นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 637 หม้อไฟ
ตอนที่ 637 หม้อไฟ
มีเงินและยังดื่มซีชานเทียนฉุนอีกด้วย !
ทันใดนั้นหยุนซีเหยียนก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่
“ตระกูลของสหายฟู่คงจะมั่งคั่งมากยิ่งนัก เฮ้อ…มิเหมือนข้าที่โดนบิดาไล่ออกมาเพื่อให้ข้าออกเดินทางหลายพันลี้ พวกท่านคงมิทราบว่าตลอดสามปีมานี้ข้ามีชีวิตเยี่ยงไรบ้าง โชคดีที่สวรรค์ได้ให้กำเนิดฟู่เจวี๋ยเย ! มิเยี่ยงนั้นเกรงว่าข้าจะต้องหิวจนตายไปแล้วเป็นแน่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเกาศีรษะ “ท่านรู้จักฟู่เจวี๋ยเยด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกันล่ะ ? ” ทันใดนั้นหยุนซีเหยียนก็โน้มตัวลงมา เบาเสียงลงและกล่าวอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ว่า “วันนี้ได้ดื่มสุรากับท่าน ข้าจึงจะบอกวิธีหาเงินอีกทางหนึ่งให้พวกท่านฟัง แต่อย่าได้เล่าต่อไปเชียวล่ะเพราะถ้าหากฟู่เจวี๋ยเยได้ยินเข้า พวกเราจะซวยเอาได้ ! ”
ซือหม่าเช่อปิดปากเงียบและลอบยิ้ม ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ชะงักนิ่ง “รีบเอ่ยมาสิ”
“บทกวีและบทความของฟู่เจวี๋ยเยสามารถทำเงินได้ ! ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็หยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “เล่มนี้ยังบันทึกลงไปมิครบ แต่ทว่าตอนนี้บทกวีทั้งหมดที่ฟู่เจวี๋ยเยประพันธ์ได้เผยแพร่ออกสู่ตลาดไปแล้วราว 10 บท ข้าจึงจัดการรวบรวมบทกวีเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้วทำการตีพิมพ์จำนวน 1,800 เล่มในทุกสถานที่ที่ข้าไป ข้าเลือกวางขายในตลาดที่คึกคักเท่านั้น…”
“พวกท่านคงมิทราบหรอกว่าชื่อเสียงของฟู่เจวี๋ยเยโด่งดังมากเพียงใด เพียงข้าตะโกนออกไปว่า ‘รวมผลงานชิ้นเอกของฟู่เจวี๋ยเย 1 เล่ม 1 ตำลึง…’ พวกท่านคงเดามิได้หรอกว่าผู้คนเหล่านั้นบังเกิดความบ้าคลั่งถึงเพียงใด โดยเฉพาะสตรีทั้งหลาย ไอหยา… สวรรค์ ! หากเป็นฟู่เจวี๋ยเยปรากฏตัวออกมาเอง เกรงว่าจะถูกพวกนางชิงตัวไปขังไว้ในห้องอย่างแน่นอน ! ”
ซือหม่าเช่อขัดเขินเสียจนหน้าแดง หยุนซีเหยียนหัวเราะร่าแล้วชี้มาที่นาง “น้องซือหม่ารู้สึกอับอายใช่หรือไม่ ? บทกวีของฟู่เจวี๋ยเยขายดีมากยิ่งนัก ขายดีราวกับแจกฟรีอย่างไรอย่างนั้น 1,800 เล่มเพียงแค่เปิดขาย 1 ชั่วยามก็มิเหลือแล้ว ข้าได้เงินเท่าใดเยี่ยงนั้นน่ะหรือ ? มิน้อยไปกว่าห้าถึงหกร้อยตำลึงเชียวล่ะ ! ”
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้างในทันพลัน สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ ?
ชายผู้นี้มีความสามารถมากยิ่งนัก !
“ในเมื่อขายดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงมิทำขายให้เยอะขึ้นอีกสักหน่อยเล่า ? ”
“เป็นมนุษย์อย่าโลภมาก หากถูกทางการพบเข้าแล้วเรื่องดังไปถึงหูของฟู่เจวี๋ยเย พวกท่านคิดว่านี่คือการเอาชีวิตไปทิ้งหรือไม่ ? ”
“ขอกล่าวกับพวกท่านอย่างมิปิดบัง เมื่อข้ามาถึงจินหลิงก็ได้เจอร้านรับพิมพ์หนังสืออยู่ร้านหนึ่งจึงลองสั่งตีพิมพ์ออกมาก่อน 100 เล่ม คุณภาพยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก ! รอให้หลานถิงจี๋ติดประกาศบทกวีใหม่ ๆ เมื่อใด ข้าจะไปคัดลอกออกมาขาย แล้วข้าจะเลี้ยงซีชานเทียนฉุนพวกท่านเอง ! ”
หยุนซีเหยียนตบเข้าที่หน้าอกของตนเองดัง ‘ปึกปึก’ แล้วกล่าวต่อว่า “คนแซ่หยุนเอ่ยแล้วย่อมมิคืนคำ วันที่ข้าทำเงินก้อนนั้นได้ก็ให้พวกเรามาเจอกันที่นี่อีกครา มิพบเจอมิกลับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับปาก แต่กลับเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “ตามที่ข้ารู้มา บทกวีของฟู่เจวี๋ยเยเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วทั่วหล้า พวกเขาจะซื้อไปทำอันใดอีกกัน ? ”
“ท่านคงมิทราบเรื่องนี้ ก่อนอื่นพวกเราต้องวิเคราะห์จิตใจของผู้บริโภคเสียก่อน ! ”
“บทกวีของฟู่เจวี๋ยเยเป็นที่รู้จักไปทั่วหล้านี่คือความจริง แต่มิมีผู้ใดคิดจะนำบทกวีและบทความของเขามาจัดทำเป็นรูปเล่มนี่นา ! นี่คือโอกาสทางการค้า พวกท่านลองดูสิ บนหน้าปกนี้ข้าก็วาดเองกับมือ รูปลักษณ์เหมือนกับฟู่เจวี๋ยเยใช่หรือไม่เล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ ๆ… ซือหม่าเช่อเองก็ยืดคอไปมองเช่นกัน นางจ้องมองหน้าปกนั้นแล้วหันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะหลุดหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ออกมา
“ถึงแม้จะมิเคยพบฟู่เจวี๋ยเยมาก่อน แต่คนที่เคยพบฟู่เจวี๋ยเยก็มีมิมากเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงวาดฟู่เจวี๋ยเยออกมาให้ดูองอาจและสง่างามจึงจะตรงกับความปรารถนาของสตรีทั้งหลาย”
หยุนซีเหยียนพลิกหน้ากระดาษไปมาอยู่หนึ่งรอบด้วยความอิ่มเอมใจ “หน้าปกนี้คือรูปของผู้นำด้านวรรณกรรมแห่งใต้หล้า บุรุษในฝันของสตรีนับพันล้านคน ‘รวมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวน คุณค่าที่ทุกท่านควรมี’ อักขระเหล่านี้ ย่อมโดนใจหญิงสาวมากยิ่งนัก พอพวกนางได้ดูรูปหน้าปกนี้ก็จะตกหลุมรักในความสง่างามของฟู่เจวี๋ยเยทันที แล้วแบบนี้พวกนางจะทนไหวได้เยี่ยงไรกัน ! ”
“เฮ้อ…แต่ทว่าน่าเสียดายยิ่ง”
“เสียดายอันใดหรือ ? ”
“หากได้รับการลงนามจากฟู่เจวี๋ยเยตัวจริง ถ้าหากทางการยอมให้เขาออกหน้ารับผิดชอบได้ การสั่งพิมพ์และวางขายในร้านหนังสืออย่างเอิกเกริกย่อมมิมีทางทำยอดขายได้น้อยกว่าความฝันในหอแดงเป็นแน่ ! ”
ประมาทไปแล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนนึกมิถึงในจุดนี้เลยจริง ๆ
ทุกวันนี้ความฝันในหอแดงยังคงวางขายอยู่ เพียงแค่เขามิทราบว่าตอนนี้เหลือจำนวนเท่าใด เพราะเป็นเวลานานแล้วเหมือนกันที่มิได้ไปสอบถาม
หากรวบรวมบทกวีแล้วนำไปวางขาย คาดว่าน่าจะสามารถทำเงินได้ก้อนใหญ่เลยล่ะ
แต่ทว่ากับเรื่องนี้เขาทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ภรรยาทั้งสามที่จวนต่างก็กำลังตั้งครรภ์ เขาจึงมิมีกำลังจะไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงมิได้ใส่ใจอันใด
ซุนถัวเป้ยยกหม้อไฟมาด้วยตนเอง เตาถ่านบนโต๊ะติดไฟขึ้นมาหลังจากนั้นก็มีเสี่ยวเอ้อนำวัตถุดิบต่าง ๆ ตามเข้ามา
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดสุราแล้วรินให้กับหยุนซีเหยียนหนึ่งจอก ลอบมองซือหม่าเช่อแล้วรินให้นางหนึ่งจอกด้วยเช่นกัน
“หากเอ่ยถึงการกินหม้อไฟก็ยังคงเป็นเนื้อแกะ ผ้าขี้ริ้ว ไส้เป็ด และเลือดเป็ดที่อร่อยที่สุด หลอดลมวัวเองก็มิเลว ส่วนสมอง… หากผู้ใดได้ลองกินก็จะต้องชอบมันมากเช่นกัน รากบัวหั่นเป็นแว่นรวมเข้ากับเห็ดนานาชนิด เพียงลวกในน้ำซุปเช่นนี้ก็เลิศรสมากแล้ว”
หยุนซีเหยียนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “พี่ฟู่ดูเหมือนจะรู้ดีถึงรสสัมผัสแต่มิทราบว่าน้องซือหม่า… สามารถทานรสชาติเผ็ดเช่นนี้ได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซือหม่าเช่อจ้องมองน้ำซุปสีแดงในหม้อจนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว
อาหารของเจียงหนานส่วนใหญ่เป็นรสอ่อน หม้อไฟสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยพริกเยี่ยงนี้ นางจินตนาการถึงรสชาติมิออกเลย
ในขณะนี้ความร้อนได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พริกที่อัดแน่นภายในหม้อนั้นหมุนวน ยามที่ควันลอยขึ้นมาจึงมีกลิ่นฉุนจมูกเข้ามากระทบกับใบหน้าของนาง
“ฮัด… ชิ่ว ! ”
ซือหม่าเช่อเบือนหน้าหนีเพื่อจามอย่างหนักก่อนที่น้ำตาจะไหลในเวลาต่อมา
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “อย่าทำอวดเก่ง ถ้าเยี่ยงนั้น… พวกเจ้าสั่งผัดสักสองสามอย่างดีหรือไม่ ? ”
ซือหม่าเช่อหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดจมูก “ไม่ ! ข้าทานได้ ! ”
เสี่ยวซิงเอ๋อร์มองคุณหนูด้วยท่าทีกังวลใจมากยิ่งนัก ของสิ่งนี้…ท่านทานได้จริงเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ?
“มามามา ลวกได้แล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายนิ้วชี้ไปมา คีบผ้าขี้ริ้วหนึ่งชิ้นใส่ลงไปในหม้อ “ของพวกนี้นับถึงสามก็ใช้ได้แล้ว เพราะหากลวกนานจนเกินไปจะมิอร่อย”
เขาคีบผ้าขี้ริ้วขึ้นมาและวางลงในถ้วยของสวี่ซินเหยียนจากนั้นก็คีบไส้เป็ดมาลวกครู่เดียวและวางลงในถ้วยของซือหม่าเช่อ
“พวกเจ้าลองชิมดูก่อน หากรับมิไหวก็สั่งอาหารอย่างอื่นมาแทนเสีย”
หลังจากนั้นเขาก็หยิบกระชอนมาลวกเลือดเป็ดหนึ่งชิ้น ตักเข้าปากแล้วเคี้ยว ทันใดนั้นสัมผัสของน้ำซุปที่เผ็ดร้อนและหอมเครื่องเทศก็กระจายไปทั่วทั้งปาก
“อืม… มิเลว รสชาตินี้ถือว่าใช้ได้ ! ”
“แค่กแค่กแค่กแค่ก…” ซือหม่าเช่อทานไปเพียงหนึ่งคำ เพราะเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนคีบให้นางจึงมีความสุขไปทั้งหัวใจ แต่ท้ายที่สุดกลับไอออกมาอย่างรุนแรงเพราะความเผ็ด
“แค่กแค่กแค่ก… ได้… แค่กแค่กแค่ก ข้าทานได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะลั่น
ซือหม่าเช่อเสียหน้าแต่ก็คีบผ้าขี้ริ้วออกมาหนึ่งชิ้นและใส่ลงไปในหม้อ “ก็แค่เผ็ดมิใช่หรือ ? พอทานไปเรื่อย ๆ ประเดี๋ยวก็ชินเอง ! ”
น้ำซุปสีแดงในหม้อเดือดพล่านขึ้นมาทำให้วัตถุดิบด้านในลอยวนอยู่เช่นนั้น ราวกับซือหม่าเช่อกำลังแข่งขันกับของสิ่งนี้อยู่ นางคีบผ้าขี้ริ้วลวกอย่างดุดันจากนั้นก็คีบมาเป่าให้เย็นลง อ้าปากกว้างแล้วยัดมันเข้าไป…
“ซี๊ด…”
นางเบ้ปาก ใช้มือพัดเป็นระวิงราวกับรู้สึกได้ว่าท่าทางมิค่อยจะสง่างามเท่าใดนัก จึงรีบปิดปากลงอย่างรวดเร็ว เคี้ยวทั้งก้อน ยืดคอออกและกลืนลงไปทันที…
หยุนซีเหยียนยกนิ้วโป้งให้นางด้วยอารามตกตะลึง “น้องซือหม่าสมกับเป็นลูกผู้ชายตัวจริง ! ”