นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 565 รวมพลในสนามรบ
ตอนที่ 565 รวมพลในสนามรบ
“เจ้าสังหารนางทั้งเยี่ยงนี้เลยหรือ ? ”
ฮั่วหวยจิ่นวางกล้องส่องทางไกลลงและมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
เขายังมิเคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน ระยะห่างจากกองทัพศัตรูอย่างน้อยที่สุดก็ 2 ลี้ ทั้งยังแสนจะมืด ในความคิดของฮั่วหวยจิ่นจึงเป็นไปมิได้ที่จะสังหารสีฮวาในตำแหน่งที่ห่างไกลถึงเพียงนี้ !
“หรือต้องจับเป็นเยี่ยงนั้นหรือ ? มีประโยชน์อันใด สตรีนางนี้เลวจนเกินไป เดิมทีข้าใช้ชีวิตอยู่ที่จินหลิงอย่างสุขสบาย นางกลับใช้อุบายหลอกให้ข้ามายังภูเขาที่แห้งแล้งแห่งนี้… หากนางมิตายข้าคงสงบใจมิลง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนบ่นออกมาเสียยาวเหยียด เก็บปืนใหญ่แล้วส่งให้กับสวี่ซินเหยียนดังเดิม
เว่ยอู๋ปิ้งมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความรู้สึกมึนงง หลังจากนั้นก็หันไปมองทางฮั่วหวยจิ่น “ฟู่เจวี๋ยเยสังหารผู้ใดหรือขอรับ ? ”
“ยังจะมีผู้ใดได้อีก ? ก็หงเหนียงจื่อสีฮวา ภรรยาของเซวี๋ยติ้งชานเยี่ยงไรเล่า ! ”
เว่ยอู๋ปิ้งอ้าปากค้าง หลังจากนั้นก็เลียริมฝีปากของตนเอง มองไปยังสนามรบที่ห่างไกลออกไปหลายลี้… ฟู่เจวี๋ยเยเป็นเทพเจ้าอย่างแท้จริง !
ระยะห่างถึงเพียงนี้ คาดมิถึงว่าเขาจะสามารถสังหารผู้บัญชาการกองทัพของศัตรูได้… มิรู้ว่าของสิ่งนั้นของฟู่เจวี๋ยเยคือสิ่งใด หากใช้ล่าสัตว์ หมีตาบอดและหมูป่าคลั่งก็คงฆ่าได้อย่างง่ายดายเลยมิใช่หรือ ?
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนลั่นไกใส่สีฮวาจากระยะไกล องครักษ์ 5,000 นายของทัพศัตรูที่อยู่ทัพกลางต่างก็ตกตะลึงอยู่หลายอึดใจ
หัวหน้ากององครักษ์นายหนึ่งรุดเข้าไปด้านหน้า เขามองฮูหยินแม่ทัพใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
บริเวณท้องของฮูหยินเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ร่างของนางแทบจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ดวงตาของนางยังคงเบิกกว้าง ในม่านตาแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอย่างหาที่สุดมิได้
ผู้บัญชาการตายแล้ว !
และมิรู้ด้วยว่าถูกสังหารได้เยี่ยงไร !
ศึกครานี้… จะสู้ต่อได้เยี่ยงไร ?
ทันใดนั้นก็มีทหารจากทัพกลางตะโกนขึ้นมาว่า “ฮูหยินตายแล้ว พวกเรายอมสวามิภักดิ์เถอะ ! ”
“ข้ายังมิอยากตาย ข้าขอสวามิภักดิ์ ! ”
“อย่าสังหารข้าเลย ข้าก็ขอสวามิภักดิ์ด้วยเช่นกัน ! ”
“……”
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ทัพใหญ่จำนวน 130,000 นายก็เหลือเพียงแค่ 70,000 นายเท่านั้น
ในยามนี้พวกเขาได้วางอาวุธลง และยกสองมือขึ้น
ซูม่อและซูเจวี๋ยเดินมาถึงหน้าศพของสีฮวา ทันทีที่ซูเจวี๋ยเห็น เขาก็ยืดตัวตรงมองไปทางหุบเขาทันที… ศิษย์น้องเล็กมาถึงแล้ว !
เป็นเยี่ยงที่คิด ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพาคน 3 คนเดินขึ้นมาบนเขาอย่างช้า ๆ
ซูม่อออกคำสั่ง “ดาบเทวะกองกำลังที่สาม รวมพล ! ”
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เหล่าลูกศิษย์สำนักเต๋าของกองกำลังดาบเทวะที่สามก็มายืนรวมตัวกันอยู่ด้านหน้าของซูม่ออย่างเป็นระเบียบ
ซูม่อคว้าตัวฟู่เสี่ยวกวนมา แล้วตะโกนบอกทหารดาบเทวะทุกนายว่า “ผู้บัญชาการกองกำลังดาบเทวะ ฟู่เจวี๋ยเยมาถึงแล้ว คำนับ… ! ”
ไอหยา เขาคือผู้บัญชาการสูงสุดของทหารดาบเทวะตามคำเล่าลือ !
ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เจวี๋ยเย !
เขาคือศิษย์คนสุดท้องของท่านผู้สังเกต อาจารย์อาเล็กฟู่เสี่ยวกวน !
อาจารย์อาเล็กของพวกเรา !
ลูกศิษย์สำนักเต๋ากลุ่มที่ได้รวมเป็นกองกำลังพิเศษ ส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา “ดาบเทวะกองที่สาม ขอคารวะฟู่เจวี๋ยเย คำนับอาจารย์อาเล็ก ! ”
เสียงดังก้องนภาจนทำให้ทัพกบฏที่รวมตัวกันอยู่ด้านหลังราวสิบก้าวตื่นกลัว ทหารดาบเทวะน่ากลัวเกินไปแล้ว !
แท้จริงแล้ว ชายผู้นี้คือฟู่เจวี๋ยเย !
มิน่าเล่าพวกเราถึงพ่ายแพ้ ผู้ใดจะไปสู้กองกำลังของฟู่เจวี๋ยเยได้ !
เสียงนี้ดังขึ้นไปถึงด้านบนของหอกวนโหลว
ทันทีที่กวนเสี่ยวซีและคนอื่น ๆ ได้ยิน ว่าเยี่ยงไรนะ ? ฟู่เจวี๋ยเยมาด้วยตนเองเยี่ยงนั้นหรือ ?
“ไอหยา เขาคือต้นแบบของข้า ! ”
กวนเสี่ยวซีตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “เปิดประตู ไป ๆ ๆ ไปต้อนรับฟู่เจวี๋ยเย ! ”
จ้าวเหล่าลิ่วและคนอื่น ๆ ยังคงตกอยู่ในความสับสน ศึกที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานจบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
มิใช่สิ ! เหตุใดฟู่เจวี๋ยเยผู้สูงศักดิ์จึงวิ่งมาถึงถิ่นทุรกันดารเยี่ยงนี้กัน ?
ใช่แล้ว ! ฟู่เจวี๋ยเยมาแล้ว เพียงผู้อาวุโสสำแดงอิทธิฤทธิ์ กองทัพศัตรูก็เปรียบเสมือนไก่กระเบื้องและสุนัขดินเผา !
ต้องไปต้อนรับฟู่เจวี๋ยเย !
ทุกคนต่างโห่ร้องเป็นเสียงเดียวกัน แล้วแย่งกันวิ่งลงมาจากหอกวนโหลว
เผิงยวี๋เยี่ยนยกยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นคลื่นลูกหลังแม่น้ำแยงซีที่ผลักดันคลื่นลูกหน้าอย่างแท้จริง จากนี้ต่อไป เวทีของใต้หล้านี้ จะมีเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่แสดงเดี่ยว ! ”
…..
…..
ด่านชีผาน
ค่ายผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์
เผิงยวี๋เยี่ยนและฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ส่วนสวี่ซินเหยียนได้เดินออกไปแล้ว นางกำลังใคร่ครวญถึงจวนฟู่ที่จินหลิง หากเป็นเวลาเช่นนี้ พวกต่งชูหลานจะต้มซุปให้เขา
ในช่วงหลายวันมานี้ เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา เขาดูผ่ายผอมลงไปมาก หากกลับไปด้วยสารรูปเยี่ยงนี้ เกรงว่าพวกชูหลานคงมิพอใจตนเป็นแน่ ดังนั้น… นางจึงอยากต้มซุปไก่ให้กับฟู่เสี่ยวกวนสักถ้วย
กวนเสี่ยวซีนั่งลงด้านข้างอย่างระมัดระวัง สายตาลอบมองฟู่เสี่ยวกวนเป็นครั้งครา… เจวี๋ยเยท่านนี้อายุยังน้อย ส่วนท่าทางก็เหมือนที่แม่ทัพใหญ่เคยกล่าวเอาไว้ในอดีต มิสามารถจำกัดความได้ !
เผิงยวี๋เยี่ยนมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้มจนตาหยี “ยามจากกัน ณ ที่ราบชังซี เวลาก็ได้ผ่านไปร่วมหนึ่งปีแล้ว คุณชายยังคงสง่างามดังเดิม ชื่อเสียงก็ดียิ่งขึ้นจนทำให้ผู้คนเปลี่ยนมุมมอง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านอย่าได้ยั่วเย้าข้าเลย เพราะความผิดพลาดของข้า ทำให้ทัพกบฏยึดด่านชีผานได้… สนทนาเรื่องการทหารบนกระดาษ ช่างมิคุ้มค่าจริง ๆ เลย”
“ท่านมองขาดถึงแผนการของสีฮวาได้เยี่ยงไร ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เพราะจนถึงเมื่อคืนที่นางได้ยินรายงานจากผู้สอดแนม จึงได้เข้าใจว่าสีฮวาทำการทรยศต่อฝ่าบาทอย่างแท้จริง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับตามนางมาตลอดทาง ทั้งยังใช้ทางลัดที่ใกล้ ตามหลักการแล้วเขาจะยังไม่ได้รับรายงานจากผู้สอดแนม แต่ทว่ากลับลั่นไกสังหารสีฮวาอย่างเด็ดขาด
“เพราะฮั่วหวยจิ่นบอกข้าในระหว่างเดินทาง… กล่าวว่าเซวี๋ยติ้งชานและภรรยารักใคร่กลมกลืนและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็นอย่างมาก พวกเขายังมีบุตรด้วยกันอีก 3 คน สตรีผู้นี้สมรสออกไปแล้ว คลอดบุตรแล้ว มิว่าเยี่ยงไรก็ยังคำนึงถึงครอบครัวของตน ในเมื่อเซวี๋ยติ้งชานตัดสินใจก่อกบฏ ย่อมปิดมิพ้นสีฮวา หากนางภักดีต่อฝ่าบาทอย่างแท้จริง ในยามที่เซวี๋ยติ้งชานเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อก่อกบฏ นางควรรายงานต่อฝ่าบาทอย่างลับ ๆ มิใช่รอจนทัพของเซวี๋ยติ้งชานมาถึงด่านชีผานเช่นนี้”
“ข้าเองก็เพิ่งทราบในภายหลัง มิเยี่ยงนั้นพอพวกท่านยึดด่านชีผานได้แล้ว เซวี๋ยติ้งชานก็จะออกมาจากด่านนี้มิได้ด้วยซ้ำ ทั้งยังจะถูกปิดกั้นจนตาย ณ สองฟากฝั่งเจี้ยนหนานไปแล้ว”
เผิงยวี๋เยี่ยนยกยิ้มบาง “แต่แบบนี้กลับทำให้เข้าเป้าโดยบังเอิญ ทัพของศัตรูถูกแบ่งออกเป็น 2 ทัพแล้ว คนในกองทัพของกบฏเซวี๋ยหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในกองทัพเหลืออยู่เพียง 150,000 นายเท่านั้น แต่แม่ทัพเฟ่ยกำลังรอเขาอยู่ที่เจี้ยนเหมิน”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักเล็กน้อย ผ่านไปชั่วครู่ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น
“มิถูก ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนผงะ “มีอันใดมิถูกต้องเยี่ยงนั้นหรือ ? สองตระกูลการค้าใหญ่แห่งหลินจื๋อได้รวบรวมผู้คนไว้แล้ว 300,000 คน เมื่อรวมกับกองกำลังป้องกันเมืองของแม่ทัพใหญ่เฟ่ยจำนวน 100,000 นาย ก็มีทั้งหมด 400,000 คนที่คอยปกปักษ์เจี้ยนเหมินอยู่ เซวี๋ยติ้งชานจะสู้ได้เยี่ยงไร ? ”
“มีแผนที่หรือไม่ ? ”
กวนเสี่ยวซีรีบดึงแผนที่ออกมาจากอกเสื้อแล้วกางวางไว้เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตั้งตารอ คิดอยู่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เจวี๋ยเยจะยังมีฝีมือทางการทหารอีกด้วย ?
คิดแล้วก็น่าจะเป็นแบบนั้น มิเช่นนั้นเขาจะมีกลวิธีพิเศษมาฝึกทหารดาบเทวะได้เยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนมองแผนที่อย่างถี่ถ้วน ผ่านไปชั่วครู่ นิ้วของเขาก็ได้ชี้ไปบนเส้นทางหวายอันที่อยู่ด้านนอกเจี้ยนเหมิน
“หากแม่ทัพใหญ่เฟ่ยยึดเจี้ยนเหมินได้ เซวี๋ยติ้งชานจะต้องเดินทางด้วยเส้นทางหวายอัน เขาจะไปยึดหรงโจว และเข้าไปยังที่ราบเฉิงตู ! ”
“หากปล่อยให้คนผู้นี้เดินทางไปจนถึงพื้นที่ห่างไกลเยี่ยงเจี้ยนหนาน ก็จะเป็นอันตรายต่อผู้คนจำนวนมาก”
เผิงยวี๋เยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น “ดังนั้น ท่านจึงคิดว่าควรยกเจี้ยนเหมินนี้ให้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ควรขังเซวี๋ยติ้งชานเอาไว้ในเจี้ยนเหมิน นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ! ”
ทันใดนั้นเผิงยวี๋เยี่ยนก็หันมามองกวนเสี่ยวซีที่กำลังฉีกยิ้มอย่างโง่งม
“มีอันใด ? มีปัญหาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่ ! แต่ทว่าความคิดของชายผู้นี้บังเอิญเหมือนกันกับท่าน ! ”