นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 645 ส่งถึงตรงนี้
ตอนที่ 645 ส่งถึงตรงนี้
หยูเวิ่นชูรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยมิต่างจากหมาป่าที่กำลังหิวโหย
“มิต้องรีบ ค่อย ๆ กินเถิด ข้าได้จองโต๊ะไว้ที่หอซื่อฟางเรียบร้อยแล้ว หลังจากไปที่หลานถิงจี๋แล้ว พวกเราก็ไปดื่มด้วยกันที่หอซื่อฟางต่อสักหน่อยเถอะ”
หยูเวิ่นชูเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ขอบใจ ! ”
“เราก็คนกันเองมิต้องเกรงใจไปหรอก”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของข้าคือสิ่งใด ? ”
“คงมิใช่เรื่องก่อกบฏอย่างแน่นอน”
หยูเวิ่นชูหัวเราะ “เรื่องนั้นได้ทำลายชีวิตอย่างแท้จริง… แต่ทว่าสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในชีวิตก็คือการมิกล้ารักเยี่ยงที่เจ้ารัก”
คำเอ่ยนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจอยู่ชั่วครู่ บุรุษตรงหน้านี้เป็นคนเช่นไรกันแน่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องเอ่ยถึงเรื่องการมิได้แสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา หรืออาจจะเป็นความรู้สึกผิดต่อหยูอี้ซีบุตรสาวของตน หรืออาจจะเป็นเรื่องที่กังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลอบสังหารตน
แต่ทว่าเขากลับเอ่ยถึงเรื่องความรัก !
นี่เขาหมายถึงรักชาติบ้านเมืองหรือรักสตรีกันเล่า ?
หรือนี่คือผู้กล้าที่เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว เกิดตระหนักได้ถึงความรักลึกซึ้งระหว่างบุรุษและสตรีขึ้นมา ?
แต่หยูเวิ่นชูมิถือเป็นผู้กล้า ! อย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่คนน่าสงสาร แต่มีความทะเยอทะยานจะเป็นจอมทัพอหังการก็เท่านั้น
“เจ้ามิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ? ” จากนั้นหยูเวิ่นชูก็กัดฮะเก๋าเข้าไปคำใหญ่ เคี้ยวแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “แท้ที่จริงแล้วข้าชื่นชมเสด็จพี่ใหญ่มากยิ่งนัก เขาช่างสง่างามยิ่ง… แต่มิคาดคิดว่าเขาจะตกหลุมรักสตรีขายสุราเสียได้ ! ”
หยูเวิ่นชูหัวเราะเยาะใส่ตนเอง “เดิมทีเรื่องนี้ข้าพอรู้มาบ้าง แน่นอนว่าตอนแรกข้าเองก็มิเชื่อ… ข้าจำได้ว่าสตรีผู้นั้นชื่อโหรวอี๋ เวลานี้ควรเรียกนางว่าพี่สะใภ้ใช่หรือไม่ ? นางขายสุราอยู่ที่หน้าหอเยียนหยู่ หากเสด็จพี่ใหญ่มีเวลาว่างก็มักจะไปดื่มสุราที่นั่น”
“ข้าคิดว่ารสชาติสุราที่นั่นคงจะเลิศรสมากยิ่งนักถึงได้ลองไปชิมดู พอได้ลองชิมดูแล้ว พบว่ารสชาติจืดชืดราวกับน้ำเปล่าอย่างไรอย่างนั้น”
“ในตอนนั้นข้าคิดว่ามันเป็นกลลวงของเขา แต่มินึกเลยว่านั่นคือรักแท้ ! ”
หยูเวิ่นชูหัวเราะร่า “ข้าชอบเรื่องในบทงิ้วนี้มากยิ่งนัก แต่เขาทำให้สิ่งต่าง ๆ ในบทงิ้วนั้นเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้ ดังนั้น…เสด็จพี่ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง แต่ทว่าข้าก็ยังรู้สึกว่ามันน่าเสียดาย ไปกันเถิด ข้ากินอิ่มแล้ว แน่นอนว่ามื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง”
เมื่อกล่าวจบเขาก็วางเงินราว 20 ตำลึงไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปพร้อมกับฟู่เสี่ยวกวนโดยมิได้หันมามองมันเลย เขาขึ้นไปบนรถม้าแล้วกล่าวว่า “ข้ายังมีเงินอยู่ในกระเป๋าเสื้ออีก 100 ตำลึง ดังนั้นที่หอซื่อฟางข้าก็จะเลี้ยงเจ้าเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด “ถ้าเช่นนั้นก็ดีเพราะข้าสั่งอาหารที่แพงที่สุดในหอซื่อฟางเอาไว้”
รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปตามท้องถนน หยูเวิ่นชูมองออกไปนอกหน้าต่างดังเดิม
พวกเขาทั้งสองคนเงียบมาตลอดทางจนถึงทะเลสาบเว่ยยาง
พวกเขาเดินขึ้นไปบนเรืออูเผิง เพื่อไปยังหลานถิงจี๋
หยูเวิ่นชูเดินตรงไปที่หินเชียนเปยสือแล้วจ้องมองอย่างละเอียดอยู่เนิ่นนาน
“หากกล่าวถึงเรื่องการศึกษาแล้ว ข้าเก่งกว่าเสด็จพี่ใหญ่มากนัก จำได้ว่าตอนเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาจี้เซี่ย ทุกคราที่จัดงานชุมนุมกวี ข้าจะมาเข้าร่วมตลอด ตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่าอยากจะมีชื่อจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือบ้าง ได้อยู่ลำดับที่เท่าใดนั้นมิสำคัญเพียงแค่สามารถมีชื่ออยู่บนนี้ได้ก็เพียงพอแล้ว…”
“สุดท้ายข้าก็ทำมิสำเร็จ แต่เจ้า…บทกวีของเจ้าถูกจารึกไว้ 6 บทแล้ว บทกวีทั้งหมดนั้นยังถูกจารึกไว้ด้านหน้าอีกด้วย”
“องค์ชายกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว แท้ที่จริงแล้วข้าก็มิเคยคิดมาก่อนเช่นกัน”
หยูเวิ่นชูยืนอยู่ที่หินเชียนเปยสือ ส่ายศีรษะไปมาแล้วยกยิ้มขึ้น “ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ปรารถมากเพียงใดก็ทำมิสำเร็จ มิต่างจากน้องห้าหยูเวิ่นเต้าที่ตอนอายุได้ 6 ขวบก็ถูกฮองเฮาซั่งส่งไปยังป่ากระบี่ เขากล่าวว่ามิต้องการ ส่วนเสด็จพี่ใหญ่กับข้าต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อที่จะกลับมายังเมืองหลวงตามความต้องการของตนเอง”
“นี่คือการตั้งใจปลูกดอกไม้แต่มิออกดอก น่าเสียดายที่วันนี้…” หยูเวิ่นชูเงยหน้ามองท้องนภาสีเทาที่ยังคงสงบนิ่ง “เกรงว่าวันนี้ฝนจะตก”
“เมื่อมองย้อนกลับไปยังที่มืดมิด ยามสิ้นอายุขัยย่อมมิมีลมฝนหรือแม้แต่แสงสว่าง…” หยูเวิ่นชูชี้ไปที่หินเชียนเปยสือแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าสามารถมิใส่ใจกับเสียงพิรุณที่โปรยปรายใส่ใบไม้ในป่าทึบ แล้วเดินเล่นช้า ๆ โดยมิแยแสได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่หินเชียนเปยสือ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าแตกต่างจากท่าน”
“เพราะข้าเป็นองค์ชายในเมืองหลวง ส่วนเจ้าเป็นเพียงแค่เศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงที่อยู่นอกเมืองหลวงใช่หรือไม่ ? ”
“มิใช่… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา “เพราะข้าเคยตายมาแล้วคราหนึ่ง”
หยูเวิ่นชูตกตะลึงเสียจนสะดุ้งโหยง มิเข้าใจในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างแท้จริง จึงพยายามทำความเข้าใจ ที่แท้ฟู่เสี่ยวกวนก็หมายถึงชีวิตในหลินเจียงตอนที่โดนคนของต่งชูหลานสั่งสอนจนเกือบตายนั่นเอง
ดังนั้นหยูเวิ่นชูจึงหัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่าการตายในครานั้นได้สอนให้เจ้าได้เรียนรู้อันใดมากมายเลยทีเดียว”
“ก็มิเสมอไปหรอกองค์ชาย”
ฟู่เสี่ยวกวนยังจะกล่าวสิ่งใดได้อีกเล่า ?
เขาเพียงหวังว่าองค์ชายสี่ผู้นี้เมื่อตายไปแล้วจะสามารถข้ามผ่านกาลเวลาได้ แต่ทว่าเรื่องแบบนี้…เกรงว่ามันจะมิเกิดขึ้นอีก
“ไปกันเถิด พวกเราไปดื่มกัน”
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่หก เดือนห้า
ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นชูได้ดื่มสุราด้วยกันตั้งแต่เช้าตรู่ในหอซื่อฟาง
ในบรรยากาศเช่นนี้มีเพียงบุรุษ 2 คนที่กำลังดื่มด่ำ ส่วนสวี่ซินเหยียนยังคงเฝ้าอยู่ที่ประตู
พ่อครัวที่หอซื่อฟางได้ทำอาหารมื้อใหญ่ไว้เต็มโต๊ะ แต่ทว่าบุรุษทั้งสองกลับดื่มสุราเพียงแค่ขวดเดียวแล้วทานอาหารเข้าไปเพียงมิกี่จานเท่านั้น
หยูเวิ่นชูเอ่ยจ้ออยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนเองก็เป็นผู้รับฟังที่ดี
หยูเวิ่นชูเอ่ยถึงความสุขในยามที่ได้อยู่ชิดใกล้กับเสด็จย่าเมื่อตอนที่เขายังเยาว์วัย จากนั้นก็เอ่ยถึงสตรีนางหนึ่งที่ตนเคยชื่นชอบตอนที่เรียนอยู่ในสำนักศึกษา นางมีนามว่าจวงเหยียนซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นมารดาบุตรของบุรุษท่านอื่นไปแล้ว
เขากล่าวถึงวิธีสร้างหยี่ฮวาถายและวิธีสู้รบปรบมือกับองค์ชายใหญ่ รวมถึงเรื่องที่ใช้เฉินจั่วจวินเป็นเครื่องมือควบคุมประตูด้านทิศใต้ของเมืองจินหลิงในนามของหนานป้าเทียน
“ดังนั้นข้าจึงมิคิดว่านั่นคือรักแท้ ข้าคิดว่าเป็นเพียงการหลอกใช้เสียมากกว่า”
“อ้อ… ข้าเพิ่งนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ นายอำเภอเขตหยุนไหลที่ชื่อจัวหลิวหวิน เจ้ารู้จักหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ขุนนางตอนรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด ตอนนี้เขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“นายอำเภอผู้นั้นน่าสนใจมากยิ่งนัก เขาเวรคืนพื้นที่แห้งแล้งทั้งหมดให้กลับคืนมาเป็นของหลวง จากนั้นก็ออกนโยบาย 2 เรื่อง นโยบายแรกคือการแบ่งที่ดินใหม่ และอีกนโยบายช่างเหลวไหลสิ้นดีเพราะเขาใช้ที่ดินมาส่งเสริมด้านการคลอดบุตร สั่งให้บุรุษและสตรีที่ถึงวัยอันสมควรแต่ยังมิได้แต่งงานมารวมตัวกัน จากนั้นก็จับคู่แต่งงานกันโดยการจับฉลาก”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน เจ้าหมอนี่ทำให้กรมขุนนางเสื่อมเสียอย่างแท้จริง ฝ่าบาทกำลังคิดที่จะเปลี่ยนตำแหน่งของเขาอยู่พอดีอีกด้วย นโยบายการแต่งงานค่อนข้างเป็นเรื่องที่เหลวไหล แต่นโยบายการแบ่งที่ดินมิใช่ว่าเป็นแผนการที่จงสือจี้ได้กล่าวไว้เยี่ยงนั้นหรือ ?
“เจ้ากล่าวว่าจะไปที่ว่อเฟิงเต้า ข้าจึงรู้สึกว่าคนผู้นั้นมีความสามารถยิ่ง”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีข้อคิดเห็นใด ๆ ส่วนหยูเวิ่นชูก็มิได้สนใจอันใดอีก
หยูเวิ่นชูหันหน้าแล้วมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้น “ใกล้ถึงเวลาแล้ว มา ! ดื่มหมดจอกนี้แล้วเจ้าก็ไปส่งข้าเข้าวังเถิด”
“ได้ ! ”
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้ออกไปจากหอซื่อฟางโดยมีสวี่ซินเหยียนเป็นผู้บังคับรถม้ามุ่งตรงไปยังพระราชวัง
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปที่ห้องทรงพระอักษรกับหยูเวิ่นชูที่ก้าวเดินอย่างช้า ๆ เขามองไปรอบ ๆ วังหลวง ในที่สุดก็สงบจิตใจลงได้เสียที
“พระราชวังแห่งนี้บางส่วนเริ่มทรุดโทรม ควรได้รับการบูรณะเสียใหม่”
“ฝ่าบาทตรัสว่าแม้จะมีเงินอยู่ในท้องพระคลังมากโข แต่ในราชวงศ์หยูนั้นยังมีสถานที่ที่ต้องการเงินอยู่อีกมาก เกรงว่าต้องรออีกสองสามปี”
“ไอหยา…คงจะงดงามยิ่งนักเมื่อบูรณะเสร็จแล้ว”
บัดนี้ทั้งสองคนอยู่ห่างจากห้องทรงพระอักษรราว 10 จั้ง ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็หยุดฝีเท้าลง
“ข้าขอน้อมส่งองค์ชายถึงแค่ตรงนี้”
“หากสามารถพบเจอกันในชาติภพหน้า ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าอีก ! ”
“หวังว่าในชาติต่อไปท่านจะเกิดมาเป็นสตรีผู้งดงาม”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ! ”