นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 655 เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ตอนที่ 655 เข้าเฝ้าฮ่องเต้
ในยามที่กำลังหวาดระแวงอยู่นั้น เขาก็ได้ยินสิ่งที่หยุนซีเหยียนตอบกลับไป
“เรียนใต้เท้า เมื่อครู่ข้าน้อยดีใจจนเกินเหตุ จึงทำให้ข้าน้อยสะดุดล้มลงแล้วบังเอิญได้รับบาดเจ็บที่ตาเข้าขอรับ”
“…มิทราบว่ามีปัญหาอันใดหรือไม่ ? ”
“ไม่มีขอรับ ! ”
ล้มจนตาฟกช้ำมันมีที่ไหนกันเล่า ?
ขันทีเจี่ยมิปักใจเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มบอกเล่า เขาอยากให้หยุนซีเยียนสาธิตการล้มให้ดูอีกสักครา แต่พอตริตรองดูดี ๆ แล้วก็เห็นว่าควรปล่อยไปเสียดีกว่า
ในตอนนี้เองซือหม่าเช่อก็ได้เดินเข้ามารายงานตัว นางโค้งแสดงความเคารพ “ข้าน้อยลำดับที่สี่ ซือหม่าเช่อ”
ขันทีเจี่ยมองซือหม่าเช่อด้วยสายตาพินิจพิจารณาจนทำให้นางเกิดความประหม่า เกรงว่าจะถูกขันทีผู้นี้จับได้เสียแล้ว ว่าตนเป็นสตรีที่ปลอมตัวมา
คาดมิถึงว่าขันทีเจี่ยจะหลุดยิ้มออกมาแล้วเอ่ยเพียงสองคำว่า “มิเลว ! ”
มิเลว ? หมายความว่าเยี่ยงไร ?
ซือหม่าเช่อหลบไปนั่งอยู่ด้านหลังของเหอเชิงอันด้วยความรู้สึกลุกลี้ลุกลน แต่ผู้ใดเล่าจะคิดว่าตอนนี้หวางซุนอู๋หยาและสหายกำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นกัน
หวางซุนอู๋หยารู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน จึงหันไปเอ่ยถามหลู่ซีฮุ่นและเหล่าสหายว่า “เฮ้เฮ้เฮ้ ! พวกท่านดูสิ คุณชายท่านนั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงกับซือหม่าเช่อคุณหนูของตระกูลซือหม่าเสียเหลือเกิน ท่านว่าใช่หรือไม่ ? ”
หลู่ซีฮุ่นและอีกสามคนที่เหลือต่างเพ่งเล็งสายตาไปพร้อม ๆ กัน เป็นไปมิได้ ! เพราะนี่มันเหมือนกันราวกับแกะ
โจ่งจี้ถังซี้ดปากแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก พลางเอ่ยถามอย่างมิเชื่อในสิ่งที่เห็น “หรือว่า…คุณหนูซือหม่าจะเป็นดังเช่นในบทงิ้วที่ปลอมตัวเป็นบุรุษเพื่อร่วมสอบคัดเลือกครานี้ ? อีกทั้งยังสอบได้สิบอันดับแรกอีกด้วย”
หยูซิ๋งเจี่ยนหันไปมองรายชื่อที่ประกาศจากทางราชสำนัก แต่ทว่าก็ไกลเกินกว่าจะอ่านตัวหนังสือได้ชัดเจน “พวกท่านจงรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปดูใกล้ ๆ ว่าเป็นชื่อของคุณหนูซือหม่าหรือไม่”
เขาเบียดตัวไปด้านหน้าอย่างสุดกำลัง แต่กว่าจะมาถึงจุดที่ใกล้กับประกาศได้ก็แสนลำบากยากเย็น เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมอง…
ซือหม่าเช่อ !
เป็นคุณหนูซือหม่าจริง ๆ ด้วย !
นี่ นี่มัน…
หยูซิ๋งเจี่ยนรู้สึกประหลาดใจสุดขีด ทันใดนั้นก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าในราตรีที่ติ้งอันป๋อเชิญพวกตนไปร่วมงานเลี้ยงที่หอซื่อฟาง คุณหนูซือหม่าท่านนั้นเคยเอ่ยไว้ว่าจะไปที่ว่อเฟิงเต้าด้วย !
นางใช้วิธีการแบบนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ให้สตรีไปเป็นขุนนาง นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ?
หยูซิ๋งเจี่ยนรู้สึกยากจะเข้าใจ เขาจึงเบียดตัวกลับไป เมื่อหวางซุนอู๋หยาและคนอื่น ๆ หันไปเห็นก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาทันที “เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“เป็นคุณหนูซือหม่าจริง ๆ นางสอบได้ลำดับที่สี่ ! ”
“…” หวางซุนอู๋หยาและคนอื่น ๆ หมดคำที่จะเอื้อนเอ่ย ประการแรกคือซือหม่าเช่อเข้าสอบในนามของสตรีย่อมผิดกฎจารีต และประการที่สองพวกเขากลับรู้สึกตกตะลึงถึงผลการสอบของนางเสียเหลือเกิน !
ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นพวกเขาเข้าสอบ พวกเขาอาจอยู่ในรายชื่อที่ติดประกาศ แต่จะเป็นหนึ่งในสิบลำดับแรกหรือไม่นั้น…พวกเขาจำต้องย้อนถามความสามารถของตนเองอีกครา และเกรงว่าคงมิอาจทำได้ถึงเพียงนั้น
แต่ทว่าคุณหนูซือหม่าเช่อกลับสามารถทำได้อย่างแท้จริง เจ้าว่านี่มันน่าโมโหหรือไม่ ?
นางเป็นสตรีที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง !
นางมิเหมือนบุตรีของผู้มั่งมีที่เอาแต่งอมืองอเท้าไปวัน ๆ !
หลู่ซีฮุ่นกลืนน้ำลายแล้วส่ายศีรษะ “บุรุษเยี่ยงข้ายังมิอาจเทียบเคียงกับคุณหนูซือหม่าได้เลย ! ”
“แต่เยี่ยงไรนางก็เป็นสตรี หากเข้าไปในพระราชวังแล้วถูกฝ่าบาทจับได้…โทษฐานหลอกลวงต่อฝ่าบาทคือตัดศีรษะสถานเดียว ! ” หวางซุนอู๋หยารู้สึกเป็นกังวลแต่ก็จนหนทาง
โจ่งจี้ถังนิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ตามหลักการแล้วเป็นการหลอกลวงต่อฝ่าบาทก็จริง แต่บัดนี้อาจจะมิเป็นเช่นนั้น”
“หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“คุณหนูซือหม่าเคยมอบสิ่งของแทนใจให้ติ้งอันป๋อและเขาก็ได้เก็บของนั้นเอาไว้ หมายความว่าติ้งอันป๋อก็มีใจให้กับคุณหนูซือหม่าด้วยเช่นกัน”
โจงจี้ถังเงียบไปครู่หนึ่งแล้วทันใดนั้นก็รู้สึกตัวว่ามีเหล่าปัญญาชนหลายคนได้ล้อมหน้าล้อมหลังเขาเอาไว้ แต่ละคนทำท่าราวกับกำลังเงี่ยหูฟังสิ่งที่เขาได้เอ่ย สีหน้าของแต่ละคนแสดงความตกตะลึงออกมาต่าง ๆ นานา
“ท่านผู้นี้ได้โปรดเอ่ยต่อเถิด ! ”
“ข้าไร้ความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น ! ได้โปรดหลีกทางด้วยเถิด พวกข้าจำต้องไปแล้ว”
เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของติ้งอันป๋อ ฝ่ายโจ่งจี้ถังจึงมิอาจนินทาพร่ำเพรื่อได้ ดังนั้นทั้งสี่จึงรีบถอยออกจากหลานถิงจี๋ในทันที
“เฮ้เฮ้เฮ้ พวกท่าน ผู้ใดกันที่ส่งของแทนใจให้กับติ้งอันป๋อ ? ”
“ท่านได้โปรดหยุดก่อน บัดนี้ติ้งอันป๋อมีฮูหยินแล้วถึง 3 คน ขอถามสักหน่อยว่าคุณหนูของตระกูลใดที่สามารถเข้าไปในหัวใจของติ้งอันป๋อได้อีก ? ”
“ทำให้อยากรู้แล้วจากไปเช่นนี้มันช่างค้างคาในใจยิ่งนัก ! หรือว่าท่านทั้งสี่จะติดตามข้าน้อยไปนั่งร่วมโต๊ะกันที่หอซื่อฟาง แต่ท่านต้องบอกเล่าเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของติ้งอันป๋อให้ข้าน้อยฟังอย่างละเอียดดีหรือไม่ ? ”
“…”
บ้าเอ้ย ! โจ่งจี้ถังรู้สึกอยากตบปากตนเองสักที !
เห็นได้ชัดว่าติ้งอันป๋อทราบเรื่องที่ซือหม่าเช่อร่วมสอบขุนนางในครานี้ดี และแม้จะทราบดีแต่กลับมิได้ห้ามปราม คิดดูแล้วอาจจะเป็นเพราะยอมให้ซือหม่าเช่อแต่งเป็นบุรุษ เพื่อที่นางจะได้ไปว่อเฟิงเต้าสมปรารถนา !
จะว่าไปแล้ว บัดนี้ภรรยาทั้งสามของติ้งอันป๋อก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงมิอาจออกเดินทางไกลไปยังว่อเฟิงเต้าได้เป็นแน่ ดังนั้นติ้งอันป๋อคงคิดจะเลี้ยงดูซือหม่าเช่อไว้ที่ว่อเฟิงเต้า ขึ้นชื่อว่าบุรุษ…ก็ย่อมเข้าใจได้ แต่ทว่าเรื่องเข้าใจก็ว่ากันไปตามเรื่อง ตนมิอาจเปิดโปงเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นได้
หากเรื่องนี้ถึงหูของติ้งอันป๋อแล้วทำให้เกิดความเสียหายขึ้นมา เกรงว่าตระกูลโจ่งจะได้รับผลร้ายที่มิอาจจะคาดการณ์ได้ตามมาเป็นแน่ !
ทั้งสี่จึงเบียดเสียดออกไปด้านนอกอย่างสุดชีวิต และบัดนี้ขันทีเจี่ยก็ได้รวบรวมทั้งสิบคนครบแล้วเช่นกัน
เขานำทั้งสิบคนออกจากหลานถิงจี๋ไปยังอีกฝั่งของทะเลสาบเว่ยยาง ที่นั่นมีรถม้า 5 คันจอดรออยู่แล้ว
คนทั้งคณะขึ้นไปโดยสารในรถม้า จากนั้นอาชาก็พุ่งตรงไปยังทิศทางของพระราชวัง
ซือหม่าเช่อร่วมนั่งรถม้าคันเดียวกับหยุนซีเหยียน นางเหลือบไปเห็นหวางซุนอู๋หยาและพรรคพวก บัดนี้ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงเรื่อและภายในจิตใจก็ได้บังเกิดความมิสบายใจขึ้นมา
“น้องซือหม่า หรือว่าที่นี่จะร้อนเกินไป ? ”
“เอ่อ…ข้าเพียงรู้สึกประหม่าเท่านั้น”
หยุนซีเหยียนเลิกผ้าม่านในรถม้าออก จากนั้นก็ส่งยิ้มให้กับนาง “สอบผ่านด้วยความสามารถของตนเองแท้ ๆ เหตุใดถึงรู้สึกประหม่าเล่า ? การเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็มิต้องเป็นกังวลไปหรอก เพราะองค์ฮ่องเต้นั้นมีพระทัยเมตตาเป็นล้นพ้น”
“อีกอย่างหนึ่งคือพวกเราต้องไปยังว่อเฟิงเต้า ต้องยึดความเห็นจากติ้งอันป๋อเป็นสำคัญ การเข้าเฝ้าฝ่าบาทนั้นเป็นเพียงพิธีการก็เท่านั้น ข้าคาดเดาว่าต่อไปติ้งอันป๋อคงมอบหมายงานง่าย ๆ ให้พวกเรา เรื่องนั้นถึงจะเป็นเรื่องใหญ่เสียยิ่งกว่า ! ”
ซือหม่าเช่อสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ได้ผ่อนปรนจิตใจที่ไม่สงบลง “สิ่งที่พี่หยุนเอ่ยมานั้นมีเหตุผลยิ่ง ข้ามิอาจทำตัวผ่อนคลายเยี่ยงพี่หยุนได้เลย”
หยุนซีเหยียนหัวเราะเสียงดัง “เมื่อครู่ข้าได้พบบุรุษผู้ล้ำเลิศท่านหนึ่ง เขามีนามว่าเหออันเชิงผู้ซึ่งได้ลำดับที่สอง เมื่อคนผู้นั้นเห็นประกาศ เขาจึงไปนั่งโขกหน้าผากสามคราอยู่ที่ริมทะเลสาบเว่ยยาง… วันนี้ข้าจึงชวนเขามาร่วมกินหม้อไฟด้วยกัน แต่ทว่าน่าเสียดายที่มิพบพานกับคุณชายฟู่เลย เฮ้อ… ! ”
“คุณชายฟู่เห็นจะเป็นผู้ที่สบายอกสบายใจอย่างแท้จริง เมื่อรู้ว่าสอบมิผ่านก็มิมาดูประกาศเสียเลย หลังจากนี้ก็มิรู้เลยว่าจะได้พบเจอกันอีกเมื่อใด”
ซือหม่าเช่อหลุดหัวเราะออกมา นางหัวเราะจนทำให้หยุนซีเหยียนผงะ เขาจึงรีบยกมือขึ้นมาแล้วปรามทันที “น้องซือหม่าอย่าได้หัวเราะเชียว ! ”
“เพราะเหตุใดหรือ ? ”
“ก็ท่านยิ้มออกมาทีไรช่างละม้ายสตรียิ่ง ข้ารู้สึกขนลุกพิลึก ! หัวเราะเสียจนบุรุษทั้งแท่งเยี่ยงข้าหัวใจสั่นระรัว และนี่ย่อมมิใช่เรื่องที่ดีนัก”
ใบหน้าของซือหม่าเช่อกลับมาแดงเรื่ออีกครา นางรีบหุบยิ้มลงแล้วทอดมองออกไปยังด้านนอกหน้าต่างทันที
ไม่นานนักรถม้าก็มาถึงเขตพระราชวัง ภายใต้การนำของขันทีเจี่ยเหล่าปัญญาชนทั้งสิบจึงได้เดินเข้าไปยังท้องพระโรงเฉิงเทียนซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแห่งราชวงศ์หยู
“ข้ารู้สึกประหม่า ! ” เหอเชิงอันกระซิบข้างกายของหยุนซีเหยียน
“อะแฮ่ม ! ” หยุนซีเหยียนฝืนทำเป็นใจเย็น “มิต้องรู้สึกประหม่า พวกเรามิอาจเป็นดั่งท่านยายหลิวตอนเข้าไปในสวนต้ากวนจากเรื่องความฝันในหอแดงได้ จำไว้ว่าจงรักษาจิตใจที่สงบต่อหน้าพระพักตร์”
เหอเชิงอันเกิดความเคารพนับถือในตัวของหยุนซีเหยียนขึ้นมาทันใด มิแปลกใจเลยที่เจ้าหมอนี่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาหันไปมองใบหน้าของหยุนซีเหยียน…
“คุณชายหยุน เหตุใดใบหน้าของท่านจึงแดงเถือกเช่นนี้ ? ”