นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 552 ดาบของเฮ้อซานเตา
ตอนที่ 552 ดาบของเฮ้อซานเตา
ทหารราบซีหรงจำนวน 150,000 นาย ตั้งแถวเรียงรายไปตามริมฝั่งของแม่น้ำ
ทหารจำนวนมากมายก่ายกอง ดาบและปืนมีอยู่เต็มไปหมด เสียงคำรามแหบแห้ง ท่าทางดุร้าย ปรากฏอยู่ในแววตาของเฮ้อซานเตา
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ เขาจึงได้รู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
กองทหารแนวหน้าข้ามแม่น้ำมาแล้ว
เฮ้อซานเตาลอยตัวไปยังริมฝั่ง
ทหารราบซีหรงพากันเงยหน้ามองเฮ้อซานเตาที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ ให้ตายเถอะ นั่นมันผู้มีความสามารถระดับสูงนี่ !
แม้ไม่มีอาวุธในมือ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้มีความสามารถขั้นที่หนึ่งอย่างแน่นอน !
เมื่อมีความคิดนี้เกิดขึ้น ทหารที่เดิมทีล้อมที่นี่เอาไว้ก็ได้ถอยหลังไปหนึ่งก้าว หนึ่งก้าวและอีกก้าวหนึ่ง จนกระทั่งเปิดออกเป็นทางเดิน
หัวหน้าของกองทหารที่ขึ้นฝั่งอย่างราบรื่นทำการขอบคุณเฮ้อซานเตา หากในกองทัพมีผู้มากความสามารถเช่นนี้อยู่ จะยังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีกกันเล่า
“บุก… ! ”
เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา ตามด้วยเสียงดัง ตุ้บ ! นั่นคือเสียงเฮ้อซานเตาที่ตกลงมาท่ามกลางทหารแนวหน้าของศัตรู เขาหล่นใส่ทหารนายหนึ่งเสียจนเป็นล้มพับอยู่ใต้ร่าง ส่งผลให้ศัตรูกลุ่มนั้นตกใจเสียจนต้องหันหลังวิ่งหนี
เฮ้อซานเตารีบลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่าทางมึนงง นี่เกิดอันใดขึ้นกัน ?
ข้ามีพลังเก่งกาจเยี่ยงนี้ด้วยหรือ ?
หรือเป็นเพราะฟู่เจวี๋ยเยมาเข้าสิง ?
เขายื่นมือออกไปหยิบดาบจากมือของทหารที่สลบขึ้นมา แล้วรีบก้าวขาวิ่งตามไป ปากก็ตะโกนไม่หยุดว่า “เจ้าโจรชั่ว มอบชีวิตให้ข้าเสียเถอะ ! ”
เฟ่ยอันข้ามแม่น้ำไปแล้ว เขาเหลือบสายตาไปมอง มิเลวเลยนี่ เพียงแค่คนเดียวก็สามารถทำให้ศัตรูแหวกทางกว้างเช่นนี้ได้…ว่าแต่ เจ้าทหารนายนั้นมีนามว่าอันใด ? ช่างกล้าหาญดุเดือดเสียจริง บุกเข้าใส่ศัตรูเพียงลำพังราวกับไล่เสือไล่สิงห์ !
รอเสร็จจากสงคราม เขาจะเรียกมาทำความรู้จักเสียหน่อย ผู้มีความสามารถเช่นนี้ ย่อมเป็นทหารแนวหน้าได้อย่างแน่นอน !
เฮ้อซานเตาวิ่งตามไป อยู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมา จากนั้นจึงมองซ้ายมองขวา ไอหยา…นี่มันศัตรูทั้งนั้นเลยนี่ !
แล้วคนของฝ่ายข้าเล่า ?
เขายกมือขึ้นบังดาบของศัตรูที่ฟันลงมา ให้ตายเถอะ มือเริ่มเจ็บแล้ว เขารีบหันหลังกลับไปมอง พบว่าสหายทหารนายอื่นอยู่ห่างจากตนถึง 3 จั้ง
ข้าต้องตกตายอยู่ที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาหันหลังและวิ่งออกไปทันที ศัตรูที่วิ่งเข้ามาก็พากันงุนงง เขาเก่งกาจถึงเพียงนี้ จะวิ่งไปที่ใดกันเล่า ?
ควรตามหรือมิตามไปดี ?
เขาต้องมีแผนการณ์บางอย่างเป็นแน่ มิตามไปจะดีกว่า
เดิมทีเฮ้อซานเตาคาดว่าตนต้องมิรอดเป็นแน่ แต่เขากลับมีชีวิตรอดมาได้โดยไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เขาวิ่งเข้ามาหาสหายทหารนายอื่น ความกล้าหาญจึงกลับมามากขึ้น เมื่อเห็นว่าสหายทหารด้านข้างหลบดาบจากศัตรูได้ เขาจึงย่อตัวลง หยิบมีดออกมาแล้วแทงเข้าไป ‘ฉึก ! ’ แหวกท้องของศัตรูออกจากกัน…
อ่า… ความรู้สึกเวลาฆ่าคนมันเป็นเยี่ยงนี้เองหรือ ?
เลือดสด ๆ พุ่งทะลักออกมา ทำให้ทหารหน้าใหม่หลายนายวิงเวียนศีรษะเสียจนเป็นลมหรือมีอาการผิดปกติไป นั่นรวมไปถึงเฮ้อซานเตาด้วย เพียงแต่อาการผิดปกติของเขาแตกต่างจากผู้อื่น
เขาดีอกดีใจและตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นอย่างไม่สามารถบรรยายได้ !
เมื่อเขาเห็นเลือด เปรียบเสมือนได้เห็นหญิงงามจากหอนางโลม อีกทั้งยังเป็นแม่นางเลื่องชื่อ เขามีความรู้สึกเช่นนี้
มันช่างผ่อนคลายอารมณ์ยิ่ง ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ เขาลืมทุกสิ่งอย่าง และรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทั้งตัว
สมองซีกซ้ายและขวาหุนหันพลันแล่น เขาจึงหยิบดาบขึ้นมาและฟาดฟันไปทางศัตรู ดาบละคน ละคน ยิ่งฆ่าก็ยิ่งสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เลือดของศัตรูสาดมาบนใบหน้า เขารู้สึกราวกับชีวิตของตนกำลังอยู่บนจุดสูงสุด !
ดังนั้น กองทหารที่หนึ่งจึงเกิดภาพที่น่าประหลาดใจขึ้น
ทหารนายหนึ่งทั่วทั้งร่างถูกอาบไปด้วยโลหิตราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามกำลังบุกเข้าหาศัตรู วิ่งไปทางซ้ายที ทางขวาที และแทรกเข้าไปในวงศัตรูเพียงลำพัง หรือบางทีก็วิ่งกลับมาในกองทัพของฝ่ายตน
เขาต่อสู้อย่างบ้าคลั่งและดุเดือด !
เฮ้อซานเตาลืมความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ เขาลุ่มหลงอยู่ในภวังค์ของการเข่นฆ่า การเอาชนะศัตรูนับแสนกว่านายนี้ได้ เขามีความรู้สึกราวกับว่าตนสามารถเอาชนะแม่นางในหอนางโลมนับหมื่นได้เยี่ยงไรเยี่ยงนั้น
มิมีสิ่งใดแตกต่าง อีกทั้งเมื่อเห็นเลือดเห็นเนื้อแล้วเขาจะเต็มไปด้วยความสุข ความรู้สึกภาคภูมิใจของลูกผู้ชาย
หากจะกล่าวถึงความแตกต่าง…บัดนี้ เฮ้อซานเตาคิดออกมาได้สองอย่าง คือ หนึ่ง การเอาชนะแม่นางในหอนางโลมต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่ฆ่าคนมิต้องใช้เงิน
สอง แม่นางในหอนางโลมจะส่งเสียงครางออกมา แต่ศัตรูในสนามรบจะส่งเสียงโหยหวนก่อนสิ้นใจ
อ้อ ยังมีข้อที่สามเพิ่มมาอีกข้อ หลังจากที่เขามีคู่หมั้นแล้ว เขาก็มิได้เดินทางไปหอนางโลมอีกเลย ความรู้สึกนี้จึงมิมีมาเนิ่นนานแล้ว บัดนี้จึงได้ปลดปล่อยมันออกมา ช่างสบายตัวเสียจนบอกไม่ถูก
คู่หมั้นของเขาคือคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่ง แม่นางโจ่งหยู เป็นบุตรสาวของโจ่งเซียงจือ บุตรชายคนที่สามของผู้นำตระกูลโจ่ง นามโจ่งเจิ้งเต้า
คุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งมิใช่สตรีธรรมดาทั่วไป นางสามารถท่องบทกวีต่าง ๆ ได้ขึ้นใจ เก่งกาจเสียยิ่งกว่าผู้มิรู้หนังสือเยี่ยงเขาหลายร้อยเท่า อีกทั้งฝีมือด้านการต่อสู้ของนางก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จึงเป็นเรื่องน่าปวดหัวยิ่ง เพราะเขาสู้นางมิได้ !
นับจากที่โดนคู่หมั้นดึงหูออกจากหอนางโลมถึงสามครา ทั้งยังถูกต่อยเสียจนหน้าเขียวหน้าเหลือง เขาก็มิกล้าเหยียบเข้าไปในหอนางโลมอีกเลย
สตรีเมืองสู่ มิอ่อนช้อยราวกับสตรีเจียงหนาน พวกนางสามารถลงมือทำร้ายสามีได้ !
สามคล้อยตาม สี่คุณธรรมที่ว่านั้น… สตรีเมืองสู่มิมีเรื่องพวกนั้นอยู่ในสมอง
ยามที่นึกถึงโจ่งหยู คู่หมั้นของตน เฮ้อซานเตาก็รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็มีศัตรูคนหนึ่งพุ่งเข้ามาพอดี เฮ้อซานเตาจึงระบายความคับแค้นใจผ่านทางสายตาที่ดุร้าย เดิมทีร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเลือดอยู่แล้ว มองไปราวกับเทพเจ้าแห่งสงคราม
พอถูกจ้องตาเขม็ง ศัตรูถึงกับผงะ ดาบในมือร่วงลงสู่พื้น เฮ้อซานเตาดีอกดีใจเป็นอย่างมาก จึงได้ยกยิ้มขึ้นจนทำให้ศัตรูตกใจเสียจนวิ่งหนีด้วยความตื่นกลัว
ส่วนเฮ้อซานเตาเองก็ได้วิ่งตามไป
ท่ามกลางทหารมากมาย
เขาวิ่งไล่จากกองที่หนึ่งมาถึงกองที่สอง
ทหารกองที่สองบุกมาทางสะพาน เผชิญหน้ากับศัตรูมากมาย บัดนี้กำลังเข่นฆ่ากันอย่างเมามันเสียทีเดียว
ทันใดนั้น สนามรบอันกว้างใหญ่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย
ภายในกองทัพศัตรู มีชายที่ร่างโชกเลือดคนหนึ่งวิ่งถือดาบ ตะโกนเสียงดังลั่นเข้ามาที่ใจกลางกองทัพศัตรู และห่างออกไปด้านหน้าเพียง 5 ก้าว มีทหารนายหนึ่งถูกวิ่งไล่อย่างน่าอนาถ
ทั้งสองวิ่งตามกันมาติด ๆ ดึงดูดความสนใจจากศัตรูได้มิน้อย
ไอ้บ้านี่คือผู้ใดอีกเล่า !
เหตุใดถึงวิ่งเข้ามาในกองทัพหลักได้กัน ?
ฝ่ายศัตรูเตรียมอาวุธ แยกไม่ออกว่าผู้ใดคือมิตรหรือผู้ใดคือศัตรู ดาบในมือของพวกเขาจึงพุ่งเข้าใส่ทั้งสองคน
ทหารที่วิ่งอยู่ด้านหน้ากรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และตายด้วยน้ำมือของพวกเดียวกัน ส่วนเฮ้อซานเตาพบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย !
เขายกดาบขึ้นปัดมีดที่พุ่งมาจากซ้ายมือ คาดมิถึงว่าจะยังมีลูกปืนพุ่งมาจากทางขวาอีกด้วย
กระสุนปืนพุ่งใส่ก้นของเขา
“อ้าก… ! ” เขาร้องออกมาเสียงดังและกระเด้งก้นขึ้น ดาบในมือได้ฟันศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าตกตายไปหนึ่งคน มีดในมืออีกข้างกวัดแกว่งไปมา พละกำลังกลับมีมากขึ้น ทำให้ศัตรูที่ล้อมเข้ามาพากันตกใจกลัวเสียจนถอยหลังไปหลายก้าว
แม่ทัพกองสอง จ้าวลี่จู้ เบิกตากว้าง สวรรค์ ! คุณชาย !
ให้ตายเถอะ คุณชายมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร !
เหตุใดคุณชายถึงได้ดุดันถึงเพียงนั้นกัน ขออย่าได้เป็นอันใดไปเลย !
“บุกเข้าไป ช่วยคุณชายออกมาแล้วคุณหนูหกจะตกรางวัลให้อย่างงาม ! ”
จ้าวลี่จู้เป็นแม่ทัพกองสอง เขากวัดแกว่งดาบยาวในมือและไล่ฆ่าศัตรูไปตามทาง อยู่ ๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
เฮ้อซานเตากำลังต่อสู้กับศัตรู โดยมีทหารจากฝ่ายตรงข้ามกำลังย่องเข้าไปทางด้านหลังของเขา
จ้าวลี่จู้ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ตะโกนเสียงดังว่า “ระวัง ! ”
ข้าศึกผู้นั้นแสดงสีหน้าถมึงทึง และฟันดาบลงไปยังแผ่นหลังของเฮ้อซานเตา