นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 557 ยึดด่านชีผานอย่างแยบยล
ตอนที่ 557 ยึดด่านชีผานอย่างแยบยล
กวนเสี่ยวซีเดินเตร่อยู่ในย่านการค้าอยู่สองรอบ จนถึงขั้นไปเดินเล่นที่ค่ายทหารด่านชีผานอีกหนึ่งรอบ
มิได้พบเจอบรรยากาศตึงเครียดเยี่ยงที่คาดคิดเอาไว้ ตรงกันข้าม…สิ่งที่ได้เห็นบนใบหน้าของทหารเหล่านั้นกลับเป็นความลังเล
จิตวิญญาณในการต่อสู้ของทหารเหล่านี้มิสูงมากนัก แม้แต่ทหารที่คอยเฝ้าหน้าประตูก็มีท่าทีเกียจคร้านมากยิ่งนัก
เมื่อถึงเวลานี้ เขาจึงมั่นใจแล้วว่าสตรีคนเมื่อครู่มิได้หลอกลวง มีทหารประจำการอยู่ที่นี่อย่างมากสุดเพียงสองหมื่นกว่าคนเท่านั้น
พอนึกถึงสตรีนางนั้นขึ้นมา เขาก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมิทราบแม้แต่ชื่อของนาง
เป็นเรื่องดี เพราะไม้ไผ่พวกเราจึงได้พบพานกัน ต่างฝ่ายก็มีช่วงเวลาที่ดี และได้แยกย้ายกันไปตามทางของตน
กวนเสี่ยวซีออกไปจากด่านชีผาน เมื่อกลับไปถึงค่ายทหารภูเขาในยามเว่ย ก็ได้ชี้แจงสถานการณ์ภายในด่านชีผานให้เผิงยวี๋เยี่ยนฟังโดยละเอียด
“กล่าวได้ว่า เซวี๋ยติ้งชานจะกลับไปยึดเจี้ยนเหมินเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หากแม่ทัพเฟ่ยรุดหน้าไปยึดเจี้ยนเหมินก่อน ข้าคิดว่าเซวี๋ยติ้งชานจะต้องลงไปทางใต้เพื่อยึดหรงโจวของถนนเจี้ยนหนานซีเป็นแน่…”
กวนเสี่ยวซีหยิบแผนที่หนึ่งฉบับออกมาจากช่วงอกและวางมันลงกับพื้น “เจี้ยนเหมินเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีกำแพงเมืองแข็งแกร่งยิ่ง เดิมทีง่ายต่อการป้องกันยากต่อการโจมตี ในตอนนี้พวกเรายังมิแน่ใจว่าแม่ทัพเฟ่ยจะจัดการกับที่นี่เยี่ยงไร จึงต้องคิดเอาไว้สองรูปแบบ
รูปแบบที่หนึ่ง ย่อมเป็นการให้แม่ทัพเฟ่ยยึดเจี้ยนเหมิน หากเจี้ยนเหมินมีกองกำลังป้องกันถึง 30,000 นาย ร่วมด้วยความสามารถของแม่ทัพเฟ่ย นั่นก็มากพอที่จะสกัดกองทัพหนึ่งแสนกว่านายของเซวี๋ยติ้งชานเอาไว้นอกเมืองได้แล้ว เยี่ยงนั้นเซวี๋ยติ้งชานก็จะมิมีทางยึดเจี้ยนเหมินได้อีก เขาจะเลือกไปยังเส้นทางหวายอันเพื่อยึดตั้งแต่หรงโจวตลอดสายไปจนถึงหัวหยาง
รูปแบบที่สอง หากเซวี๋ยติ้งชานนำทัพไปยึดเจี้ยนเหมินได้ก่อน ย่อมเกิดการบาดเจ็บและล้มตายของทหาร ส่วนทหารที่เหลืออยู่ย่อมเหลือมิเกิน 100,000 นายอย่างแน่นอน เขาย่อมมิมีกำลังมากพอที่จะไปยึดกำแพงเมืองใดได้อีก ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ทางที่ดีที่สุดคือปล่อยให้เขายึดเจี้ยนเหมิน เพราะสถานการณ์ในตอนนี้เป็นประโยชน์ต่อทัพของพวกเรา
ทัพกบฏถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เพียงพวกเราสามารถยึดด่านชีผานเอาไว้ได้ ก็จะเป็นการตัดขาดทัพหน้าและทัพหลังของกบฏไปอย่างสิ้นเชิง หากพวกเรายึดด่านชีผานเอาไว้ได้ ทัพใหญ่ที่ตามมาก็จะกลืนกินทัพหลังฝ่ายกบฏได้
ทหารกบฏที่เฝ้าเจี้ยนเหมินก็จะกลายเป็นทัพที่โดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง และเมื่อถึงเวลานั้นก็จะถูกทัพของพวกเราเข่นฆ่า ! ”
กวนเสี่ยวซีกล่าวถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไปทั้งหมด เผิงยวี๋เยี่ยนมองเขา แล้วกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “สองปีมานี้เจ้าพัฒนามิน้อยเลย เช่นนั้น ข้าขอเอ่ยถามเจ้าว่า ด้วยกำลัง 3,000 คนของพวกเรา จะรักษาด่านชีผานไว้ได้เยี่ยงไร ? ”
“เฮ้อ… ! ” กวนเสี่ยวซีถอนหายใจยาวออกมา “คงจะดีมิน้อยถ้าหากภูเขานี้สามารถรองรับผู้คนได้ถึง 20,000 คน”
“เยี่ยงนั้น เจ้าคิดว่าจะยึดหรือไม่ยึดด่านชีผานดี ? ”
“ยึด ! ข้าคิดว่าต้องยึดมาให้ได้ ด้วยพวกเรา 3,000 คน อย่างน้อยก็ตั้งมั่นอยู่ในด่านชีผานให้ได้ถึง 3 วัน ในสามวันนี้เพียงพอที่จะขัดขวางแผนการของเซวี๋ยติ้งชานได้แล้ว แม่ทัพเฟ่ยจะต้องลงมือเป็นแน่ เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว”
เผิงยวี๋เยี่ยนฉีกยิ้ม “เช่นนั้นก็ยึด ! ”
ทหารภูเขา 3,000 นายหายเข้าไปในป่า และเข้าไปถึงเขาซีเฟิงในยามเย็น ด่านชีผานจึงอยู่แทบเท้าของพวกเขา
ทุกคนทานอาหารแห้งอย่างง่าย ๆ เผิงยวี๋เยี่ยนวางแผนทะลวงด่านชีผานขึ้นมา
เซี่ยเฟิง เซี่ยเชียนฮู่ นำทหารจำนวน 800 นายไปปิดล้อมทางเหนือของค่ายรักษาการณ์
ลู่ติ้งเจียง ลู่เชียนฮู่ นำทหาร 1,200 นายบุกค่ายรักษาการณ์จากทางด้านหน้า
ส่วน 700 นายที่เหลือนำโดยหวงลี่ หวงเชียนฮู่ คอยไหลไปตามสถานการณ์
กวนเสี่ยวซีจงนำผู้สอดแนม 300 นายทะลวงไปยังหอคอย หลังจากยึดหอคอยธนูทั้งแปดได้แล้ว ให้ใช้พลุเป็นสัญญาณ หากทุกคนยังมิเห็นสัญญาณห้ามลงมือเป็นอันขาด
“การตรวจสอบคราสุดท้ายให้พกปืนและกระสุนไว้กับตัว ครึ่งก้านธูปให้หลัง ผู้สอดแนมจงเดินทางออกจากค่าย ! ”
…..
…..
กวนเสี่ยวซีพาผู้สอดแนมไป 300 นาย โดยอาศัยยามราตรีที่มืดสลัว ค่อย ๆ คลำทางจากบนภูเขาลงไปด้านล่าง และปรากฏตัวขึ้นที่ด้านล่างของหอคอยด่านชีผาน
ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำ ประจวบเหมาะกับเวลาที่ทหารคุ้มกันเปลี่ยนเวรยามพอดี ทหารรักษาการณ์ของข้าศึกคงคาดมิถึงว่าจะมีคนมาจากเขาซีเฟิง
กวนเสี่ยวซีและคณะมิได้หลบซ่อน พวกเขาพาคนในกลุ่มเดินเข้าไป และตะโกนกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า “พวกเจ้า ขึ้นไปเปลี่ยนเวร ! ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้ยืนอยู่ด้านล่างหอคอย นั่งลงข้างทหารที่เพิ่งเปลี่ยนเวรนายหนึ่ง แล้วบ่นอุบขึ้นมาสองประโยค “มารดามันเถอะ ! อาหารแย่ลงทุกวัน อยู่ที่ตะวันตกยังสบายเสียยิ่งกว่า”
ทหารนายนายนั้นเมื่อได้ยินดังนั้น ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาแคะฟันแล้วกล่าวด้วยท่าทางเกียจคร้านว่า “มิใช่เพียงเท่านี้ ข้าวิ่งมาจนถึงที่นี่ สุดท้ายแม้แต่ต้องสู้กับผู้ใดก็ยังมิทราบ ช่างประหลาดมากยิ่งนัก”
“เจ้าระวังไว้ด้วย หากคำเอ่ยนี้ดังไปถึงหูของท่านแม่ทัพเข้า เกรงว่าเขาจะตัดหัวเจ้าแล้วเอามาเตะเล่น”
“ยังต้องกลัวอันใดอีกกัน ท่านแม่ทัพพาทัพใหญ่ไปยึดเจี้ยนเหมินแล้วทิ้งให้พวกเราคอยเฝ้าแนวเขาแห้งแล้งนี้เอาไว้ ให้เฝ้ากับผีสิ ! มิมีผีผ่านมาแม้แต่ตนเดียว ทำให้ชาวบ้านตื่นกลัวจนหนีเตลิดไปหมด แม้แต่หอหยุนเฟิงก็ต้องปิดประตู อยากเสพสุขก็ทำมิได้ อยากดื่มอยากกินก็มิมีให้ ถ้าให้ข้าเอ่ย สู้กลับไปตะวันตกเสียจะดีกว่า”
เพียงทหารคุ้มกันนายนี้บ่นออกมา ก็ทำให้ทหารคุ้มกันอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาสมทบ
พวกเขานั่งลงข้างกวนเสี่ยวซี และมีคำบ่นอยู่มากมาย
“มิใช่เพราะฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่หรอกหรือ… พวกเจ้าอย่าเอาไปกล่าวสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว ข้าเองก็ฟังมาอีกที” ทหารคุ้มกันที่ดูอ่อนเยาว์หันซ้ายแลขวา และเอ่ยเสียงแผ่ว “ได้ยินมาว่าองค์ชายสี่อยากเป็นฮ่องเต้ หากสำเร็จแม่ทัพเซวี๋ยของพวกเราที่เป็นลุงขององค์ชายสี่จะได้รับพระราชทานยศไคกั๋วกงที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมิมียุติ แรกเริ่มท่านแม่ทัพก็มิเห็นด้วย แต่ฮูหยินนั้นปรารถนามากยิ่งนัก
พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูเถิด ราชวงศ์หยูในตอนนี้มีเพียงแม่ทัพเผิงเพียงผู้เดียวที่ได้พระราชทานแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นติ้งกั๋วกง ที่เหมือนกันคือฮูหยินท่านแม่ทัพย่อมหวังให้สามีสามารถคว้ายศกั๋วกงมาครองได้ แต่ตอนนี้ผืนปฐพีถือว่ายังสงบสุข ยศกั๋วกงจึงมิอาจได้มาโดยง่าย ดังนั้นฮูหยินที่มักเป่าหูยามมีความสุขกันบนเตียง ย่อมทำให้ท่านแม่ทัพคล้อยตามอยู่แล้ว”
“ได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จึเจวี๋ยมิใช่หรือ ? ”
“จึเจวี๋ยแล้วเยี่ยงไร ? จึเจวี๋ยลำดับสี่จะเทียบกับกงเจวี๋ยลำดับหนึ่งได้เยี่ยงไร ? ”
“ดังนั้น พวกเรากำลังเดินบนเส้นทางที่มิอาจหวนกลับได้เยี่ยงหรือ ? ”
“ไอหยา… นี่ถือเป็นเส้นทางที่มิอาจหวนกลับได้อย่างแท้จริง พวกเราคือทหารในมือของแม่ทัพใหญ่ แต่วันนี้ท่านแม่ทัพกลับก่อกบฏ จนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หากสำเร็จพวกเราก็จะได้เป็นวีรบุรุษ”
“หากแพ้เล่า ? ”
“แพ้เยี่ยงนั้นหรือ ? หากแพ้ก็ถูกฝ่าบาทตัดหัวน่ะสิ ! ”
“…นี่คือการเดิมพันด้วยชีวิต ดูแล้วโอกาสชนะแทบจะมิมี”
กลุ่มทหารคุ้มกันกำลังจับกลุ่มสนทนากัน เพียงได้ฟังก็ค่อนข้างมิพอใจ
ดวงตาของกวนเสี่ยวซีกลิ้งกลอกไปมา ทันใดนั้นก็กล่าวร้ายขึ้นมาว่า “ไอหยา ! พวกเจ้าฟังข้าก่อน ศึกในครานี้ช่างน่าอึดอัดใจยิ่ง ข้าได้ยินมาว่าด้านหน้ามีทัพ 200,000 นายของแม่ทัพหยูชุนชิวขวางทางสายเก่าจินหนิวอยู่ ด้านหลังก็มีเฟ่ยอันแม่ทัพใหญ่ที่นำกองกำลังป้องกันเมืองนับแสนนายมาขวางทางที่แม่ทัพเซวี๋ยกำลังกระโดดเข้าไปอยู่… ถึงเยี่ยงไรก็คือกระดานที่บังคับให้แพ้แล้ว การที่พวกเราร่วมตายไปกับแม่ทัพใหญ่ ข้ารู้สึกว่ามิคุ้มค่าเอาเสียเลย”
พอกล่าวออกมาดังนั้น ทหารกลุ่มนี้ก็ได้เงียบลงไปอีกอึดใจ แต่แล้วก็มีทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้าคิดจะทำเยี่ยงไร ? ”
“หากข้ากล่าวออกมา พวกเจ้าอย่าได้บั่นคอข้าเชียว ! ”