นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 647 ห้องลับ
ตอนที่ 647 ห้องลับ
ฟู่เสี่ยวกวนได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท จากนั้นก็รีบไปที่ป้อมปราการรักษาเมืองทันที
ราชวงศ์ก่อนมีขุมทรัพย์มากมายเสียจริง !
ด้วยส่วนแบ่งจำนวนนั้นจะทำให้การก่อสร้างถนนที่ว่อเฟิงเต้าเสร็จสมบูรณ์ได้ !
ในตอนแรกเขาคิดที่จะจัดตั้งสำนักงานหุ้นขึ้นมาเพื่อระดมเงินในรูปแบบของการออกหุ้น จากนั้นจะจัดตั้งสถานีเก็บค่าผ่านทางซึ่งถือเป็นการสูญเสียผลประโยชน์ไปบ้าง แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิมีทางเลือกอื่นแล้ว
หากตนยังได้รับส่วนแบ่งจากการเก็บค่าผ่านทางก็อาจจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของว่อเฟิงเต้าไปได้ พ่อค้ามิได้โง่แล้วผู้ใดจะกล้าลงทุนในว่อเฟิงเต้าเล่า ?
แต่มันก็ต่างจากด่านเก็บค่าผ่านทางทั่วไป ที่พ่อค้าจะได้จ่ายนั้นเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นก็เหมือนกับการเอามีดทื่อ ๆ ไปกรีดพวกเขา ซึ่งมิได้ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำการประชาสัมพันธ์ ‘เงินกู้เพื่อสร้างถนน รับชำระค่าธรรมเนียม…’ ซึ่งฟังแล้วสมเหตุสมผล และบรรดาพ่อค้าจะมิมีการร้องเรียนใด ๆ
คนยุคโบราณจะสู้คนที่มาจากอนาคตเช่นข้าได้เยี่ยงไร ?
ยุคอนาคตนั้นมีกลอุบายมากจนเกินไป หากพวกเขาข้ามกาลเวลาไปที่ยุคอนาคต เกรงว่าจะอยู่มิรอดถึง 2 เดือนเป็นแน่
เมื่อครุ่นคิดแบบนั้นอยู่สักพัก สวี่ซินเหยียนก็บังคับรถม้ามาถึงป้อมปราการรักษาเมือง
ป้อมปราการรักษาเมืองแห่งจินหลิงได้ส่งราชองครักษ์หลวงจำนวน 10,000 นายมาปิดล้อมวัดฟูจื่อเอาไว้ ส่งผลให้ราษฎรที่เห็นเช่นนี้ต่างก็ตื่นตระหนก
“จะทำสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฮั่วหวยจิ่นมิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ “มิเกิน 10 วันหลังจากนี้เจ้าก็จะรู้เอง พวกเราไปกันเถิด”
“วันนี้ยังดื่มมิได้ เพราะข้ายังมีงานราชการอีกมากมายที่ต้องจัดการ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปที่วังก่อน จากนั้นก็ต้องไปที่กั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อตรวจข้อสอบ ! ”
……
……
ณ หอหยุนเฟิง บนภูเขาหมิน
เสียงปืนดังก้องกังวานอยู่ในหุบเขาส่งผลให้วิหคที่กำลังพักผ่อนในยามพลบค่ำโผบินออกจากรังอีกครา
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องคำราม ได้ปรากฏภาพซูม่อถือปืนเดินนำกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สาม พวกเขากำลังบุกเข้าไปที่แท่นบูชาของลัทธิจันทรา
นี่คือการจู่โจมสังหารหมู่ !
อดีตจอมยุทธ์ชุดดำที่ปัจจุบันกลายเป็นกองทัพสำรวจขุดเจาะ ล้วนได้เห็นทหารดาบเทวะยิงและสังหารผู้มีฝีมือระดับสูงเหล่านั้นด้วยความตื่นตกใจ
ผู้มีฝีมือระดับสูงเหล่านั้นถือดาบไว้ในมือ ใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นไปในท้องนภาด้วยความโกรธ จากนั้นก็จะเกิดเสียงดัง ‘อัก… ! ’ สุดท้ายก็จะตกลงมาจากท้องนภาอย่างต่อเนื่องเสียงดัง ‘ฟุบ… ! ’
“อย่าได้ตื่นตกใจไปเลย ท่านแม่ทัพซูเคยกล่าวเอาไว้ว่าให้พวกเรารอเด็ดศีรษะของพวกมัน ! ”
ทหารของกองทัพสำรวจจึงตระหนักในหน้าที่ของตนเองขึ้นมาได้เสียที พวกเขาถือดาบแล้วพุ่งเข้าไปตัดศีรษะของศัตรูอย่างมีความสุข
ปรากฏโลหิตไหลนองไปทั่วทั้งหุบเขา !
ราวกับว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้นในเวลานั้น พอความมืดเข้าปกคลุมท้องนภา หอหยุนเฟิงจึงหวนคืนสู่ความสงบอีกครา
ซูเจวี๋ยและซูม่อยืนอยู่ที่ห้องโถงของแท่นบูชาลัทธิจันทรา ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มกว้างออกมา
“อาจารย์บอกว่าหลังจากสิ่งนี้ปรากฏขึ้น ศิลปะการต่อสู้จะไร้ความสำคัญ แม้แต่ยุทธภพก็จะมิหลงเหลืออยู่อีกต่อไป เป็นไปตามที่ท่านอาจารย์คาดไว้มิมีผิด ! ” ซูเจวี๋ยกล่าวพร้อมโทสะ
“แต่ปืนก็เป็นเพียงอาวุธเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับผู้ใช้ด้วย ดังนั้นถึงแม้ว่าปืนจะเป็นหายนะ แต่นั่นก็มิใช่ความผิดของมันเสียหน่อย”
ซูม่อยกมือขึ้นคารวะ “สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวมาช่างมีเหตุผลยิ่ง”
ซูเจวี๋ยมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถามว่า “พบร่างของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวหรือไม่ ? ”
“ยังมิพบ ! ศิษย์น้องเล็กกล่าวว่ามีเด็กที่ชื่อหยูอี้ซีอยู่ที่นี่… นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะไปค้นหานาง”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังค้นหาอยู่นั้นก็ได้มีทหารดาบเทวะนายหนึ่งเข้ามารายงานว่าพบห้องลับอยู่ที่ด้านหลังภูเขา !
ซูเจวี๋ยและซูม่อใช้วิชาตัวเบาเหาะไปที่นั่น พบว่าประตูห้องลับถูกเปิดออกแล้ว
ทั้งสองจุดไฟแล้วเดินเข้าไปด้านใน
บันไดปูด้วยหินสีฟ้าทอดยาวลงไป ตลอดทางมีตะเกียงน้ำมันหลายอันแขวนอยู่บนผนังทั้งสองด้าน น้ำมันในตะเกียงลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง
พวกเขาจุดตะเกียงน้ำมันทีละอัน หลังจากเดินมาได้ครึ่งชั่วยามก็ได้มาถึงด้านหน้าของประตูหิน
ซูม่อคิดว่าประตูหินนี้มีกลไกบางอย่าง แต่เขากลับมิคาดคิดว่าประตูนี้จะเปิดออกได้อย่างง่ายดายเมื่อผลักมันด้วยมือเปล่า !
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องลับแล้วมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังตัว
ห้องลับนี้มีรัศมีราว 10 จั้ง มีโต๊ะหยกยาวสีขาวอยู่ตรงกลางแต่มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว
ห้องลับนี้เต็มไปด้วยชั้นหนังสือ ซึ่งหนังสือหลายเล่มถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้น
พวกเขาจุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่ระหว่างชั้นหนังสือทำให้ห้องลับแห่งนี้สว่างโร่ขึ้นมาทันที
จากนั้นพวกเขาจึงเห็นกล่องหยกขาววางอยู่บนโต๊ะยาว
ซูเจวี๋ยเปิดกล่องอย่างระมัดระวังด้วยปลายดาบ แต่ทว่ามิมีกับดักใด ๆ กลับพบเพียงหนังสือเล่มเล็กที่อยู่ด้านในกล่อง
ซูเจวี๋ยจุดคบเพลิงเสียบไว้ตรงผนังแล้วมองไปที่หนังสือเล่มเล็กนั้น สุดท้ายจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบมันออกมา
รายชื่อรุ่นที่หก !
เขาขมวดคิ้วสงสัย จากนั้นก็เปิดอ่านทันที ‘แผ่นดินเปลี่ยนแปลงทุก 200 ปี แต่ทว่าจิตใจมนุษย์แปรเปลี่ยนทุกเดือน’
เขาเปิดไปหน้าต่อไป ‘รายชื่อเช่อเหมินรุ่นที่หก ! ’
ด้านล่างคือรายชื่อที่เรียงกันอยู่
ซูเจวี๋ยเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันที จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง
สายตาของเขาดูเหมือนจะถูกตรึงไว้ที่หน้านี้และมิสามารถละสายตาได้อีกเลย !
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” ซูม่อเอ่ยถาม
ซูเจวี๋ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “นี่คือของปลอมอย่างแน่นอน ! ”
“สิ่งใดคือของปลอมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…เจ้าดูนี่สิ”
ซูม่อรับหนังสือเล่มเล็กนั้นมาดู เมื่อเห็นรายชื่อที่อยู่ในนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาเช่นกัน มิน่าเชื่อถือเอาเสียเลย
“…นี่ คือ…ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยตรวจสอบว่าลายมือในหน้านี้เพิ่งเขียนเสร็จหรือเขียนเอาไว้เนิ่นนานแล้วกัน ได้หรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยรับมาพิจารณาอย่างละเอียด เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็ได้เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจยาวออกมา “เป็นของจริง ! ”
“แล้วจะทำเยี่ยงไรดีเล่า ? ”
“ตอนนี้ข้ารู้สึกสับสนมากยิ่งนัก ถูกต้อง ต้องกลับไป…กลับไปหาศิษย์น้องเล็ก แล้วดูว่าเขาจะมีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง”
“ข้าเห็นด้วย”
“ศิษย์น้องแปด ที่นี่เจ้าจัดการต่อก็แล้วกันส่วนข้าจะรีบกลับจินหลิง ! ”
“…ถ้าหาก…พวกเรา…”
“อย่ามัวแต่กล่าวยืดเยื้อ ! จงรอฟังข่าวจากข้า”
ซูเจวี๋ยรีบออกจากห้องลับพร้อมกับหนังสือเล่มเล็กในกระเป๋าเสื้อ ส่วนซูม่อนั่งลงบนเก้าอี้และมองดวงไฟด้วยสายตาว่างเปล่า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทุกสิ่งในอดีตดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตา
เกิดสิ่งใดขึ้นกับใต้หล้านี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้กัน ?
เหตุใดคนผู้นั้นถึงเป็นท่านอาวุโสใหญ่แห่งเช่อเหมินได้กันเล่า ?
แล้วบัดนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?
สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษากองทัพนี้เอาไว้ ต้องจัดระเบียบกองทัพสำรวจและยึดเหมืองทองคำนี้เอาไว้เสียก่อน
ซูม่อตัดสินใจหยิบคบเพลิงแล้วเดินออกจากห้องลับ ออกคำสั่งว่า “ปิดผนึกสถานที่แห่งนี้ หากมิได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามผู้ใดเข้าไปในนี้เป็นอันขาด ! ”
เขาเดินกลับไปที่ห้องโถง ทันใดนั้นทหารดาบเทวะก็ได้พาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา
เด็กผู้หญิงคนนี้มีใบหน้าที่งดงามยิ่ง แต่ทว่าสายตาที่มองมาทางซูม่อนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้า…จะมาเอาชีวิตข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูม่อระงับความคิดแล้วยกยิ้มขึ้น “มิใช่หรอก พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเจ้า”
เด็กผู้หญิงคนนั้นส่ายศีรษะ “ท่านยายกล่าวว่าพวกเจ้าเป็นคนมิดี ! ”
“ท่านยายของเจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ” ซูม่อคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเอ่ยถามนางออกไป
“เหมียวเสี่ยวเสี่ยว”
“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด ? ”
“มีคนสามสี่คนมาที่นี่เมื่อสามวันก่อน พวกเขาสังหารท่านยายแล้ว ส่วนข้าได้ซ่อนตัวอยู่ในตู้ ข้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากรอยแตกของตู้ด้วยตาของตนเอง”
ซูม่อขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าเห็นใบหน้าของพวกเขาชัดเจนหรือไม่ ? ”
“ยามราตรีช่างมืดมิดยิ่ง ข้าเห็นว่ามีอยู่ราว 4 คน หนึ่งในนั้นมีคนรูปร่างอ้วนกลม เขาเป็นคนที่สังหารท่านยาย”
ซูม่อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็รีบวิ่งออกมาจากประตู แต่ทว่าก็มิเห็นเงาของศิษย์พี่ใหญ่แล้ว