นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 543 ความทะเยอทะยาน
ตอนที่ 543 ความทะเยอทะยาน
“ท่านลุง มื้อนี้ข้าขอฝากท้องด้วยขอรับ”
เว่ยอู๋ปิ้งกำลังแขวนตะเกียง ส่วนเว่ยฉางเจิ้งพยักหน้าทักทายจงสือจี้ที่เดินเข้ามา “สือจี้ มานั่งก่อนเร็วเข้า”
พอจงสือจี้ได้ยินดังนั้น เขาก็เดินเข้ามานั่งยังฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวว่า “ท่านลุง เซียงหานไปไหนหรือ ? ”
“นางคงออกไปเที่ยวเล่นซุกซนอยู่ที่ใดสักที่… เด็กคนนี้คึกคะนองยิ่ง ข้ากลัวว่าบิดาของเจ้าจะมิชอบใจเท่าใดนัก” พอกล่าวถึงนาง เว่ยฉางเจิ้งจึงยกจอกสุราที่จงสือจี้รินให้ขึ้นดื่ม พลางคิดในใจว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้เหตุใดถึงได้ชอบนางกัน หลังผลัดกันรินสุราเสร็จก็กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “เซียงหานเรียนการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเยาว์ แตกต่างจากข้าที่เป็นบิดามากยิ่งนัก ตอนนี้บิดาของเจ้าเป็นถึงนายอำเภอ เกรงว่าจะหนักใจกับนางเข้าสักวัน แต่เพราะครอบครัวของเราเป็นสหายที่ดีต่อกันเสมอมา เจ้ากับเซียงหานจึงพาลกลายเป็นคู่หมายกันตั้งแต่ยังเยาว์ไปด้วย”
“เฮอะ… ! ” เว่ยอู๋ปิ้งเดินเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงข้าง ๆ จงสือจี้ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นผู้มีการศึกษาสูง มิกลัวว่าวันข้างหน้าจะถูกน้องสาวของข้าทุบตีจนต้องคุกเข่าขอความเมตตาจากนางหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
จงสือจี้หัวเราะออกมา “หากโดนน้องเซียงหานทุบตี ก็ถือว่าข้าได้รับพร ! ”
เว่ยอู๋ปิ้งจ้องหน้าจงสือจี้เขม็ง “เจ้า… มิมีศักดิ์ศรีแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ? แต่ข้าก็ชอบคนหนังหนาเยี่ยงเจ้ามิน้อย ที่ทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้นได้”
เว่ยหลี่ยกอาหารเข้ามา 5 จาน พอวางไว้บนโต๊ะเสร็จก็เช็ดมือทั้งสองข้างบนผ้ากันเปื้อนที่สวมไว้ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นถึงบุตรชายของนายอำเภอ เซียงหานของเรามิเข้าใจกฎระเบียบเอาเสียเลย เจ้าลองไตร่ตรองดูอีกคราเถิด”
“ท่านป้า ข้าขอเอ่ยตามตรงก็แล้วกัน ตั้งแต่ข้าอายุได้ 16 ปี ในใจของข้าก็มีแต่น้องเซียงหานมาโดยตลอด ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอด 3 ปี จนบัดนี้น้องเซียงหานเติบโตเป็นหญิงสาวแล้ว แต่ข้าก็ยังคิดเช่นนั้นมิเปลี่ยนแปลง”
กล่าวยังมิทันจบ ก็ได้ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากด้านบนดัง ‘ฟึบ ! ’ จากนั้นก็มีเสียงก่นด่าตามมาว่า “คนไร้ยางอาย แอบคิดถึงข้ามาตั้ง 3 ปีเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นางคือหญิงสาวอายุราวสิบหกย่างสิบเจ็ดปี หากมองเป็นผู้หญิงก็ดูสวย แต่หากมองเป็นผู้ชายก็หล่อเหลายิ่ง มัดผมเปียยาว สวมเสื้อแขนสั้น ดูสะอาดสะอ้าน
นางเดินมานั่งตรงเก้าอี้ กัดริมฝีปากแล้วมองไปทางจงสือจี้ จากนั้นก็เบนสายตาไปมองบิดาเว่ยฉางเจิ้ง แล้วกล่าวว่า “กองทัพที่ตั้งค่ายอยู่ด้านนอกกำลังรอใครบางคนอยู่ ลูกเห็นว่ายังมาอีก 3 คน”
“พวกเขาไปที่ใด ? ”
“เข้าไปในภูเขาแล้ว ลูกกลัวว่าจะมีสงครามเกิดขึ้น… ท่านพ่อเป็นกองทัพชายแดนตะวันตกใช่หรือไม่ ? ”
“อย่าได้เอ่ยส่งเดช กองทัพชายแดนตะวันตกคือทหารของฝ่าบาท จะเป็นอย่างอื่นไปได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“แต่ตอนที่ลูกอยู่ในเมืองเปา ลูกได้ยินมาว่ากองทัพชายแดนตะวันตกหันหลังกลับ มิเช่นนั้น… กองทัพชายแดนใต้จะเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้เพื่อสิ่งใดกัน ? ”
พอเว่ยอู๋ปิ้งได้ยินดังนั้นเขาจึงหันมามองน้องสาว “เจ้าไปทำอันใดที่เมืองเปา ? ”
ใบหน้าของเว่ยเซียงหานเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีที่โดนพี่ชายถาม นางมองไปที่จงสือจี้ “ข้าไปที่นั่นก็เพื่อไปหาเจ้าโง่นี่ แต่นึกมิถึงว่าเขาจะมาที่นี่แทน นี่… เจ้าโง่ ข้ายังได้ยินมาอีกเรื่องหนึ่งว่าฝ่าบาทได้เปิดสอบคัดเลือกข้าราชการในวันที่สามเดือนห้า เพื่อเลือกผู้มีคุณสมบัติไปรับราชการที่ว่อเฟิงเต้า ข้าเคยได้ยินเจ้าเอ่ยว่าตนเป็นผู้มีความรู้และมีพรสวรรค์มิใช่หรือ เหตุใดมิไปลองดูล่ะ ? ”
พอได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้หัวใจของจงสือจี้ก็พลันพองโตขึ้นมาทันที “มิต้องรีบหรอก รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วง ข้าจะพาเจ้าไปเมืองจินหลิง”
เว่ยเซียงหานทำหน้ามุ่ยและจ้องเขม็งไปที่เขา “ข้ากลัวว่าเจ้าจะมิมีความกล้า…” เอ่ยเสร็จนางก็หันไปทางบิดาเว่ยฉางเจิ้ง “คนทั้งสามนี้เดินทางมาจากจินหลิงและใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 7 วันก็มาถึงที่นี่ ! ”
เว่ยฉางเจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาจิบสุราเข้าไปและเอ่ยถามว่า “เจ้าบอกว่าพวกเขามาจากจินหลิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! คนเหล่านั้นมีน้ำใจ หลายคนในเมืองได้เห็นกับตาตนเอง แต่ชายหนุ่มผู้นั้นค่อนข้าง… จะเอ่ยเยี่ยงไรดี เขาดูเหนื่อยแต่ก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือโดยมิหวังผลตอบแทนใด ๆ มิสนชื่อเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น ดูเป็นคนจิตใจดี เขาบอกว่าทุกคนในเมืองต้องอพยพไปที่เหลียงโจว นายอำเภอได้ประกาศแล้ว เอ่อ… พ่อของเจ้านั่นแหละ เขาจะส่งเจ้าหน้าที่มาแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอีกที”
“มิมีทาง…” เว่ยอู๋ปิ้งตกใจจนอ้าปากค้าง “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
ใบหน้าของเว่ยฉางเจิ้งเคร่งเครียด “ดูเหมือนว่าเป็นไปได้จริง ๆ ที่กองทัพชายแดนตะวันตกกบฏ ถ้าเช่นนั้นเรื่องเข้าป่าพรุ่งนี้คงต้องยกเลิกไปก่อน ถ้าเป็นดั่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวมา พวกเราต้องรีบออกเดินทางโดยเร็ว”
“กองทัพชายแดนใต้มีทหารกว่าแสนนายมิใช่หรือ ? ”
“แต่กองทัพชายแดนตะวันตกมีถึง 300,000 นาย ! ”
จงสือจี้หันไปมองเว่ยเซียงหานแล้วเอ่ยกับนางว่า “น้องเซียงหาน รู้หรือไม่ว่ากลุ่มคนเมื่อครู่นี้คือผู้ใด ? ”
“อ่า… ข้าคิดออกแล้ว ข้าได้ยินนายพลหนุ่มสนทนากับชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงว่า… กองพลดาบเทวะที่สามคารวะใต้เท้าฟู่ ช่างเป็นพิธีการที่น่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งนัก และดูเหมือนจะ… ท่านพี่เป็นอันใดไป ? ”
เว่ยอู๋ปิ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่น้องสาวกล่าวมาก็ได้มีสีหน้าตื่นตกใจ “เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? กองพลดาบเทวะที่สาม ? ใต้เท้าฟู่ ? ”
“ใช่ ! พวกเขากล่าวเยี่ยงนี้”
เว่ยอู๋ปิ้งหน้าแดงเพราะความตื่นเต้นขึ้นมาทันพลัน เขากำหมัดแน่น แล้วเอ่ยอย่างดุดันว่า “ดาบเทวะ กองกำลังพิเศษดาบเทวะ พวกเขามาแล้ว ! ใต้เท้าฟู่… ต้องเป็นฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เจวี๋ยเย ! ข้าจะไปตามหาพวกเขา ! ”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้ว เขาก็วิ่งไปคว้าคันธนู ลูกศร และขวาน ฝ่ายเว่ยเซียงหานมองพี่ชายตนเองด้วยความประหลาดใจ “ไอหยา ! โตถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดจึงวู่วามกัน ? อีกสามเดือนพี่ก็จะแต่งงานแล้วนะ ! ”
เว่ยอู๋ปิ้งเตรียมธนูและขวานด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปบอกกับเจวียนเอ๋อร์ประเดี๋ยวนี้ นางต้องสนับสนุนข้าอย่างแน่นอน”
“รอเดี๋ยว ! ”
เว่ยฉางเจิ้งเอ่ยเรียก “มานี่ ! ”
เว่ยอู๋ปิ้งเดินเข้าไปหาบิดาด้วยความรู้สึกเป็นกังวล เพราะกลัวว่าจะถูกบิดาขัดขวาง
เว่ยฉางเจิ้งเทสุราสองจอก สำหรับตนหนึ่งจอก อีกหนึ่งจอกยื่นให้เว่ยอู๋ปิ้ง แล้วหันไปเอ่ยกับภรรยาว่า “ไปเตรียมเนื้อมา เอาเนื้อหมีนะ…”
พอเว่ยหลี่ได้ยินเช่นนั้นนางก็เดินหายเข้าไปทางห้องครัวทันที เว่ยฉางเจิ้งจึงหันมาเอ่ยกับเว่ยอู๋ปิ้งว่า “เมื่ออยากไปถึงเพียงนี้ เจ้าต้องมีไหวพริบ ข้าหวังว่าเจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังดาบเทวะ… ข้าขอให้เจ้าสมปรารถนา ! ”
“ขอบคุณท่านพ่อ ! ”
เว่ยอู๋ปิ้งดื่มกับบิดาหนึ่งจอก แล้วรับห่อผ้ามาจากมารดา กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าจะนำตำแหน่งแม่ทัพมาฝากพวกท่านให้จงได้ ! ”
“แม่มิต้องการตำแหน่งแม่ทัพ ขอเพียงแค่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็พอ ! ”
“ได้ขอรับ ท่านพ่อท่านแม่รักษาสุขภาพด้วย ข้าต้องไปแล้ว ! ”
……
เว่ยอู๋ปิ้งก้าวออกจากธรณีประตูโดยมิหันกลับมามองอีก
เว่ยหลี่มองตามหลังบุตรชายด้วยสายตาเป็นห่วง “พวกเรามีลูกชายเพียงแค่คนเดียว ยังมิทันได้อุ้มหลานเลย”
เว่ยฉางเจิ้งปลอบใจภรรยา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิว่า “ลูกผู้ชายที่ดีต้องปกป้องบ้านเมืองและมีความทะเยอทะยาน ! ”
“แต่ข้ากลัว ! ”
“มิต้องกลัว พลทหารเหล่านั้น ล้วนเป็นดวงใจของมารดาทั้งสิ้น”
จงสือจี้มองไปทางเซียงหานด้วยความรู้สึกผิดแล้วเอ่ยพึมพำว่า “อันที่จริงแล้ว… ข้าเองก็อยากไป”
“เจ้าจะไปทำอันใด ? ”
“ข้าได้อ่านบทกวีและได้อ่านหนังสือมากมาย ได้ศึกษากลยุทธ์ทางการทหารมามิน้อย ดังนั้น… ข้าจึงสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับนายทหารชั้นผู้น้อยได้ ! ”
“ล้มเลิกความคิดนี้เสีย เจ้าคิดว่าตนเองสามารถไล่ตามพวกเขาได้ทันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จงสือจี้ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน “ข้าเป็นผู้ศึกษาตำราแล้วจะมิใช้ประโยชน์ได้เยี่ยงไร ? ข้าเองก็เป็นลูกผู้ชาย ต้องมีความทะเยอทะยาน ! ”