นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 641 พบหยูเวิ่นชูอีกครา
ตอนที่ 641 พบหยูเวิ่นชูอีกครา
ชายชุดดำโค้งคำนับ “เรียนนายท่าน เนื่องด้วยมิค่อยเป็นมงคล ดังนั้นมดงานจึงกำชับให้ส่งมายังที่นี่ขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น “บรรจุของสิ่งใดไว้ด้านในกัน ? ”
“เรียนนายท่าน ด้านในนี้มิใช่สิ่งของ… แต่เป็นคนขอรับ ! ”
“ผู้ใดกัน ? ”
“หนึ่งในกบฏ องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูขอรับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงงัน และมองมดงานนายนี้
สงครามชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ตั้งแต่ต้นจนจบ ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยได้พบเจอกับหยูเวิ่นชูเลยสักครา
ในตอนแรกที่ด่านชีผาน กวนเสี่ยวซีกล่าวว่าแต่เดิมจะจับหยูเวิ่นชูทั้งเป็นได้อยู่แล้ว แต่เขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้มีฝีมือระดับสูงแห่งลัทธิจันทราเสียก่อน
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนส่งคนออกไปตามหาเบาะแสของหยูเวิ่นชูเป็นจำนวนมากก็ยังไม่มีข้อสรุป
“จับเขาได้ที่ใด ? ”
“เรียนนายท่าน ที่เขตหยุนไหลของถนนเจี้ยนหนานซีขอรับ”
อีกฝ่ายมิได้หนีไปซีหรงหรอกหรือ ?
“ไปพบตัวเขาได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ชายชุดดำนำป้ายหยกออกมาจากอกเสื้อจากนั้นก็ส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “เรียนนายท่าน เขาได้จำนำป้ายหยกชิ้นนี้ที่หรงโจว ประจวบเหมาะกับที่หลงจู๊ของโรงรับจำนำเป็นหนึ่งในฝูงมดพอดีขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับป้ายหยกมาดู เกรงว่าในเวลานั้นคนผู้นี้คงจนตรอกอย่างแท้จริง เพราะเห็นได้ชัดว่าบนป้ายหยกนี้มีชื่อของเขาอยู่ !
“เปิดโลงศพ”
“น้อมรับคำสั่ง”
ชายชุดดำเปิดฝาโลงออก ฟู่เสี่ยวกวนยื่นหน้าเข้าไปดูจึงพบว่าหยูเวิ่นชูกำลังนอนหลับตาอยู่เงียบ ๆ
“ตายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ยังมีชีวิตอยู่ขอรับ”
“ปลุกขึ้นมา”
“ขอรับ ! ”
ชายชุดดำหยิบน้ำเย็นมาหนึ่งอ่างจากนั้นก็สาดเข้าไป ส่งผลให้หยูเวิ่นชูสะดุ้งตื่นและลืมตาขึ้นมา
ข้าคือผู้ใดกัน ?
ข้าอยู่ที่ใด ?
มิใช่ว่าข้ากำลังล่าสัตว์อยู่ที่ภูเขาหยุนหรอกหรือ ?
อ่า… ข้าคือองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูแห่งราชวงศ์หยู และข้าถูกลักพาตัวที่ภูเขาหยุน !
แล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ใดกัน ?
ดวงตาของเขาเบิกโพลง ในใจเต็มไปด้วยความตื่นกลัว หลังจากนั้น…
“ปึง ! ” เขากระโดดออกมาจากโลงศพทันทีแต่เพราะกำลังภายในถูกสกัดเอาไว้จึงกระโดดได้มิสูงเท่าใดนัก ความหวาดผวาบนใบหน้าแสดงออกมาอย่างเด่นชัด…
“เจ้า เจ้า… เป็นเจ้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “เป็นข้าเอง องค์ชาย พวกเราได้พบกันอีกคราแล้ว ! ”
……
……
บนชั้นสามของหงซิ่วจาว
บนโต๊ะมีอาหารสามอย่างกับสุราหนึ่งขวด
ฟู่เสี่ยวกวนและองค์ชายสี่นั่งประจันหน้ากัน สวี่ซินเหยียนสวมผ้าคลุมหน้า และได้เฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
“องค์ชายยังจำตอนรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสอง วันที่สี่…” ฟู่เสี่ยวกวนนึกย้อนกลับไป จากนั้นก็รินสุราให้กับหยูเวิ่นชู “เดือนสองวันที่สี่ องค์ชายเสด็จมายังจวนของข้า”
“ในตอนนั้นข้าทูลกับองค์ชายว่า ข้ามิได้มีปณิธานยิ่งใหญ่อันใด ข้าเพียงอยากเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินที่สุขสบายไปทั้งชีวิตเท่านั้น… องค์ชายดื่มก่อนหนึ่งจอกเถิด ซีชานเทียนฉุน ดื่มง่ายกว่าเล็กน้อยถือว่าเป็นการชำระล้างฝุ่นให้กับพระองค์…”
หยูเวิ่นชูยกขึ้นดื่มจนหมดจอกในคราเดียว จากนั้นก็หยิบขวดสุราขึ้นมาและรินอีกหนึ่งจอก “ข้า… ข้าเองก็จำได้เช่นกัน ตอนนั้นเจ้ากล่าวว่า… เกรงว่าจะมีสองสถานการณ์ที่ทำให้พวกเราได้พบกันอีก หนึ่งคือรับชมดอกไม้ใต้แสงจันทร์ สองคือสายลมที่อ้างว้างและสายฝนอันหนาวเหน็บ”
หยูเวิ่นชูหัวเราะเยาะและดื่มอีกหนึ่งจอกที่รินด้วยตนเอง “ในคราแรกข้าก็อยากจะรับชมดอกไม้ใต้แสงจันทร์กับเจ้าอย่างแท้จริง ! หรือเจ้าในตอนนั้นทราบอยู่แล้วว่าข้าจะมีวันนี้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “ในเวลานั้นข้าเอ่ยเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น ขอบอกกันตามตรงว่าผู้ที่สูงส่งเยี่ยงองค์ชาย ข้ามิกล้าเอื้อมมือขึ้นไปแตะต้องหรอก และจะมิขอเอื้อมขึ้นไปด้วย”
หยูเวิ่นชูเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเฉยชา “เจ้าเอาตัวรอดได้ดี เมื่อบั่นศีรษะของเซวี๋ยติ้งชานแล้ว ฝ่าบาทเลื่อนยศอันใดให้เจ้ากันเล่า ? ”
“มิได้ตกรางวัลอันใดให้หรอก เพียงแค่ป๋อเจวี๋ยขั้นสามติ้งอันป๋อ… ติ้ง อัน นั้นมีความหมายดีเป็นอย่างมาก เหมือนกับจิ่นชินอ๋องขององค์ชาย แต่เยี่ยงไรความแตกต่างของพวกเราทั้งสองคนก็คือข้าเข้าใจความหมายของติ้งอัน แต่องค์ชายกลับหลงลืมคำว่า ‘จิ่น’ มิเช่นนั้นจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
หยูเวิ่นชูสูดลมหายใจแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากคำโต จากนั้นก็หยิบสุราขึ้นมาดื่มอีกอึกใหญ่
“ข้าหิวแล้ว”
“ถ้าหิวก็อย่าได้ทานเร็วจนเกินไป”
ตะเกียบของหยูเวิ่นชูหยุดอยู่กลางอากาศราวสามอึดใจ “เดิมทีข้าคิดว่าหอซี่หยู่จะพบตัวข้าก่อน มิได้คาดคิดถึงฝูงมดของเจ้าเลย… แท้ที่จริงข้าควรจะคาดการณ์เอาไว้ เพราะกล่าวไปแล้วเจ้าก็คือองค์ชาย ไม่ ! เจ้าควรจะเป็นองค์รัชทายาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะ “นั่นเป็นเพียงนามลวงเท่านั้น เพราะต่อให้เป็นติ้งอันป๋อ เมื่อฟังแล้วก็มิเป็นกันเองเท่ากับคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง”
หยูเวิ่นชูใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เขามิได้รินสุราอีกแต่กลับหยิบขวดขึ้นมาดื่มโดยตรง
“ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ! ” หยูเวิ่นชูวางขวดสุราลงแล้วกล่าวต่อว่า
“วันนั้น บนทางเดินไปจวนฮุ่ยชินอ๋องเพียงครานั้นคราเดียวที่เจ้าและข้าได้ขึ้นรถม้าคันเดียวกัน เจ้ากล่าวว่าทำผิดก็ต้องชดใช้ และเจ้ายังกล่าวอีกว่าหากพวกเขามิรุกรานข้า ข้าก็จะมิรุกรานพวกเขาเช่นกัน… ข้ามิได้ไปก่อเรื่องอันใดให้เจ้าใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมีความสุขยิ่ง “ท่านมิได้ก่อเรื่องให้ข้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจวบจนวันนี้ข้าจึงมิได้มีความเกลียดชังต่อพระองค์”
“เช่นนั้นเจ้าจะผูกมัดข้าเพื่ออันใดกัน ? ”
“ข้าหวังว่าใต้หล้านี้จะสงบลงได้เล็กน้อย”
“……”
หยูเวิ่นชูเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้มเยาะ “หรือเจ้าคิดว่าข้ายังมีหนทางอื่นอีกกัน ? ”
“แล้วองค์ชายคิดไว้เยี่ยงไร ? ”
“เดิมทีคิดว่าจะหลบอยู่ที่เขตหยุนไหลสักสองสามปี รอให้ผู้คนหลงลืมข้าเสียก่อน จากนั้นค่อยกลับไปยังซีหรงเพื่อนำทรัพย์สินติดตัวไปเล็กน้อย หลังจากนั้น…ก็ไปซื้อที่ดินในแคว้นฝานและใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นเศรษฐีที่ดินเฉกเช่นเจ้า”
“ข้าสนับสนุนความคิดขององค์ชาย แต่ทว่าเยี่ยงไรก็ตาม… วันนั้นที่ในรถม้า ข้าเคยเอ่ยถามองค์ชายหนึ่งคำถาม แต่พระองค์ยังมิเคยตอบข้าเลย วันนี้ข้าขอเอ่ยถามองค์ชายอีกครา หวังว่าพระองค์จะคลายความสงสัยให้ข้าได้”
หยูเวิ่นชูขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาทราบดีว่าคำถามของฟู่เสี่ยวกวนในวันนั้นคือสิ่งใด ?
“ใต้อารามทรุดโทรมของวัดฟูจื่อมีความลับใดซ่อนอยู่กัน ? ข้าเชื่อว่าองค์ชายทราบดี”
หยูเวิ่นชูยกยิ้มขึ้นและส่ายศีรษะ “หากข้าบอก เจ้าจะกล้าปล่อยข้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วครู่และส่ายศีรษะเช่นกัน “ข้ากล่าวไปแล้วว่าทำความผิดก็ต้องชดใช้”
“ไม่ ! หากเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้อย่างแท้จริง เจ้าจะต้องส่งข้าให้กับฝ่าบาทโดยตรง มิใช่การสนทนากับข้าเพียงลำพังในหงซิ่วจาวเยี่ยงนี้”
“เรื่องนั้น… พวกเรามาเอ่ยถึงวัดฟูจื่อกันก่อนเถอะ อย่าเพิ่งรีบร้อน องค์ชายสามารถดื่มกินได้อย่างอิ่มหนำสำราญ เช่นนั้นพวกเรามาต้มชาสักหนึ่งกาแล้วค่อยสนทนากันดีกว่า”
หยูเวิ่นชูดึงสายตากลับมา สีหน้าเคร่งขรึม
“น้องเก้าจะคลอดเมื่อใด ? ”
“ใกล้แล้ว อีกประมาณเดือนเศษ”
“คิดชื่อเด็กไว้แล้วหรือยัง ? ข้าเองก็เป็นลุงของเขา”
“ข้ายังมิได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ถ้าเช่นนั้นท่านลองเอ่ยชื่อมาให้ข้าฟังสักสองสามชื่อดีหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นชูหยิบขวดสุราแล้วเทลงไปเล็กน้อย เขาใช้นิ้วจุ่มแล้วเขียนลงบนโต๊ะ “หากเป็นบุตรชายข้ารู้สึกว่าชื่อ ฟู่อี้อัน ค่อนข้างดี กิจการใหญ่โตของครอบครัวเจ้าต้องมีบุตรคนโตที่มีสติตั้งมั่นดูแล ครอบครัวจึงจะมั่นคง”
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนจดจ้องอยู่ที่โต๊ะ คิ้วขมวดมุ่น จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “อี้อัน… นามนี้มิเลวแล้วหากเป็นบุตรีเล่า ? ”
“หากเป็นบุตรีก็ค่อนข้างสบายกว่าอย่างเช่น ฟู่หยูฉี ฟู่จึชี… ก็ใช้ได้ทั้งนั้น”
เขาชักมือที่วางอยู่บนโต๊ะกลับคืน “เจ้าเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”
องค์ชายใช้สุราเขียนอักขระไว้บนโต๊ะว่า
‘ทรัพย์สมบัติของราชวงศ์ก่อน วัดฟูจื่อ ข้างต้นพุทรา หน้าผา’
“ข้ารู้สึกว่ามิเลว”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแล้วจ้องมองหยูเวิ่นชูอย่างล้ำลึก ยื่นนิ้วออกไปจุ่มสุราเล็กน้อยและเขียนลงไปสองสามคำว่า ‘จะเปิดได้เยี่ยงไร ? ’
หยูเวิ่นชูส่ายศีรษะไปมา