมิได้อยู่ที่สวี่ซินเหยียน แต่กลับนึกถึงฟู่ต้ากวน
โจวถงถงพาตัวเกาเสี่ยนกลับไป ดูจากวันเดินทางแล้ว บัดนี้น่าจะถึงเมืองกวนหยุนเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าไทเฮาซีย่อมมิปรารถนาที่จะให้โจวถงถงเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัยเป็นแน่ ขันทีเจี่ยกล่าวว่าตาเฒ่าโจวถงถงผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก คนที่ไทเฮาซีส่งมาจัดการล้วนมิอาจทำอันตรายเขาได้เลย
หากมิสามารถจับโจวถงถงได้ ก็มิอาจจับฟู่ต้ากวนได้เช่นกัน
ทว่าเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว โจวถงถงควรส่งข่าวคราวมาบ้างจึงจะถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวของอู๋หลิงเอ๋อร์ เขามิเชื่อว่าแม้เเต่องค์กรเยี่ยงหอเทียนจียังมิอาจเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูได้
อู๋หลิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์ ไทเฮาซีประกาศว่าเด็กคนนั้นคือบุตรของเขา… สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกโมโหมากยิ่งนัก หากมิใช่เพราะสองแคว้นนี้ห่างกันถึง 3,000 ลี้ ก็อยากจะนำทัพดาบเทวะบุกเข้าไปในเมืองกวนหยุนด้วยเช่นกัน แล้วจับนางปิศาจมาโบยเสียให้เข็ด จึงจะสามารถบรรเทาความแค้นลงได้
แต่ผู้ใดคือพ่อของเด็กในท้องของอู๋หลิงเอ๋อร์กันแน่ ?
นางได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี หากมีคนรักก็ควรเรียกตัวเข้าวังอย่างถูกต้องเปิดเผย เหตุใดจึงทำลับ ๆ ล่อ ๆ เปิดโอกาสให้นางปิศาจทำเช่นนี้ได้กัน ?
ยิ่งคิดก็มิอาจเข้าใจได้ จึงมิได้คิดถึงมันอีก
ฟู่เสี่ยวกวนวางเรื่องของอู๋หลิงเอ๋อร์ไว้ อยู่ ๆ ซูเจวี๋ยก็เอ่ยถามขึ้นมา “เมื่อมิกี่วันก่อนในจวนเยี่ยน ที่เจ้าเอ่ยถึงแคว้นอันงดงาม มีอยู่หลายจุดที่ข้ามิเข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าที่เจ้ากล่าวมานั้นมีเหตุผล ดังนั้นจึงได้เขียนจดหมายส่งให้ท่านอาจารย์ฉบับหนึ่ง อาจารย์ก็ได้ตอบกลับมาฉบับหนึ่งเช่นกัน”
“ท่านว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ท่านกล่าวว่า…เส้นทางนี้แสนยาวไกล ข้าจะรอดู”
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตาโพลง “…นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูเจวี๋ยหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้กับฟู่เสี่ยวกวน “นี่ไง ท่านอาจารย์กล่าวเช่นนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าอ่าน แล้วยกยิ้มขึ้น
ท่านอาจารย์ที่มิเคยพบหน้ากันมาก่อน แสร้งตอบได้ดีเสียทีเดียว เขาคงมิเข้าใจ เพียงแต่คืนนั้น ตนได้ประมาทเลินเล่อไปบ้าง แต่ทว่าเมื่อกล่าวออกมาแล้วก็มิมีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก
อีกประการ บัดนี้ตัวตนของเขาแตกต่างไปจากตอนที่อยู่หลินเจียงอย่างสิ้นเชิง ผู้คนในราชวงศ์หยูที่สามารถล้มเขาได้มิมีอยู่จริง ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็มิสามารถ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังกลับไปราชวงศ์อู๋ได้
“ศิษย์น้องเล็ก แคว้นอันงดงามเช่นนั้น…ทำได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“แน่นอนว่าทำได้ แต่ยังมิใช่ตอนนี้ เป็นอนาคตอันยาวไกล”
ซูเจวี๋ยดูผิดหวังไปเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามต่อ “พวกเราต้องการเปลี่ยนความคิดสู่คนรุ่นหลัง กรงนกมิอาจพังทลายได้โดยง่าย คล้ายการลอกรังไหมต้องค่อย ๆ จัดการทีละชั้น แต่นี่คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกเอาไว้ เมื่อถึงเวลานั้น…”
สวี่ซินเหยียนและซูซูได้เดินเข้ามาในศาลาเถาหรานพอดิบพอดี
ซูซูเดินไปนั่งลงบนชิงช้าประจำตัวของนาง ส่วนสวี่ซินเหยียนนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเขินอาย จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่ายว่า “เมื่อถึงเวลานั้นจะเป็นเยี่ยงไร ? ”
หัวใจของฟู่เสี่ยวกวนเต้นโครมคราม เขายกน้ำชาขึ้นดื่มแล้วยิ้มตอบ “เมื่อถึงตอนนั้น ผู้คนในเมืองจะอาศัยอยู่บนอาคารสูง สินค้าในเมืองจะมีมากมาย มีสิ่งที่สามารถส่งต่อเสียงได้ในระยะทางพันลี้ ผู้คนจะนั่งอยู่ที่บ้านเหมือนที่พวกเรานั่งอยู่ในศาลาแล้วใช้สิ่งนั้นสั่งอาหารจากหอซื่อฟางโดยมิต้องก้าวเท้าออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว”
แววตาของสวี่ซินเหยียนเป็นประกาย “ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
ซูซูเบ้ปาก “คุยโวอีกแล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “เจ้าจะคิดว่าข้าคุยโวก็ได้ แต่สิ่งนั้นแสนมหัศจรรย์ยิ่ง ผู้คนจะสามารถบินอยู่บนท้องฟ้าด้วยสิ่งที่เรียกว่าเครื่องบิน เดินทางจากเมืองจินหลิงไปเมืองกวนหยุน โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วยามเท่านั้น”
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา สุริยาขึ้นสู่ขอบฟ้าแล้ว ทว่ามิได้เจิดจ้าจนแสบตา นัยน์ตายังเต็มไปด้วยความคิดถึง
“ผู้คนในตอนนั้น สามารถเดินทางไปยังจันทราได้ แต่บนจันทรามิได้มีฉางเอ๋อร์หรือตำหนักกว่างหานหรอก เป็นเพียงพื้นที่โล่งกว้าง มิมีแม้แต่หญ้าสักต้น อีกทั้งยังมีคนแซ่หม่าที่อยากไปเหยียบดาวอังคาร กล่าวว่าจะสร้างเมืองขึ้นบนดาวอังคาร”
“สรุปโดยรวม นั่นคือยุคสมัยที่งดงามยิ่ง น่าเสียดายที่เจ้าหรือข้า พวกเราล้วนมิมีโอกาสได้เห็น”
ซูเจวี๋ยตกตะลึงมากยิ่งขึ้น สวี่ซินเหยียนอ้าปากค้างมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาหลงใหล ส่วนซูซูเอียงคอคล้ายกับกำลังคิดอยู่ว่า ดาวอังคารคือที่ใดกัน
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ? ” ซูเจวี๋ยเอ่ยถาม
“หากข้าบอกว่า…. ข้าเดินทางมาจากยุคสมัยนั้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยขยับหมวกแล้วพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจังพร้อมกับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าเชื่อ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงขึ้นมาทันพลัน…เรื่องไร้สาระถึงเพียงนี้ก็ยังเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ?
“ข้าเพียงคุยโวเท่านั้น”
“ถึงเป็นเพียงคำคุยโวของศิษย์น้องเล็ก ข้าก็เชื่อ ! ”
ให้ตายเถอะ ! ศิษย์พี่ใหญ่ช่างหน้ามืดตามัวเสียจริง
ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบศีรษะ พลางยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด นั่นคือเรื่องของอนาคต พวกเราควรใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน…”
เขาหันไปมองสวี่ซินเหยียนแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “บัดนี้ เจ้ามิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิจันทราแต่อย่างใดแล้ว ข้าจะมิเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องของลัทธิจันทราจากเจ้า เพียงหวังว่าเจ้าจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมาและใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น”
สวี่ซินเหยียนก้มหน้าลง แววตาดูเงียบเหงาแล้วพยักหน้าเบา ๆ