นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 574 เรื่องต่อจากนี้
ตอนที่ 574 เรื่องต่อจากนี้
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสาม วันที่ยี่สิบ
กองทัพของเฟ่ยอันได้ปิดล้อมเมืองเจี้ยนเหมินได้ 3 วันแล้ว
เพียงเวลาแค่ 3 วัน เซวี๋ยติ้งชานกลับห่อเหี่ยวลงมากมายนัก
ให้ตายเถอะ ไอ้เฟ่ยอัน !
มันมิโจมตีเข้ามา แต่กลับส่งทหารมาเกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้ทั้งวันทั้งคืน !
อีกทั้งตลอดสามวันมานี้ ยังมายืนร้องเพลงฉู่ที่ประตูเมืองตลอดทั้งสามคืน !
เหล่าทหารที่น่ารังเกียจพวกนั้น ร้องเพลงครึกครื้นขึ้นมาทุกที แม้แต่กลางดึกของเมื่อคืนก็ได้ออกมาร้องรำทำเพลงกัน !
สามวันมานี้ เขาได้นำทหารออกลาดตระเวนบริเวณหอคอยและทั่วทั้งเมืองเจี้ยนเหมินอันกว้างใหญ่ด้วยตนเอง
เพราะกลัวว่าเหล่าทหารภายใต้บังคับบัญชาจะทนมิไหวและถูกเฟ่ยอันชักจูงไป อีกทั้งการที่ได้รับผลกระทบจากเพลง รู้สึกและสัมผัสได้ว่าเหล่าทหารดูแปลกไป ท่าทางราวกับจะลุกขึ้นมาต่อต้านเสียอย่างไรอย่างนั้น
เหล่าทหารเองก็เริ่มวิตกกังวลมากขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ละวันที่แม่ทัพใหญ่ออกลาดตระเวน สายตาของเขาช่างแหลมคมดุจใบมีด ราวกับจะสามารถตัดศีรษะของพวกเขาได้ทุกเมื่อ
ข้อเสนอที่ทหารด้านนอกเมืองยื่นมาให้นั้นยั่วยวนใจยิ่ง เพียงแค่พวกเขาสามารถจับกุมแม่ทัพเซวี๋ยติ้งชานได้ โทษของการเข้าร่วมก่อกบฏในครานี้จะถูกละเว้น… บัดนี้ แม้แต่คนตาบอดยังมองออกเลยว่าพวกเขาต้องตกตายเป็นแน่ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นจึงจะสามารถเอาตัวรอดได้ ดังนั้นพวกทหารจึงเริ่มมีความคิดนี้อยู่ในหัวบ้างแล้ว พวกเขารอเพียงแค่โอกาสที่จะกระโดดโลดเต้นดีใจเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ตึงเครียดในเมืองเจี้ยนเหมินจึงค่อย ๆ แผ่กระจายออกไป จวนที่เซวี๋ยติ้งชานใช้สำหรับพักอาศัยมีการป้องกันอย่างแน่นหนา ส่วนเหล่าทหารมีการสื่อสารลับเป็นการส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
“ท่านเเม่ทัพใหญ่ขอรับ หากปล่อยไว้เช่นนี้ สักวันจะต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่”
โหลวเค่อเหลียง ทหารตำแหน่งเชียนฟูจ่างผู้อารักขาเซวี๋ยติ้งชานกระซิบออกมาเบา ๆ
เซวี๋ยติ้งชานยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เขามองไปยังต้นท้อ 3 ต้นที่ปลูกไว้ในลานกว้าง ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้กล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “เมื่อห้าปีก่อน ข้าเคยเดินทางไปยังฉู่ตี้และรวบรวมทหารท้องถิ่นได้ทั้งสิ้น 200,000 นาย ทหารของฉู่ตี้นั้นมีความสามารถทางด้านการต่อสู้มากยิ่งนัก เดิมทีข้าคิดว่าตนเองจะสามารถฝึกฝนกองทัพทหารที่มีความสามารถ และมิพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดได้…”
“มิว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ ก็ล้วนเป็นทหารฉู่ ! ”
“บัดนี้ ทหารทั้งหมด 150,000 นายที่มีอยู่ในมือ 100,000 คนมาจากฉู่ตี้ ในตอนนั้นเพื่อที่จะดูแลให้ทั่วถึง ทหารจำนวน 100,000 นายนี้ ข้าจึงได้แบ่งออกเป็น 10 กองพัน และหัวหน้ากองหรือหัวหน้าหมู่ของทั้งสิบกองพันนี้ล้วนเป็นชาวฉู่ตี้กันทั้งสิ้น”
“ข้ารู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะต้องเกิดเรื่องขึ้นมาเป็นแน่ แต่ทว่าบัดนี้ข้ายังสามารถทำอันใดได้อีกกัน ? ”
โหลวเค่อเหลียงโค้งตัวคารวะแล้วก้มหน้าลง “ข้าน้อยคิดว่า…พวกเราลองบุกออกไปนอกเมืองมิดีกว่าหรือขอรับ ! ท่านแม่ทัพใหญ่ หากยังมีภูเขาก็มิต้องกลัวว่าจะไร้ฟืน ข้าขอสาบานว่า… ต่อให้ต้องตายก็จะปกป้องท่านแม่ทัพใหญ่เอาไว้ให้จงได้ ! ”
เซวี๋ยติ้งชานนิ่งเงียบลงไปอีกครา ผ่านไปเนิ่นนานเสียทีเดียว กว่าบนใบหน้าของเขาจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวายในเดือนสาม มีบรรยากาศที่งดงามมากยิ่งนัก บัดนี้ต้นหลิวริมฝั่งแม่น้ำคงจะเขียวชอุ่มทั้งหมดแล้ว ที่เมืองหลวงมีตรอกหนึ่งชื่อว่าตรอกซานเยว่ ที่นั่นก็มีต้นหลิวมากมายเช่นกัน บัดนี้ถึงฤดูที่เมล็ดหลิวจะโบยบินแล้วสินะ พวกมันขาวผ่องราวกับหิมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้แสงสุริยา พวกมันจะงดงามราวกับกำลังร่ายรำอยู่กลางอากาศ”
โหลวเค่อเหลียงเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพใหญ่ ส่วนเซวี๋ยติ้งชานยังคงจ้องมองไปที่ต้นดอกท้อ 3 ต้นนั้น เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า
“สายน้ำในทะเลสาบเว่ยยางจะใสสะอาดที่สุดในเดือนสาม ส่วนดอกสาลี่บนเกาะชิงโยวแห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ยก็จะขาวสะอาดในช่วงเดือนสามนี้เช่นกัน”
“เดือนสาม ช่างเป็นช่วงเวลาที่งดงามมากยิ่งนัก บัดนี้ในเมืองจินหลิงก็คงเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวหลังปีใหม่”
“แท้จริงแล้วพวกเขามิรู้หรอกว่าการท่องเที่ยวหลังปีใหม่ที่ดีที่สุดคือการออกไปยังท้องทุ่งกว้าง ช่วงที่ต้นอ่อนของข้าวสาลีกำลังมีสีเขียวขจี มิว่าจะเป็นเนินเขาหรือสันเขาก็จะเต็มไปด้วยหมู่มวลดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง ผีเสื้อกำลังโบยบิน และปล่อยให้ว่าวล่องลอยไปบนท้องนภา…”
เซวี๋ยติ้งชานหยุดลงชั่วครู่ ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โหลวเค่อเหลียงมองเห็นความอบอุ่นจากสายตาของอีกฝ่าย
ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้เอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “ข้าและสีฮวาได้พบกันคราแรกตอนไปเล่นว่าว ตอนนั้นข้าเป็นผู้บัญชาการทหารม้า ส่วนนางเป็นจอหงวนของฝ่ายบู๊”
“ว่าวของนางสายขาดจึงลอยมาถูกว่าวของข้า ว่าวของนางมีสีแดงสดใสเช่นเดียวกับอาภรณ์ที่นางสวมใส่ ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน พวกเรารู้จักและอยู่ด้วยกันเนื่องจากว่าวสองตัว บัดนี้ก็กินเวลาได้ 10 ปีแล้ว… ในวันนี้ เดือนสาม วันที่ยี่สิบ เป็นวันที่พวกเราสมรสกัน ทว่านางกลับหนีจากข้าไป…”
เซวี๋ยติ้งชานสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด “วันพรุ่งนี้ ข้าจะนำทหารบุกออกไปนอกเมือง แต่มีอยู่สองเรื่องที่จะต้องกำชับเจ้า ”
โหลวเค่อเหลียงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ข้าน้อยสาบานว่าแม้ตายก็จะอยู่เคียงข้างท่าน ! ”
“มิได้ ครานี้เจ้าจะตายมิได้เป็นอันขาด ! จงฟังคำสั่งของข้าให้ดี ! ”
“ท่านแม่ทัพใหญ่… ! ”
“นี่คือคำสั่งสุดท้ายของข้า เจ้าจงรับฟัง ! ”
โหลวเค่อเหลียงจุกอกเสียจนเอ่ยอันใดมิออก เขาค่อย ๆ ก้มหน้าลงช้า ๆ
ในวันนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวออกมาเสียมากมาย ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เมืองจินหลิง และเรื่องของฮูหยินอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสั่งลา !
“บุตรข้า เฟยหยางและเฟยหยู่ต้องขอฝากไว้กับเจ้า… จงจำเอาไว้ว่า ให้พาพวกเขาไปยังแคว้นฝาน พวกคนเก่าแก่ในจวน เจ้าจงพาไปด้วยทั้งสิ้น อีกประการ ลิ้นชักในห้องหนังสือของข้ามีเงินอยู่ 100,000 ตำลึง พวกเจ้าจงพากันเดินทางไปเจาเกอ เมืองหลวงของแคว้นฝานเสีย มีที่แห่งหนึ่งนามว่าฉานหมิงเจี้ยน ที่นั่นมีคฤหาสน์อยู่หลังหนึ่ง เซวี๋ยอี้ ผู้ดูแลอาวุโสอยู่ที่นั่น นับจากนี้พวกเจ้าจงไปใช้ชีวิตที่แคว้นฝานเถิด จงบอกกับบุตรของข้าว่า อย่าได้กลับมาเหยียบผืนปฐพีของราชวงศ์หยูอีก ! ”
“ท่านแม่ทัพใหญ่… ! ”
“จงจำเอาไว้ว่า อย่าได้กลับมาเหยียบผืนปฐพีของราชวงศ์หยูอีก ! ”
……
……
ในขณะที่เซวี๋ยติ้งชานกำลังกำชับเรื่องอีกมากมาย ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้แบกร่างของเฉินซีหยุน เดินทางมาพร้อมกับเผิงยวี๋เยี่ยนและสวี่ซินเหยียนจนมาถึงค่ายทหารของเฟ่ยอัน
บัดนี้เฉินซีหยุนมิเคลื่อนไหวอีกต่อไปแล้ว
ใบไผ่ใบนั้น ได้ปาดลำคอของนางและได้ปลิดชีพของนางลงแล้ว มันทำให้สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการฟังถูกตัดขาดไปด้วย
นั่นเป็นฝีมือของปรมาจารย์มิผิดเป็นแน่ กระทำได้อย่างเด็ดขาดยิ่ง !
เผิงยวี๋เยี่ยนไม่สามารถตัดใบไผ่นั้นให้ขาดได้ ส่วนสวี่ซินเหยียนที่กระโดดตีลังกาขึ้นก็มิอาจฟันใบไผ่ได้เช่นกัน
เฉินซีหยุนสิ้นลมลงต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นปรมาจารย์ผู้นั้นก็ได้อันตรธานหายไป มิเห็นแม้แต่เงา
ดังนั้นเฉินซีหยุนอยากจะกล่าวอันใดในประโยคสุดท้ายกัน ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิอาจจะรู้ได้ ดังนั้นเขาจึงรีบนำร่างของนางมามัดติดกับหลังของตนเองและแบกมา ระหว่างทางก็เร่งรีบมากยิ่งนัก
เขากล่าวว่า…บางคราคนตายก็สามารถเอ่ยได้
เผิงยวี๋เยี่ยนมิเข้าใจ สวี่ซินเหยียนเองก็เช่นกัน
เมื่อเดินทางมาถึงกระโจมของแม่ทัพเฟ่ยอัน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ดึงเชือกออก ‘ตุ้บ ! ’ เสียงศพตกลงสู่พื้นธรณี
เฟ่ยอันและฮั่วหวยจิ่นเบิกตากว้างมองไปยังเขา ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแห้งแล้วกล่าวว่า “มิเคยเห็นคนแบกศพเยี่ยงนั้นหรือ ? แต่ยังมิตายหรอกนะ พวกเจ้าอย่าได้เอ่ยอันใดออกไปเล่า…ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่ใด ? ”
“อยู่ที่เมืองเจี้ยนเหมิน”
“ช่วยตามศิษย์พี่ใหญ่กลับมาให้ที จงจำไว้ว่าอย่าบอกผู้ใดเกี่ยวกับศพนี้ จงบอกศิษย์พี่ใหญ่ว่าให้รีบกลับมาช่วยชีวิตคน!”
ฮั่วหวยจิ่นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงบนเก้าอี้ มองเฟ่ยอันแล้วหัวเราะขึ้นมา
“ท่านเเม่ทัพเฟ่ยอัน ท่านอ้วนขึ้นนะ ! ”
“หุบปาก ! ข้าลำบากลำบนถึงเพียงนี้ จะไปอ้วนขึ้นได้เยี่ยงไร ? ”
“เอาเป็นว่าท่านอ้วนกว่าตอนทำนาก็แล้วกัน…ทำอันใดให้ข้ากินสักหน่อยสิ ข้าหิวมากยิ่งนัก ! ”
เฟ่ยอันเดินออกจากกระโจมไปแล้วกำชับให้ทหารบางส่วนไปหุงหาอาหารก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งลงที่เดิม เขามองศพของเฉินซีหยุนอย่างละเอียด กล้ามเนื้อบนใบหน้าพลันแข็งเกร็งขึ้นมา เขาชี้ไปยังนิ้วของนางแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ฝีมือของท่านเยี่ยงนั้นหรือ ? ช่างโหดเหี้ยมมากยิ่งนัก ! ”