นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 634 ป้องกัน
ตอนที่ 634 ป้องกัน
ข้ากังวลมากจนเกินไปหรือไม่ ?
เมื่อมองตามหลังขบวนเสด็จที่จากไป ฟู่เสี่ยวกวนก็บังเกิดอาการงุนงงเป็นอย่างมาก เขาเอาแต่ยืนนิ่งอยู่บนถนนชูเซียงเป็นเวลาเนิ่นนาน
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่เพื่อตรัสเรื่องนี้กับเขาโดยเฉพาะ
พระประสงค์ของฝ่าบาทนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก พระองค์ต้องการกองทหารหลวงรักษาการณ์ที่มีประสิทธิภาพในการรบเช่นเดียวกับทหารดาบเทวะ เนื่องจากตอนนี้พระองค์มิสามารถควบคุมทหารดาบเทวะได้ เอ่ยง่าย ๆ เลยก็คือพระองค์ประสงค์จะยึดกองทัพดาบเทวะจากการดูแลของฟู่เสี่ยวกวนเสีย
ฮ่องเต้ได้ตรัสอย่างชัดเจนแล้วว่าหยูเวิ่นเต้าจะเป็นผู้ขึ้นครองบัลลังก์องค์ต่อไปของราชวงศ์หยู หากเอ่ยถึงมิตรสหายในเมืองจินหลิงนี้แล้ว สำหรับฟู่เสี่ยวกวนก็มีหยูเวิ่นเต้าเป็นหนึ่งในสหายเพียงมิกี่คน
ยามนี้หยูเวิ่นเต้ากำลังฝึกฝนวิชาของทหารดาบเทวะอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลิน แท้จริงแล้วฝ่าบาทมิจำเป็นต้องตรัสกับเขาเรื่องนี้ก็ได้ เพราะหยูเวิ่นเต้าจะจบการศึกษาในระดับที่สองจากกองกำลังดาบเทวะในปีหน้านี้อยู่แล้ว แน่นอนว่าย่อมสามารถจัดตั้งกองทัพใหม่ขึ้นมาได้เอง
นี่คือเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนมิสามารถควบคุมได้ แท้จริงแล้วฝ่าบาทสามารถตรัสเรื่องนี้วันหลังก็ได้ แต่ทว่าพระองค์ก็เลือกที่จะตรัสออกมาในวันนี้
หรือว่านี่คือการแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ของพระองค์ทางอ้อม ?
วิธีการฝึกของทหารดาบเทวะนั้นฟู่เสี่ยวกวนมิได้อยากปิดบังอันใด ข้างในลึก ๆ แล้วนั้น เขารู้จักราชวงศ์หยูเป็นอย่างดี อีกทั้งยังคิดว่าตนเองเป็นคนของราชวงศ์หยูอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อแคว้นนี้และราษฎรทุกคน
หวังว่าข้าจะคิดมากไปเอง !
จากนั้นเขาก็หันหลังเดินกลับไปทางเดิมที่จากมา แต่ทว่าก็คิดถึงเรื่องการป้องกันก่อนเหตุร้ายจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดทาง
หรือว่าฝ่าบาทเตรียมตั้งรับจากเขาอยู่ก่อนแล้ว ?
……
……
พอเดินคิดมาเรื่อย ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็เลี้ยวเข้าไปในห้องสอบทันที
เขาอยากจะดูผู้เข้าสอบสักหน่อย สำหรับการสอบนั้นผ่านไปแล้วหลายชั่วยาม มิรู้ว่ามีผู้ลงมือเขียนแล้วประมานกี่คน
ซือหม่าเช่อกำลังใช้ความคิด นางลงมือเขียนลงในกระดาษ ตัวอักษรแต่ละบรรทัดทั้งสวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ทว่าก็มีบางส่วนที่เขียนได้มิค่อยเรียบร้อยสักเท่าใดนัก !
“การทอผ้าที่เจียงหนานมีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วหล้า เป็นเพราะการพัฒนาอุตสาหกรรมการทอผ้าที่ผู้คนทางเจียงหนานทั้งสองสายถูกผลักดันให้ปลูกหม่อนและเลี้ยงไหมมาโดยตลอด การปลูกหม่อนและเลี้ยงไหมมิเพียงช่วยแก้ปัญหาการจัดหาวัสดุแก่พ่อค้าทอผ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มรายได้ของราษฎรอีกด้วย และในยามว่างราษฎรยังสามารถเข้าร่วมทำการผลิตในโรงงานได้ด้วย ถือเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของใต้หล้านี้”
หยุนซีเหยียนเขียนคำตอบลงไปอย่างรวดเร็วด้วยความตั้งใจ
“กล่าวโดยรวมคือการผูกขาด ความหมายประการแรกคือการผูกขาดเป็นอุปสรรคด้านการพัฒนา ประการที่สองคือผูกขาดการกระจายเงินลงทุน ประการที่สามคือการกักขังผู้ที่มีความสามารถ”
“หลายปีมานี้ทุกสาขาอาชีพได้รับการพัฒนา อุปกรณ์ขั้นสูงค่อย ๆ ถูกผูกขาดโดยตรงจากตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจ พวกเขามีความสามารถในการแข่งขันด้านการตลาดอันแข็งแกร่ง อีกทั้งพวกเขาก็ยังได้รับผลกำไรมากขึ้นอีกด้วย
เนื่องจากโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางมีจำนวนมาก แต่ทว่ามิมีเงินลงทุนสำหรับการปรับปรุงอุปกรณ์ สินค้าของพวกเขาจึงถูกตัดออกจากตลาดและกลายเป็นวงจรอุบาทว์ในท้ายที่สุด…
ตระกูลพ่อค้าที่มีอำนาจได้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการรายย่อยกลับมิได้อันใดเลย
ดังนั้นพวกตระกูลใหญ่จึงไร้คู่แข่งและมิจำเป็นต้องมีการปรับปรุงอุปกรณ์เพิ่มเติมอีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้การยกระดับของเทคโนโลยีหยุดชะงักลง
ดังนั้นอุปสรรคทางการพัฒนานี้ต้องถูกทำลาย !
ข้าคิดว่าเมื่อมีการจัดตั้งสหพันธ์การค้าขึ้น ย่อมมีการแบ่งปันทางด้านเทคโนโลยี เยี่ยงไรก็ตามค่าใช้จ่ายทางด้านเทคโนโลยีจะต้องจ่ายจากกำไรของการขายสินค้า
ด้วยวิธีการนี้โรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางจะได้รับอุปกรณ์ที่ทันสมัย สินค้าจะสามารถบรรจุอยู่ในตลาดหลักได้ ในขณะที่ตระกูลพ่อค้าใหญ่ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์เหล่านั้น ก็จะสามารถได้รับผลกำไรบางส่วนจากโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางเหล่านั้นได้อีกด้วย นี่คือผลดีของทั้งสองฝ่าย”
ในเวลานั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้ามาในห้องสอบพอดี
เขาเข้ามาจากด้านหลังจึงมิมีผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ยกเว้นขุนนางผู้คุมสอบซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าสุด
เขายืนอยู่ด้านหลังของบัณฑิตผู้หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา
กระดาษคำตอบของบัณฑิตผู้นี้ว่างเปล่า อีกฝ่ายเกาศีรษะมึนงงเพราะมิรู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนอันใดก่อนดี
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะก้าวไปข้างหน้าแต่ทว่าจังหวะนั้นก็ได้เหลือบไปเห็นใบหน้าของบัณฑิตผู้หนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็วางพู่กันลง
‘จะปัดกวาดใต้หล้าเยี่ยงไร ? ก็เปรียบดั่งการนำไม้กวาดมากวาดใต้หล้า ! ’
‘ปณิธานที่เด็ดเดี่ยวของติ้งอันป๋อนี้ ข้าที่ร่ำเรียนปรัชญาขงจื้อมานานกว่าสิบปีเต็มใจจะช่วยถือไม้กวาดในมือของติ้งอันป๋อเพื่อขับไล่ฝุ่นและกวาดไปทั่วฟ้าดิน…’
นี่…ต้องมีสิ่งใดผิดพลาดเป็นแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะให้กับสิ่งที่เห็นแล้วเดินช้า ๆ ไปตามทาง
เขาก็เดินไปถึงด้านหลังของซือหม่าเช่อ จากนั้นก็ถูกดึงดูดด้วยตัวอักษรงดงามในกระดาษ เขามองตัวอักษรที่ ซือหม่าเช่อเขียนด้วยความสนใจแล้วพบว่าบทความนี้ช่างยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก !
มิรู้ว่าเยาวชนผู้นี้คือลูกหลานตระกูลใด
ด้วยความอยากรู้จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วหันไปมองใบหน้าของเยาวชนผู้นั้น…
ซือหม่าเช่อที่เขียนคำตอบเสร็จแล้วกำลังจะวางพู่กันลง ในขณะนั้นนางก็ได้เงยหน้าขึ้น
“อ๊ะ… ! ” ซือหม่าเช่อตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็เอนไปข้างหลังเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อทันที
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน สตรีผู้นี้มาเข้าร่วมการสอบด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
ที่หอซื่อฟางในคืนนั้นนางกล่าวว่าจะไปว่อเฟิงเต้าด้วยกันกับเขา ตนก็คิดไปว่านางจะเดินทางไปว่อเฟิงเต้าด้วยตนเอง แต่กลับมิคาดคิดว่านางจะใช้วิธีการเช่นนี้ !
หากจะว่าไปแล้วใช้วิธีเช่นนี้ก็ย่อมได้ แต่เจ้าเป็นสตรีจะเป็นขุนนางไหวเยี่ยงนั้นหรือ ?
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว สายตาของเขาก็กวาดไปทั่วหน้าอกของซือหม่าเช่อ ไอหยา… ใช้วิธีเช่นนี้มิเหมาะสม !
เมื่อซือหม่าเช่อเห็นเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองอีกครา จึงเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังมองมาที่นางทำให้นางรู้สึกเขินอายและหัวใจก็เต้นรัวเร็วขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
หัวใจของซือหม่าเช่อเต้นแรงมิยอมหยุดเสียที โชคดีที่บทความเขียนเสร็จแล้ว มิเช่นนั้น… คงจะมิสามารถเขียนต่อได้เป็นแน่
เขาจะคิดว่าสตรีที่ไปปรากฏตัวในวงสังคมเป็นเรื่องที่มิดีหรือไม่ ?
เขาจะคิดว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลหรือไม่ ?
มิคิดเลยว่าจะโดนเขาทำให้ขายหน้าเยี่ยงนี้ แล้วข้าจะทำเยี่ยงไรดี ?
……
……
ณ วังเตี๋ยอี๋
ฮ่องเต้ภายใต้ฉลองพระองค์ผ้าลินินธรรมดาสีม่วงได้ประทับอยู่กับฮองเฮาซั่งในสวนดอกไม้ของวังเตี๋ยอี๋ ทั้งสองพระองค์นั่งอยู่ใต้แสงสุริยาในยามเช้า
“เจ้าเด็กคนนั้นมิยอมรับทุ่งเลี้ยงสัตว์ทั้งสามแห่งที่ข้าจะมอบให้”
ฮองเฮาซั่งยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เขาคงจะมิมีเวลาดูแลอย่างแท้จริง… อีกประการหนึ่งคือหนิงไท่ฟู่ยังมิมีโอกาสทูลปฏิเสธต่อฝ่าบาท แต่หม่อมฉันเห็นว่าตระกูลหนิงของเขามีคุณธรรมมาตั้งแต่บรรพชน ควรให้หนิงไท่ฟู่ดูแลเรื่องขุนนางและจัดการเรื่องนางสนมจะดีกว่าเพคะ”
ฮ่องเต้มิได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เพียงแต่ตรัสว่า “ข้าได้เอ่ยกับเขาอย่างชัดเจนแล้วว่าปีหน้าให้ไป๋ยู่เหลียนมาฝึกกองทหารหลวงรักษาการณ์ราว 100,000 นายให้ข้า”
ฮองเฮาซั่งขมวดคิ้วอย่างมิเข้าใจ “เขาตกลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”
“อืม…แต่ข้าก็มิรู้ว่าเขาเต็มใจมากน้อยเพียงใด”
“เหตุใดถึงมิรอให้เวิ่นเต้ากลับมาฝึกให้เองล่ะเพคะ ? ”
ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตรัสขึ้นมาว่า “เรื่องนี้… ข้าคิดว่ามิควรปิดบังเสี่ยวกวน ข้าอยากให้เขาได้รับรู้ว่าข้าเองก็ต้องการกองทัพเช่นนี้ไว้เหมือนกัน”
ฮองเฮาซั่งกำลังใช้ความคิด “เช่นนี้ก็ดีเพคะ ในฐานะขุนนาง เสี่ยวกวนย่อมกังวลเกี่ยวกับพระประสงค์ของฝ่าบาท ในฐานะฮ่องเต้ย่อมมีวิธีที่ตรงไปตรงมาและเปิดเผยเช่นนี้ คงจะมิมีเหตุการณ์ใดพลิกผันหรอกเพคะ”
“ฮองเฮา…ข้านั้นกังวลมากยิ่งนัก มนุษย์เราสามารถเปลี่ยนไปได้เสมอ เจ้าว่าตอนนี้เขาอยู่ในตำแหน่งสูงส่งและอำนาจในมือของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าคิดว่าจะมีวันนั้น…”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าพระทัยของฝ่าบาทเริ่มเปลี่ยนไปแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้หยุดตรัสไว้เพียงเท่านั้น ทอดพระเนตรออกไปมองสุริยายามเช้าที่ส่องแสงลงมา… เพิ่งจะรุ่งสางเท่านั้น แต่ทว่าแสงนั้นก็ทำให้เริ่มแสบตาแล้ว !
หากดวงอาทิตย์ขึ้นกลางท้องฟ้า……ข้าคงทำได้เพียงหลบอยู่ใต้ชายคาเท่านั้นหรือ ?
(เชื่อมกับประโยคก่อนหน้าที่ฮ่องเต้บอกว่าพระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ส่องแสงลงมา แต่แสงของมันกลับสว่างจ้าแสบตาแล้ว) พระอาทิตย์ในที่นี้เปรียบเปรยคือฟู่เสี่ยวกวนด้วย