นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 581 สุราหนึ่งจอก
ตอนที่ 581 สุราหนึ่งจอก
แสงสุริยาเดือนสามอบอุ่นแต่มิอบอ้าว ลมของเดือนสามอ่อนโยนมิหนาวเหน็บ
วันเวลาเช่นนี้ เดิมทีควรอุ่นกายสบายใจ แต่ทว่าจิตใจของฮั่วหวยจิ่นติดอยู่ในหลุมที่ยังมิอาจผ่านพ้นไปได้
ภายในร้านสุราเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองเจี้ยนเหมิน สวี่ซินเหยียนและซูซูได้เข้าครัวทำอาหารมากมาย ฟู่เสี่ยวกวน เฟ่ยอัน เผิงยวี๋เยี่ยน และฮั่วหวยจิ่น นั่งล้อมรอบโต๊ะ และบัดนี้พวกเขากำลังร่ำสุราด้วยกัน
ซูม่อ เยี่ยนถาวฮวา และซูเจวี๋ย ได้พากองกำลังดาบเทวะที่สามออกไปจากที่นี่แล้ว พวกเขาจะเดินทางไปยังภูเขาหมินต่อ
“เจ้าจะมิไปรังเก่าของลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายหน้า “สถานที่แบบนั้นมิเห็นจะมีอันใดน่าดู”
“ต่อจากนี้เจ้าจะกลับจินหลิงเลยหรือไม่ ? ”
“อือ…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ยกจอกสุราขึ้นพลางจดจ้องไปที่สุราที่ขุ่นเล็กน้อย “ข้าต้องกลับแล้ว ข้ายังมีเรื่องวุ่นวายอีกมากมายให้จัดการต่อ”
นี่คือความจริงในใจ แต่มิใช่ทั้งหมด
เขาอยากกลับจวน อยู่ ๆ ก็นึกอยากกลับจวนขึ้นมา
ปัจจุบันภรรยาทั้งสามของเขาได้ตั้งครรภ์แล้ว แต่เขาต้องออกเดินทางไปยังว่อเฟิงเต้าในเดือนหกหรือเดือนเจ็ด มีเวลาอยู่กับภรรยาน้อยเป็นอย่างมาก เหล่าภรรยาสวยงามถึงเพียงนั้น เขาจึงค่อนข้างที่จะละอายใจ
วัยรุ่นเสเพลในชาติก่อนได้จากไปเนิ่นนานแล้ว เขาในวันนี้มิอยากกลับไปเป็นคนมิเอาถ่านอีกแล้ว
เขาที่อยู่ในโลกนี้ มีรากฐาน มีความผูกพัน มีความพะวง เหมือนกับในจดหมายที่บิดาอ้วนส่งมาให้ ในวันนี้เมื่อมีครอบครัวและได้เป็นพ่อคนแล้ว จะต้องทะนุถนอมคนที่อยู่รอบข้างเอาไว้ให้ดี และหวงแหนช่วงเวลาดี ๆ ที่ใช้ร่วมกัน
สุราขุ่นไหลลงไปในท้อง ฮั่วหวยจิ่นถอนหายใจยาวเหยียด “ข้าวิ่งมาตั้งไกลแสนไกล คิดแต่จะแก้แค้นให้บิดา… ให้ตายเถอะ อย่าได้เอ่ยว่าจะสังหารเซวี๋ยติ้งชานเลย แม้แต่องครักษ์ 3,000 นายของเขา ข้าก็ยังมิได้แตะเลยด้วยซ้ำ…”
เขาหันไปมองเฟ่ยอัน “ท่านแม่ทัพใหญ่ ลูกน้องของท่านผู้นั้นโหดเหี้ยมมากยิ่งนักนัก เชียนฟูจ่างของกองสองผู้นั้น ! ”
เฟ่ยอันหัวเราะน้อย ๆ “หากกล่าวไปแล้วเจ้าย่อมมิเชื่อ คนผู้นั้นคือทหารใหม่ เซวี๋ยติ้งชานก่อกบฏ ตระกูลโจ่งและตระกูลหยูแห่งหลินจื๋อ ล้วนออกหน้าควักเงินจำนวน 6 ล้านตำลึงเพื่อเกณฑ์ทหารไปสู้รบ กองสองจึงได้เกณฑ์มาใหม่ในตอนนั้นนั่นเอง ในกองสองมีคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินจื๋ออยู่ 1 คน”
เมื่อเอ่ยถึงคุณชายเศรษฐีที่ดิน เฟ่ยอันก็เหลือบตาไปมองฟู่เสี่ยวกวน “ชายผู้นั้นมิได้ศึกษาตำรา ศึกแรกคือที่ท่าชุนเฟิง พวกเจ้ายังมิเคยเจอ ชายผู้นั้นกล้าหาญราวกับเทพนักรบอย่างแท้จริง เหมือนทหารใหม่ตรงที่ใดกัน เหี้ยมโหดมิเกรงกลัวตายเสียยิ่งกว่าทหารเก่านับสิบปี ศึกนั้น เขาเพียงคนเดียวสามารถสังหารทหารราบซีหรงไปได้ราวหนึ่งร้อยกว่านาย”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจขึ้นมาทันพลัน “เก่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
“ดังนั้น บางอย่างก็คือพรสวรรค์ ก็เหมือนกับบทกวีและบทความของเจ้าที่มิมีผู้ใดเทียบได้ หากขัดเกลาชายผู้นั้นเพิ่มอีกสักหน่อย ในภายภาคหน้าย่อมสามารถเป็นแม่ทัพได้อย่างแน่นอน เฮ้อ… ! ”
แต่ทว่าเฟ่ยอันกลับถอนหายใจออกมา “นั่นคือม้าป่า คิดเพียงจะต่อสู้เพื่อโชคลาภ ภายภาคหน้าหากข้ามีเวลาจะจัดการดูแลเขาให้ดี ! ”
“เฮ้อซานเตาผู้นั้นน่ะหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสนใจเขาผู้นี้ขึ้นมา จึงเอ่ยถามออกไปอย่างรื่นเริง เฟ่ยอันพยักหน้า “นอกจากเขาก็มิมีผู้ใดแล้ว”
กล่าวจบเฟ่ยอันก็หันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างระแวง “เจ้าอย่าได้สนใจในตัวเขาเชียว มิใช่เรื่องง่ายเลยที่ข้าจะพบนักรบโดยกำเนิดเยี่ยงนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้สนใจเฮ้อซานเตาขึ้นมาแล้วอย่างแท้จริง
กองกำลังดาบเทวะขยายทัพไปถึง 30,000 นาย จัดตั้ง 3,000 นายเป็น 1 กอง รวมทั้งสิ้นมี 10 กอง ดังนั้นจึงต้องการนายทหารชั้นผู้นำระดับกลางจำนวนมาก
เขาหัวเราะออกมาอย่างรู้ทัน “แม่ทัพใหญ่เฟ่ยค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวนะ พวกเราต่างก็เป็นทหารของราชวงศ์หยู เชียนฟูจ่างกวนเสี่ยวซีกองพันหน่วยสอดแนมที่อยู่ในสังกัดแม่ทัพเผิงก็เป็นผู้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง เพียงกวนเสี่ยวซีกล่าวว่าอยากไปกองกำลังดาบเทวะ แม่ทัพเผิงก็รีบปล่อยมือจากเขาทันที
ทำเพื่อสิ่งใดกันน่ะหรือ ? ทั้งหมดก็เพราะกองกำลังดาบเทวะมีรูปแบบการฝึกที่เป็นระบบและครบครันมากที่สุดในใต้หล้า ! เขามิใช่ม้าป่าหรอกหรือ ? ในกองกำลังดาบเทวะ ต่อให้เป็นเสือก็ต้องหมอบให้เช่นกัน ! ม้าป่าเพียง 1 ตัวจะทำอันใดได้ ? มอบให้ไป๋ยู่เหลียนไปเถอะ เพียงมิเกิน 1 เดือน เขาจะเชื่องราวกับกระต่ายตัวหนึ่ง ท่านเชื่อข้าหรือไม่ ? ”
ดวงตาเฟ่ยอันเบิกกว้าง เผิงยวี๋เยี่ยนกลับหัวเราะร่าขึ้นมา และเอ่ยโน้มน้าวว่า “แม่ทัพใหญ่เฟ่ย แท้จริงแล้วก่อนที่จะพบกับกองกำลังดาบเทวะ ข้าก็มิยินยอมที่จะปล่อยเขาไปเช่นกัน แต่ในศึกด่านที่ชีผาน ข้าได้เห็นรูปแบบการทำศึกของกองกำลังดาบเทวะด้วยตาของตนเอง ข้าจึงได้ใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน รู้สึกว่านั่นคือวิธีการรบที่หลีกเลี่ยงมิได้ในภายภาคหน้า”
เผิงยวี๋เยี่ยนชะงักลงชั่วครู่ แล้วกล่าวขึ้นมาอีกว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ลองคิดดูเถอะ หลังจากปืนคาบศิลาเป็นที่นิยมในกองทัพ วิธีการรบในตอนนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำดินใช่หรือไม่ ?
ดาบและหอกก็มิได้มีประโยชน์เท่าใดแล้ว ภายภาคหน้าต้องใช้ปืนในการต่อสู้ รวมเข้ากับธาตุแท้ที่แข็งแกร่งและกำลังการต่อสู้ที่สูงอย่างยิ่ง ทัพของท่านและข้าต่างก็มิพร้อมในสิ่งนี้ มิช้าก็เร็วก็ต้องเผชิญกับการคัดออก
ด้วยเหตุนี้ มิสู้ส่งทหารชั้นเยี่ยมไปกองกำลังดาบเทวะดีกว่าหรือ ? ภายภาคหน้า… บางทีพวกเขาอาจจะเข้ามาแทนที่พวกเรา และกลายเป็นแม่ทัพคนใหม่ของยุคสมัยใหม่ก็เป็นได้”
คำเอ่ยของเผิงยวี๋เยี่ยนทำให้เฟ่ยอันเงียบลงทันพลัน
เขามิได้กล่าวอันใดออกมาอีก เขาเพียงดื่มสุราแก้กลุ้มและใคร่ครวญคำเอ่ยนั้น
การต่อสู้ของกองกำลังดาบเทวะกองกำลังที่สามในเมืองเจี้ยนเหมิน เขาก็ได้พบได้เห็นแล้ว เรียกได้ว่าพังพินาศอย่างแท้จริง
ในใต้หล้านี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ยังมิมีกองทัพใดที่สามารถเทียบเท่ากับกองกำลังดาบเทวะได้
“เฮ้อ… คำเอ่ยของท่านแม่ทัพเผิงนั้นมีเหตุผลยิ่ง ข้าเห็นแก่ตัวจนเกินไป พาคนมา…ไปเรียกเจ้าเฮ้อซานเตามาพบข้า ! ”
กล่าวจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน “กองสรรพาวุธของเจ้ามิสามารถขยายขนาดออกไปได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ของสิ่งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก หากอาวุธของทุกกองทัพในราชวงศ์หยูเปลี่ยนมาใช้ปืนคาบศิลาทั้งหมด นั่นจะเป็นพลังการรบที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ ! ”
“กำลังขยายอยู่ ผิงหลิงเองก็กำลังสร้างกองสรรพาวุธขึ้นมาอีกแห่ง วิธีการผลิตของสิ่งนี้ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นข้าประเมินว่าต้องใช้เวลาสองถึงสามปีจึงจะสามารถเปลี่ยนได้ทั้งหมด ข้าจะทูลฝ่าบาทให้กองทัพชายแดนทั้งสี่เขตจัดตั้งกองกำลังพิเศษขึ้นมาหนึ่งชุด ใช้ 10,000 นายโดยประมาณ ข้าสามารถส่งทหารดาบเทวะไปสอนได้”
เฟ่ยอันและเผิงยวี๋เยี่ยนดีใจขึ้นมาทันพลัน ชายผู้นี้ถือว่าใช้ได้ มิมีความคิดที่จะซุกซ่อน ด้วยวิธีนี้ กำลังรบของกองทัพชายแดนทุกที่ก็จะเพิ่มสูงขึ้น อนาคตของราชวงศ์หยู จะมิใช่ไก่อ่อนให้ใครหน้าไหนมารุกรานได้อีกต่อไป
เฟ่ยอันชนแก้วกับฟู่เสี่ยวกวน “สงครามจบลงแล้ว ทหารใหม่ชุดนี้ถือว่ามิเลว ข้าคิดว่าเดิมทีราชสำนักคิดจะเกณฑ์ทหารใหม่อยู่แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะถามทหารเหล่านั้นว่า หากพวกเขายังอยากจะเป็นทหารต่อ ข้าจะส่งพวกเขาไปยังกองทัพชายแดนตะวันออกเพื่อมอบให้กับองค์ชายใหญ่”
ฟู่เสี่ยวกวนกระดกสุรา โบกมือ และเอ่ยขึ้นมาว่า “กองทัพชายแดนตะวันตกในตอนนี้ เหลือเพียงนามเท่านั้น รายงานที่ได้รับชัยชนะได้ส่งไปที่จินหลิงแล้ว จากสายตาของข้า มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่แม่ทัพใหญ่เฟ่ยจะได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของกองทัพชายแดนตะวันตกนี้แทน”
“ดังนั้น ข้าขอเสนอว่าแม่ทัพใหญ่เฟ่ยอย่าเพิ่งกระจายทหารชุดนี้ ให้รอพระราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ที่เมืองเจี้ยนเหมินเสียก่อนแล้วค่อยทำการตัดสินใจ”
เฟ่ยอันนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน “ข้าคือขุนนางที่มีความผิด ครอบครัวฝ่ายบิดาของข้าก็สมรู้ร่วมคิดกันก่อกบฏ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ แต่มิได้เอ่ยอันใดออกไป
ทันใดนั้นเอง เสี้ยวเว่ยที่เฟ่ยอันเพิ่งมอบหมายให้ไปเรียกเฮ้อซานเตามาพบก็ได้วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางวิตกกังวลและเหงื่อที่ไหลท่วมกาย
“รายงานท่านแม่ทัพใหญ่ เฮ้อซานเตากล่าวว่าตอนนี้เขายังมิว่างขอรับ ! ”
เฟ่ยอันชะงักลงทันพลัน “เจ้าสุนัขนั่นกำลังทำอันใดอยู่กัน ? ”
“เขา… เขากำลังพาทหารจำนวน 100,000 นาย ไปโกยเงินในจวนเฉิงโฉวอยู่ขอรับ ! ”