นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 546 วุ่นวาย
ตอนที่ 546 วุ่นวาย
เขตเปาเฉิงทำให้จงเชียนปวดหัวมากยิ่งนัก
เมื่อวานนี้ ได้รับจดหมายจากฟู่เจวี๋ยเยสั่งให้ชาวบ้านภายใต้การดูแลของตนอพยพไปยังเมืองเหลียงโจว แต่ทว่าในเช้าวันนี้ ขุนนางที่ส่งออกไปกลับมารายงานข่าวร้ายว่า
“ใต้เท้า ชาวบ้านมิยอมอพยพขอรับ”
“มิยอมก็ต้องไป นี่คือคำสั่ง ! ”
“มิใช่เยี่ยงนั้น ขอใต้เท้าอย่าเพิ่งมีโทสะ พวกชาวบ้านหมายความว่าในเมื่อฟู่เจวี๋ยเยยังเดินทางไปยังแนวหน้าด้วยตนเอง ในเมื่อเขามิกลัว แล้วชาวบ้านจะกลัวอันใดกัน ? ”
จงเชียนชะงักไปชั่วครู่ “แล้วพวกเขาต้องการทำสิ่งใดกัน ? ”
“พวกชาวบ้านกล่าวว่า… จะรวบรวมกองทหารอาสาสมัคร เพื่อส่งข้าวส่งน้ำให้กับฟู่เจวี๋ยเยขอรับ”
“ไร้สาระ ! นี่เป็นความคิดของผู้ใดกัน ? ”
“เรียนใต้เท้า นี่คือ… นี่คือความคิดของบิดาท่านใต้เท้าขอรับ”
“……”
ตระกูลจงเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจแห่งเมืองเปา สมาชิกของตระกูลจงล้วนได้รับการยกย่องอย่างสูง โดยเฉพาะจงปู้หยู่ บิดาของจงเชียน ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน เขาได้รับตำแหน่งจวี่เหรินในปีไท่เหอที่ยี่สิบหก อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลจง
แม้ว่าชายชรามิได้เป็นขุนนางแล้ว แต่ทว่าเมื่อตอนเขายังเยาว์ เขาได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ มากมาย ได้พบเห็นโลกภายนอกและมีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังรักผืนปฐพีของตนยิ่ง
ในเมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว คำเอ่ยของตนที่เป็นเพียงนายอำเภอจะไปมีค่าอันใดกัน
แต่ทว่านี่คือคำสั่งจากฟู่เจวี๋ยเย หากฝ่าฝืนเกรงว่าเมื่อถึงเวลาที่ศัตรูบุกมาจากทางสายเก่าจินหนิวได้ อาจจะมีผู้สูญเสียจำนวนมาก !
จงเชียนจิตใจร้อนรนราวกับไฟ เอ่ยถามขึ้นมาว่า “บิดาข้า… บัดนี้อยู่ที่โถงบรรพบุรุษตระกูลจงหรือไม่ ? ”
“มิอยู่ขอรับ ท่านไปยังร้านค้าตระกูลเว่ย”
“…เตรียมรถม้า ข้าจะเดินทางไปพบบิดา ส่วนคนที่เหลือมีผู้ใดยินยอมอพยพหรือไม่ ? ”
“เรียนใต้เท้า อ่าคือ…มิมีแม้แต่คนเดียว ชายหนุ่มทั้งหลายในเมืองเปาล้วนเดินตามความคิดของท่านหัวหน้าตระกูลจงกันทั้งสิ้น บัดนี้ในแต่ละครัวเรือนจึงเหลือเพียงสตรี เด็ก และคนชรากำลังย่างขนมเปี๊ยะ กล่าวว่าจะส่งไปให้ฟู่เจวี๋ยเย อ่า…ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ เมื่อวานหลังจากที่ข่าวได้เเพร่กระจายออกไป ก็ได้มีคนจากเหลียงโจวจำนวนมากเดินทางมา พวกเขา… พวกเขากล่าวว่าจะเดินทางไปยังแนวหน้า”
จงเชียนมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก เขาคิดว่าการสู้รบนั้นเป็นเรื่องของทหาร แล้วชาวบ้านเยี่ยงพวกเจ้าจะเข้าไปวุ่นวายเพื่ออันใดกัน ?
“บ้ากันไปหมดแล้ว ! ”
ผู้ช่วยนายอำเภอผู้นั้นโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยเห็นว่าพวกเขามิได้บ้า”
จงเชียนตะคอกเสียงดังลั่น “เช่นนั้นเป็นข้าที่บ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หามิได้ ใต้เท้าก็มิได้บ้าขอรับ ข้าน้อยได้ยินชาวบ้านกล่าวกันว่า บัดนี้ท่านเสี่ยวกวนได้ผลักดันนโยบายใหม่ และตั้งใจทำเพื่อให้ราษฎรได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุข แต่โจรเหล่านั้นกลับมิต้องการให้แผ่นดินสงบสุขจึงได้ก่อกบฏขึ้น ทำให้ท่านเสี่ยวกวนรู้สึกมิสบายใจ อีกทั้งยังทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวจากการสู้รบ ดังนั้น…พวกเขาเพียงต้องการช่วยท่านเสี่ยวกวนจากใจจริง เพื่อให้เหตุการณ์ความมิสงบในครานี้สิ้นสุดลงโดยเร็ว”
……
……
เจี้ยนหนานตงเต้า กองทัพของเซวี๋ยติ้งชานวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ บรรดาขุนนางและชาวบ้านทั้งหลายยังมิทันได้รับรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น กองทัพของเซวี๋ยติ้งชานก็ได้มาถึงด่านชีผานแล้ว
จะทำสงครามแล้วจริงหรือ ?
จากนั้น เฟ่ยอันก็ได้กระจายข่าวที่เซวี๋ยติ้งชานก่อกบฏออกไป ชาวบ้านที่เจี้ยนหนานตงเต้าก็รู้สึกมิพอใจเป็นอย่างมาก ได้ยินมาว่าปีนี้ฝ่าบาทได้จัดตั้งเมืองนำร่องขึ้น 10 แห่งและเจี้ยนหนานตงเต้าก็อาจจะได้รับจัดตั้งถึง 2 เมือง
เรื่องราวเหล่านี้ถูกเผยเเพร่มาจากหลินเจียง เขตเหยา ผิงหลิง และชวูอี้เนิ่นนานแล้ว อีกทั้งยังมีพ่อค้าบางรายเดินทางไปดูสถานที่จริงมาแล้วด้วย ชีวิตของชาวบ้านที่เขตเหยาเรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ส่วนที่ผิงหลิงและชวูอี้ทั้งสองเขตแม้กำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง แต่ชาวบ้านก็มิต้องกังวลเรื่องอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มอีกต่อไปแล้ว
ส่วนตระกูลโจ่งและตระกูลหยูแห่งเจี้ยนหนานตงเต้านับว่าเป็นสองในห้าตระกูลการค้าที่ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หยู ทั้งสองตระกูลได้ส่งตัวแทนที่มีความสามารถไปยังว่อเฟิงเต้าแล้ว และพวกเขาจะทำการลงทุนขนาดใหญ่ที่นั่น
แต่ทว่าเซวี๋ยติ้งชานกลับมาก่อกบฏเอาเสียได้ !
ก่อกบฏหามารดามันหรือ !
จะทำลายผลประโยชน์ของพวกข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
หัวหน้าตระกูลโจ่งและตระกูลหยูรวมหัวกัน รู้สึกว่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปมิได้แล้ว หากไอ้เซวี๋ยติ้งชานทำให้ราชวงศ์หยูวุ่นวายขึ้นมาอย่างแท้จริง แล้วฟู่เจวี๋ยเยจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลว่อเฟิงเต้ากันเล่า !
พวกเราต้องช่วยกันแบ่งเบาภาระให้กับฟู่เจวี๋ยเย ต้องทำให้ความวุ่นวายในครานี้สิ้นสุดลงโดยเร็ว มิเช่นนั้น ฟู่เจวี๋ยเยคงวุ่นเสียจนมิมีเวลา
ในขณะที่ทั้งสองตระกูลกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็ได้มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามา แล้วรายงานอย่างรีบร้อนว่า “เรียนนายท่าน นกพิราบส่งสารนำจดหมายมา กล่าวว่า… ว่าฟู่เจวี๋ยเยเดินทางมาจากเมืองจินหลิง บัดนี้เกรงว่าใกล้จะถึงสนามรบแล้วขอรับ”
หัวหน้าตระกูลทั้งสองมองหน้ากันแล้วสูดหายใจเข้าลึก
หัวหน้าตระกูลโจ่งลุกขึ้นยืนด้วยความเดือดดาล “เพล้ง ! ” เสียงกระเบื้องหล่นกระทบพื้นจนแตกกระจาย “จงรีบไปแจ้งให้สมาชิกคนสำคัญในตระกูลโจ่งทราบว่าจะมีการประชุม ณ โถงบรรพบุรุษตระกูลโจ่ง ! ”
ฟากหัวหน้าตระกูลหยูเองก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน เขายกมือลูบเครายาว สีหน้าดูจริงจังและกล่าวว่า “เช่นนั้น… ข้าเองก็ต้องกลับไปประชุมเช่นกัน เพื่อสังหารกบฏ ตระกูลหยูของข้าขอนำเงินจำนวน 300,000 ตำลึงออกมาสนับสนุนและมอบให้ท่านแม่ทัพเฟ่ยอัน ! ”
“ดี ! ข้าก็มีความคิดเช่นนั้น ! ”
เมืองหลินจื๋อได้รับการสนับสนุนจากตระกูลพ่อค้าใหญ่ทั้งสองตระกูล ทำให้ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวันก็ได้เกิดปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ขึ้น
ชายหนุ่มจำนวนมากเข้าร่วมการรบ เพียงหนึ่งวันผ่านไป เมืองหลินจื๋อก็ได้มีทหารอาสาสมัครทั้งสิ้น 80,000 คน !
ในวันที่ยี่สิบหก เดือนสอง ข่าวการปราบปรามกบฏที่ตระกูลโจ่งและตระกูลหยูสนับสนุน ก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว โดยใช้เวลาไม่นานก็ได้แพร่ไปถึงหัวเมืองใหญ่และเจี้ยนหนานตงเต้า
หลังจากเฟ่ยอันได้ทราบข่าวนี้ เขาก็ได้สั่งให้กองทหารรักษาการณ์ของเมืองใหญ่ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่หลินจื๋อ จนกระทั่งวันที่ยี่สิบเก้า เดือนสอง ทหารอาสาสมัครแห่งหลินจื๋อก็มีจำนวนมากถึง 280,000 นาย ! กองทหารรักษาการณ์มีจำนวน 120,000 นาย ! รวมทั้งสิ้นมีทหาร 400,000 นาย !
เฟ่ยอันเดินทางมาถึงเมืองหลินจื๋อ ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มในการจัดระเบียบกองทัพเหล่านี้ ในวันที่หนึ่ง เดือนสาม เขาได้นำทหารทั้งสี่แสนนายมุ่งหน้าไปยังเมืองเจี้ยนโจว
แต่ทว่านี่คือกองทัพจับฉ่ายอย่างแท้จริง
นอกจากทหารจำนวน 120,000 นายที่มีชุดเกราะและอาวุธครบมือแล้ว ที่เหลืออีก 280,000 นายมีเพียงเสื้อเกราะ และมีทหารจำนวน 60,000 นายไม่มีแม้แต่อาวุธ
พวกเขาสวมชุดผ้า ในมือถือจอบ เคียวและขวาน ติดตามเฟ่ยอันไปโดยไร้ความกังวลใด เพื่อมุ่งตรงไปยังแนวหน้า
ต้องชนะเท่านั้น !
เฟ่ยอันมิเคยพบเจอกับสงครามที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นน่ายกย่องเช่นนี้มาก่อน !
ผู้คนเหล่านี้ช่างมีพลังฮึกเหิมยิ่ง แต่ละคนมีดวงตาแดงก่ำ ถามผู้ใดก็ได้คำตอบว่า “ฟู่เจวี๋ยเยสามารถให้ชีวิตที่ดีแก่พวกเราได้ ไอ้ชาติหมาเซวี๋ยติ้งชานจะเอาชีวิตของฟู่เจวี๋ยเยไปมิได้ พวกข้ามิยอมเป็นแน่ ฆ่ามันเสีย ! ชีวิตของข้า ต่อให้ตายไป ในวันข้างหน้าลูกเมียก็ยังได้มีชีวิตที่ดีสืบต่อไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ! ”
กองทหารเดินหน้าไปอย่างเงียบ ๆ เฟ่ยอันรู้สึกซาบซึ้งใจมากยิ่งนัก
เจ้าหมอนั่น…มิได้พบหน้ามาปีกว่า ระยะเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ เขากลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถทำให้ผู้คนทั่วหล้ารวมใจเป็นหนึ่งได้ ช่างเป็นเยาวชนแห่งราชวงศ์หยูที่เก่งกาจเสียจริง !
……
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวน เยาวชนผู้เก่งกาจในสายตาของเฟ่ยอัน กำลังนั่งอยู่บนพื้นเพราะความเหนื่อยหอบจนลิ้นห้อย
เขากัดแผ่นขนมเปี๊ยะเข้าไปแล้วทำสีหน้าประหลาดใจ “หากจะว่าไป นี่ก็ปาเข้าต้นเดือนสามแล้ว กองทัพของเซวี๋ยติ้งชานควรบุกมาที่นี่เสียที เหตุใดยังไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวกัน ? ”
สวี่ซินเหยียนกัดขนมเปี๊ยะเข้าไปเช่นกัน นางจะรู้เรื่องเหล่านี้ได้เยี่ยงไร “เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล เกรงว่ายังมิถึงเวลาที่จะพบกัน”
ทหารแนวหน้าของหงเหนียงจื่อยังมิได้เผชิญหน้ากับกองกำลังหลักที่หยูชุนชิวจัดไว้ในหุบเขาต้าเยี่ยน เพราะนางได้พบความลำบากคราใหญ่เข้าแล้ว