นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 554 ติดตามคุณชาย
ตอนที่ 554 ติดตามคุณชาย
ในยามที่เหลียงกุยหยวนลอยตัวขึ้นสู่อากาศ เฟ่ยอันก็ได้เก็บคันธนูลงแล้วยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “ในที่สุดข้าก็จับเจ้าได้เสียที ! ”
เขาหยิบปืนออกจากแขนเสื้อ !
จังหวะที่เหลียงกุยหยวนกำลังจะขว้างเหล็กดาวกระจายที่อยู่ในมือของเขาออกมา เฟ่ยอันก็ได้ยกแขนขึ้นยิง “ปัง… ! ”
เสียงปืนดังสนั่นกลางสนามรบ เหลียงกุยหยวนรู้สึกเจ็บบริเวณแขนอย่างกะทันหัน เหล็กดาวกระจายจึงพลาดเป้า มันบินเฉียดใบหูของเฮ้อซานเตาแล้วปักโดนทหารราบซีหรงนายหนึ่งจนเสียชีวิต อีกดอกหนึ่งก็เบี่ยงทิศไปปลิดชีพทหารราบซีหรงเข้าอีกนาย
เฮ้อซานเตาสะดุ้งโหยง เขามองไปตามเสียง และพบว่าเหลียงกุยหยวนกำลังร่วงหล่นลงมาจากอากาศ
นี่คือยอดฝีมือแห่งบู๊ลิ้ม !
เฮ้อซานเตามิได้ทำอวดเบ่งถึงขนาดพุ่งเข้าไปต่อสู้กับยอดฝีมือบู๊ลิ้มผู้นั้น เขาเห็นแม่ทัพเฟ่ยอันสะพายดาบยาวไว้บนหลัง ในมือยังคงถืออาวุธเล็ก ๆ สีดำอยู่ จากนั้นพุ่งเข้าไปหายอดฝีมือที่ร่วงหล่นลงมาทันที
ต่อมา เขาก็พบว่าแม่ทัพเฟ่ยอันยกอาวุธชิ้นนั้นขึ้น จากนั้นก็มีลำแสงสว่างเป็นประกายขึ้นมาพร้อมกับเกิดเสียงดัง “ปัง… ! ” ขึ้นอีกครา ส่วนอาวุธนั้นมีเขม่าควันลอยออกมาจากปลายกระบอก
เฮ้อซานเตามิรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นเรียกว่าอันใด เขาจึงหันกลับไปมองอีกครา
ให้ตายเถอะ !
ระยะห่างมากกว่า 10 จั้ง เฟ่ยอันเพียงแค่ใช้อาวุธชิ้นเล็กนั่นก็สามารถปลิดชีพของผู้มีฝีมือระดับสูงของฝ่ายศัตรูได้แล้ว!
เหลียงกุยหยวนถูกยิงทะลุเสื้อเกราะ เขางอตัวแล้วล้มลงกับพื้นเสียงดังตึง !
ทหารราบซีหรงได้เห็นดังนั้นก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไอหยา…ท่านรองผู้อาวุโสตายเเล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
มีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้าไปแล้วพลิกร่างของเหลียงกุยหยวนขึ้น… เลือดอาบไปทั่วใบหน้าของเขา น่าอนาถยิ่ง !
ท่านรองผู้อาวุโสผู้นี้คือผู้มีฝีมือแห่งลัทธิจันทราเชียวนะ !
การที่ลัทธิจันทราร่วมออกรบในครานี้ ได้มีการอธิษฐานต่อหน้ารูปปั้นของเทพเจ้าสงครามเพื่อขอพรให้เทพเจ้าแห่งสงครามปกป้อง ฟันแทงมิเข้า ไร้ผู้ใดต่อกร… ทุกสิ่งนี้เป็นเพียงเรื่องโกหกเยี่ยงนั้นหรือ ?
ดังนั้นทหารที่อยู่ใกล้ ๆ จึงปรึกษากันว่า “ท่านรองผู้อาวุโสสิ้นแล้ว จะยังต้องทำสงครามต่ออยู่อีกหรือ ? ”
“จะไปสู้พวกมันได้เยี่ยงไร มิเห็นหรือว่าอาวุธศาสตราเทพนั่นน่ากลัวถึงเพียงใด”
“ศัตรูมีจำนวนมากถึง 400,000 นาย พวกเรามีเพียง 150,000 นาย เปลืองแรงเสียเปล่า ๆ ”
“แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”
“จะทำเยี่ยงไรได้อีกกัน ? หนีสิ ! อย่างมากก็หลบอยู่ในป่า รอให้เรื่องสงบลงค่อยออกมา”
“จากที่ข้ามองดูแล้ว เกรงว่าลัทธิจันทราจะต้องอ่อนกำลังลงเป็นแน่”
“ระวังวาจาของเจ้าด้วย ระวังจะมีภัยเพราะคำเอ่ย พวกเราลอบหนีกันเถอะ”
เดิมทีทหารเหล่านี้ตั้งใจจะหลบหนี แต่บังเอิญเฮ้อซานเตาได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากันเมื่อครู่ จึงได้บังเกิดความตกตะลึงขึ้นมา ท่านแม่ทัพเฟ่ยอันปลิดชีพแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรูแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาได้สติกลับคืนมาในไม่ช้า และได้ตะโกนออกไปว่า “แม่ทัพของพวกเจ้าตายแล้ว พวกต่ำต้อยทั้งหลายยังมิยอมแพ้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ! ”
เขาตะคอกเสียงดังจนทำให้ศัตรูพากันตกอกตกใจ และทำให้เหลียงกุยหยวนที่อยู่ในอาการมึนงงตื่นขึ้นมา
ในใจของเหลียงกุยหยวนช่างรู้สึกอับอายมากยิ่งนัก เขาสงสัยเสียจริงว่าวิชาที่ตนฝึกฝนมานั้นเป็นของจริงหรือไม่ ?
ในขณะนั้นเอง เขาก็ได้ยินทหารคนหนึ่งกล่าวว่า “อย่าได้ฟังคำกล่าวไร้สาระ ท่านแม่ทัพมีเทพเจ้าคุ้มครอง มีดดาบฟันแทงมิเข้า จะตายได้เยี่ยงไร ! เจ้านั่นกำลังสร้างความปั่นป่วนแก่พวกเรา ! ”
เฮ้อซานเตาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกมิพอใจขึ้นมา ข้าเอ่ยเรื่องจริงกลับมิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ?
ดังนั้น เขาจึงก้มตัวลงเพื่อดึงเหลียงกุยหยวนขึ้นมา โชคดีที่มันผอม แต่พอคว้าขึ้นมาเช่นนี้ก็นับว่าหนักพอควร
“พวกเจ้าจงดู นี่คือแม่ทัพใหญ่ของพวกเจ้าใช่หรือไม่ ! ”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ได้รวบรวมกำลังแล้วโยนเหลียงกุยหยวนออกไปอย่างรุนแรง
เหลียงกุยหยวนยังมิทันได้หายใจก็ได้ร่วงลงสู่พื้นเสียงดัง “ตุ้บ ! ” อีกครา บาดแผลยิ่งเจ็บปวดเป็นทวีคูณจนทำให้สลบไปอีกครา
เมื่อทหารฝ่ายศัตรูได้เห็นภาพตรงหน้าก็พากันอุทานว่า บัดซบ ! เป็นท่านแม่ทัพตัวจริง !
ตายแล้วจริงด้วย !
เขามิได้กล่าวเอาไว้ว่าฟันแทงมิเข้าหรอกหรือ ?
นั่นหมายความว่าเทพแห่งสงครามของฝ่ายศัตรูเก่งกาจกว่าฝ่ายของพวกเรา ดังนั้นมิจำเป็นต้องสู้อีกต่อไป
เพียงชั่วพริบตา ทหารราบซีหรงที่เหลืออยู่เกือบ 100,000 นายก็ได้หันหลังกลับและวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
เฮ้อซานเตาวิ่งตามไป เมื่อเห็นว่าตนตามมิทันแล้วจึงล้มเลิกความคิดไปเสีย ช่างมันเถอะ ! ข้าเองก็เหนื่อยมากเต็มทนแล้ว
เขานั่งลงกับพื้น แต่ยังมิทันได้พักหายใจ ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ก้นเสียจนแทบจะขาดใจ เขากระโดดขึ้นแล้วร้องว่า “ก้นของข้า… ! ”
เมื่อครู่ไล่ฆ่าอย่างเมามันจนลืมไปเลยว่าก้นของตนถูกยิง
……
……
การต่อสู้อันดุเดือดดำเนินไปได้เพียงสามชั่วยาม เเละสิ้นสุดลงในตอนค่ำ
แน่นอนว่าทหารราบซีหรงพ่ายแพ้ยับเยิน เฟ่ยอันได้นับจำนวนทหารที่บาดเจ็บ แล้วหยุดพักผ่อนอยู่ที่เดิมราวสองชั่วยาม หลังจากกินข้าวและดื่มน้ำเรียบร้อยก็ได้อาศัยช่วงฟ้ายังมิสางรีบเดินทางไปยังเจี้ยนเหมินต่อทันที
เฮ้อซานเตาเองก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน แต่ทว่าช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน จึงให้จ้าวลี่จู้แบกขึ้นหลังไป
“เสี่ยวจ้าว การได้แบกข้านับเป็นบุญของเจ้าแล้ว รอให้คุณหนูหกของพวกเจ้าออกเรือนกับข้าเมื่อใด เจ้าก็มาติดตามข้าเถอะ”
จ้าวลี่จู้มิรู้ว่าจะเอ่ยเยี่ยงไรดี คุณชายเป็นถึงบุตรเขยของจวน ส่วนข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลจวนโจ่ง การแบกท่านจึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว แต่จะให้ข้าติดตามนั้น…
ท่านมิสบายหรือเยี่ยงไร ?
จวนโจ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลการค้าแห่งราชวงศ์หยู ส่วนตระกูลเฮ้อของท่านเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินเล็ก ๆ ในเมืองหลินจื๋อเท่านั้น
มิว่าเยี่ยงไร ตระกูลเฮ้อก็มิอาจเทียบกับตระกูลโจ่งได้ พอคิดไปแล้วก็มิเข้าใจว่าเหตุใดนายท่านจึงตกลงรับคำสู่ขอจากตระกูลเฮ้อ อีกทั้งยังเป็นคุณหนูหกที่งดงามมากที่สุดอีกด้วย !
ไอ้คนที่แบกอยู่นี้ มิรู้แม้แต่หนังสือ คุณหนูหกก็มิใช่ผู้มิรู้มารยาทแต่อย่างใด ทว่านางกลับมิขัดข้อง มิหนำซ้ำหลังจากตกลงสู่ขอเรียบร้อยแล้ว นางได้ไปที่หอชุ่ยหงเพื่อตามคู่หมั้นกลับจวนถึงสามครา !
ปิดประตูกำราบเสียยกใหญ่ !
ช่างน่าเวทนายิ่ง !
ดังนั้น เรื่องที่ให้ตนติดตามรับใช้ เหอะ ! อย่าว่าแต่จะมีอนาคตที่ดีเลย เกรงว่าสุดท้ายแม้แต่โจ๊กก็ยังมิมีให้กิน
แน่นอนว่าความคิดเหล่านี้มิได้เอ่ยมันออกไป เพราะถึงเยี่ยงไรคนที่แบกอยู่นี้ก็คือท่านเขยในอนาคต
“คุณชายเมตตาข้าน้อยเกินไปแล้ว แต่ข้าน้อยรับใช้จวนโจ่งมานานนับสิบปี หากจะให้จากไปคงอาวรณ์ ต้องขออภัยท่านด้วย”
“อ่า… เช่นนั้นก็รอให้งานสมรสเรียบร้อยเสียก่อน ข้าจะเอ่ยขอกับท่านพ่อตาให้”
“เอ่อ…”
ในขณะที่จ้าวลี่จู้กำลังหาเหตุผลมาปฏิเสธ ทันใดนั้น… ท่านแม่ทัพเฟ่ยอันก็ได้ควบอาชาตรงมาทางนี้
ฝีเท้าม้าหยุดลงเบื้องหน้าจ้าวลี่จู้ เฟ่ยอันมองไปยังชายที่จ้าวลี่จู้แบกเอาไว้ ยกยิ้มขึ้นจากนั้นก็เอ่ยว่า “เจ้าหนู เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ชื่อเสียงเรียงนามของข้านั้นมิแปรเปลี่ยน เฮ้อซานเตาแห่งหลินจื๋อนั้น…หา ! ท่านแม่ทัพ ! ”
เฮ้อซานเตาเบิกตากว้าง จ้องมองไปยังใบหน้าอันสง่าผ่าเผยของเฟ่ยอัน ก่อนจะหัวเราะแห้งออกมา “แหะ ๆ เอ่อคือ… ท่านแม่ทัพเฟ่ย เมื่อครู่ข้าง่วงนอนไปหน่อย จึงยังมิทันได้ลืมตาดู หากกล่าวอันใดที่มิควรออกไป ขอท่านอย่าได้ขุ่นเคือง อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยขอรับ”
เฟ่ยอันจ้องเฮ้อซานเตาตาเขม็ง แต่ทว่าในใจกลับยิ้มระรื่น เจ้าหนูผู้นี้ช่างไหลลื่นดีเสียจริง
“หากสงครามครานี้เสร็จสิ้นแล้ว เจ้าจงตามข้าไป”
เฮ้อซานเตาตกตะลึงงันไปชั่วขณะ “ไปที่ใดหรือขอรับ ? ”
“กองทัพชายแดนตะวันออก ข้าจะให้ตำแหน่งเชียนฟูจ่างแก่เจ้า ต่อไปนี้เจ้าจงติดตามข้า”
“เชียนฟูจ่างเป็นขุนนางระดับใดหรือขอรับ ? ”
“ระดับห้า…มีอันใด เจ้ารังเกียจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อ่า… หาใช่ไม่” เฮ้อซานเตากลอกตาไปมาเพื่อนึกถึงระดับขุนนางทั้งห้า จำได้ว่าเมื่อฟู่เจวี๋ยเยมาถึงจินหลิงคราแรก ฝ่าบาทก็ทรงประทานตำแหน่งขุนนางระดับห้าให้
อ่า… ระดับห้าเยี่ยงนั้นหรือ มิเลวเสียทีเดียว ข้าต้องคว้าเอาไว้ให้จงได้ !
จ้าวลี่จู้ที่แบกอีกฝ่ายอยู่ถึงกับชะงักลงทันพลัน… คุณชายทำสำเร็จแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ขุนนางระดับห้า อีกทั้งยังเป็นคนที่แม่ทัพเฟ่ยอันเลือกด้วยตนเอง หรือว่าคุณชายกำลังจะพุ่งสู่ท้องนภา ?
ถ้าเช่นนั้น ต้องติดตามคุณชายถึงจะถูก !