นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 663 บุกปล้น
ตอนที่ 663 บุกปล้น
ยามอิ๋นของวันต่อมา
บนถนนสายหลักที่อยู่ห่างจากเมืองจินหลิงราว 100 ลี้ ได้ปรากฏรถม้าราว 10 คันของสำนักขนส่งซีซานและกำลังเร่งฝีเท้าโดยอาศัยแสงจันทราส่องนำทาง
ผู้นำในการขนส่งครานี้มีนามว่าเจียงหลิว เขาได้นำกองกำลังคุ้มภัยติดตามมาด้วยถึง 100 นายเพื่อคุ้มกันระเบิดเหล่านี้ให้ส่งไปถึงมือของคุณชายฟู่ที่เมืองจินหลิง
ทั้งหนึ่งร้อยคนล้วนแต่เคยถูกคัดออกจากการฝึกทหารดาบเทวะทั้งสิ้น จากนั้นไป๋ยู่เหลียนก็ได้แต่งตั้งพวกเขาเป็นทหารคุ้มภัยอยู่ที่ภูเขาซีซาน ฝีมือการรบของพวกเขาจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้และยังพกปืนคาบศิลาไว้คู่กายอีกด้วย
ชุนซิ่วกำชับว่าให้ระมัดระวังอย่างถึงที่สุด เพราะคุณชายมีความจำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วนและเวลาก็มีจำกัด มิอาจให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ขึ้นมาได้ ดังนั้นเจียงหลิวจึงควบอาชาวนหน้าวนหลังเพื่อปลุกขวัญกำลังใจให้แก่กองทหารคุ้มภัยและเหล่าผู้บังคับรถม้า
“พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว”
“เมื่อไปถึงจวนของติ้งอันป๋อ คุณชายก็จะมารับด้วยตัวของท่านเอง พวกเจ้าอยากรู้ว่ารูปพรรณสัณฐานของคุณชายเป็นเยี่ยงไรมิใช่หรือ ? เช่นนั้นพวกเราก็จงเร่งฝีเท้าเถิดจะได้พบคุณชายเร็วขึ้นเยี่ยงไรเล่า”
“จงมุ่งมั่นเข้าไว้ วันรุ่งขึ้นหลังจากที่พวกเราพบคุณชายเสร็จ คุณชายย่อมจัดเลี้ยงพวกเราด้วยอาหารอันโอชะและให้พวกเราได้หลับนอนอย่างสะดวกสบาย ! ”
“ข้าจะบอกสิ่งหนึ่งให้พวกเจ้าได้ฟังว่า สตรีในหอนางโลมแห่งเมืองจินหลิงแต่ละนางมีผิวเนียนนุ่มเต่งตึง ใช้มือหยิกเพียงนิดก็มีเนื้อติดมาเฉกเช่นเต้าหู้ของเสี่ยวเหอที่หมู่บ้านเลยก็ว่าได้”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่าออกมา เจียงหลิวเองก็หลุดหัวเราะออกมาเช่นกัน “หากพวกเราทำให้คุณชายพอใจจนตกรางวัลให้อย่างงาม ข้าว่าพวกเจ้าแต่ละคนก็ไปที่หอนางโลมเพื่อปลด…”
เขายังเอ่ยมิทันจบ ทันใดนั้นรถม้าก็ได้เคลื่อนมาถึงตรงถนนระหว่างภูเขา
ภูเขานั้นสูงมิมากนัก ถนนก็ดูมิยาวมาก แต่ทว่าดันมาเป็นที่ตรงนี้เสียได้ !
ลูกศรธนูพุ่งออกมาจากป่าในภูเขานั้น !
‘ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว…’
“อ๊าก… ! ”
‘ปังปังปัง… ! ’
“พวกเราถูกศัตรูโจมตี ! ”
เจียงหลิวตื่นตกใจจนตาโตแล้วหันไปแผดเสียงดังลั่น “ปักหลักคุ้มกัน ทุกคนลงจากหลังม้าแล้วเผชิญหน้ากับศัตรู ! ”
ศัตรูได้บุกเข้ามาในชั่วพริบตานั้น โดยมิมีผู้ใดคาดคิดว่าตนจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูตรงบริเวณถนนสาธารณะเช่นนี้ ลูกธนูที่พุ่งมาได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่ายี่สิบชีวิตแล้ว
เจียงหลิวลงจากหลังอาชา ลูกศรพุ่งผ่านศีรษะของเขาไปอย่างฉิวเฉียดทำให้ผวาจนเหงื่อไหลท่วมกาย
เขาควักปืนคาบศิลาออกมา แต่ทว่าศัตรูมิได้ออกมาจากแนวป่ารอบข้างเลย
และกลุ่มลูกธนูได้โหมกระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝนอีกครา อาชานับสิบตัวถูกลูกศรธนูปักจนต้องดิ้นรนหนีจากเชือกล่ามแล้ววิ่งแตกกระเจิงไปตัวละทิศละทาง
“เตรียมพร้อม ยิง ! ”
เจียงหลิวรวบรวมสติท่ามกลางความโกลาหลแล้วแผดเสียงคำรามดังลั่น กองกำลังคุ้มภัยจึงรีบหาที่กำบังในทันที จากนั้นก็รีบควักปืนคาบศิลาออกมา
‘ปังปังปัง… ! ’ กระสุนสาดเข้าไปยังฝ่ายตรงข้ามและมีเสียงร้องโอดครวญแสดงความเจ็บปวดดังออกมาเป็นระยะ นั่นเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีเลยล่ะว่ายิงโดนเป้า !
ไร้วี่แววของศัตรูโผล่ออกมา แต่ทว่าวิถีของกระสุนปืนคาบศิลาย่อมไกลกว่าการแผลงศรของธนูอย่างแน่นอน
“บรรจุกระสุน ระวัง ! ”
ทันใดนั้นก็ปรากฏคนพุ่งออกมาจากในป่า เจียงหลิวที่กำลังบรรจุกระสุนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจสุดขีด
ในยามที่คนทั้งหมดกำลังเล็งเป้าไปทางศัตรู ด้านหลังของพวกเขาก็ได้มีลูกศรพุ่งเข้ามา!
ทั้งสองฝากฝั่งล้วนเต็มไปด้วยศัตรู !
หัวใจของเจียงหลิวเย็นวาบขึ้นมาในช่วงจังหวะนั้น
“ยิง ! ”
เขาออกคำสั่งยิงปืนเป็นคราสุดท้าย เสียงปืนดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง กลุ่มโจรถูกกระสุนไปเพียงแค่ 10 คน แต่ทว่ากองกำลังคุ้มภัยถูกธนูคร่าชีวิตไปราว 30 คน
กลุ่มโจรบุกทั้งด้านหน้าและหลัง ภายใต้แสงดาบวาววับนั้น เหล่ากองกำลังคุ้มภัยคงจะโดนสังหารจนมลายสิ้นเสียแล้ว…
ในช่วงเวลานั้นเอง ก็ได้ปรากฏเสียงเร่งฝีเท้าอาชาดังสนั่นหวั่นไหว และเบื้องหน้าก็ได้ปรากฏภาพทหารม้าในชุดเกราะกว่าหนึ่งร้อยนายเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็วจนฝุ่นตลบ
พวกเขายืดกายขึ้นแล้วแผลงศรออกมา เจียงหลิวรู้สึกสิ้นหวังเสียเต็มประดา แต่คาดมิถึงว่าทหารม้ากลุ่มนั้นได้ยิงลูกศรไปยังกลุ่มโจรที่กำลังโถมเข้ามาจากทั้งสองทิศทาง
เจียงหลิวตื่นตัวขึ้นมาในทันใด…ทหารม้ากลุ่มนี้คงถูกคุณชายส่งมาช่วยเหลือพวกเขา !
“บรรจุกระสุนแล้วยิงตามใจชอบ แต่ระวังอย่างยิงผิดฝั่งล่ะ และจงรักษาชีวิตให้รอด ! ” เขาแผดเสียงออกคำสั่งอีกคราจากนั้นก็กลิ้งตัวไปหลบอยู่หลังรถม้าแล้วเล็งกระบอกปืนไปยังศัตรูรายหนึ่ง
“ไปตายเสีย ! ”
‘ปัง… ! ’
กระสุนทะลุสมองของโจรผู้นั้นจนร่างร่วงหล่นลงมากองกับพื้น สภาพการตายช่างน่าอนาถยิ่ง
เมื่อทหารม้ายิงธนูออกไปอีกครา จากนั้นพวกเขาก็ได้ชักดาบที่เหน็บตรงเอวขึ้น แล้วบุกสังหารกลุ่มโจรทั้งสองฝั่งด้วยท่วงท่าเด่นสง่าราวกับนกฮูกยามราตรี
การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น โลหิตสาดกระเซ็น เศษอวัยวะกระจัดกระจายเต็มพื้น
ในที่สุดขันทีเจี่ยก็ลงมาจากรถม้าที่ตามมาจากท้ายขบวน แล้วเงยหน้ามองท้องนภาที่ใกล้จะสว่างเต็มที จากนั้นก็หันมามองการต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้แล้วหันไปมองยังป่าที่รายล้อมรอบกาย
จากนั้นเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโผลเข้าไปในป่า
ที่แห่งนี้มีบุรุษนั่งอยู่ 1 คน ด้านหน้าของบุรุษผู้นั้นมีกาสุราวางอยู่ มีดาบขนาดใหญ่ปักอยู่ข้างกาย
“ซ่งชิงเถียน ! ”
“เจี่ยหนานซิง ! ”
“เจ้ามิหมกมุ่นกับการฝึกวิชาทลายนภาให้สำเร็จแล้วหรือ ? เหตุใดถึงได้มาบุกปล้นที่นี่…” ขันทีเจี่ยส่ายศีรษะ “เจ้าสำนักภูเขาดาบกระทำเช่นนี้ช่างไร้ศักดิ์ศรีมากยิ่งนัก ! ”
ซ่งชิงเถียนยิ้มกว้างแล้วเอ่ยว่า “หากเอ่ยไปเจ้าก็คงมิเชื่อว่าข้านั้นสามารถทลายนภาด้วยการใช้ดาบได้แล้วจริง ๆ แต่ทว่ามิสามารถฟันจนขาดสะบั้นได้ และหลังจากนั้นหนึ่งปีข้าจึงย้อนกลับมาคิดว่าเหตุใดข้าถึงมิสามารถทำให้ขาดสะบั้นได้”
“จงเล่ามา”
“เพราะวิญญาณร้าย ! ”
“ผู้ใดคือวิญญาณร้ายที่เจ้าเอ่ยถึง ? ”
“ซูฉางเซิง ! ”
ขันทีเจี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา “เมื่อยี่สิบปีก่อนในศึกที่วัดฟูจื่อ ซูฉางเซิงได้ฟาดดาบใส่เจ้าหนึ่งครา ในปีนั้นเจ้าอายุ 32 ปี หลังจากนั้นปีถัดไปเจ้าก็อายุ 33 ปี และได้ฝึกตนจนเป็นปรมาจารย์ ข้านึกว่าเจ้ารู้สึกสำนึกในคมดาบของซูฉางเซิงเสียอีก คาดมิถึงว่าเขาจะเป็นดั่งวิญญาณร้ายของเจ้าไปได้… เช่นนั้น สิ่งที่เจ้าทำไปทั้งหมดนี้ก็เพื่อสังหารซูฉางเซิงหรอกหรือ ? ”
ขันทีเจี่ยส่ายศีรษะไปมาแล้วถอนหายใจยาวออกมา “น่าเสียดายเพราะเจ้ายังมิใช่คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันกับซูฉางเซิง”
ขันทีเจี่ยคาดมิถึงว่าซ่งชิงเถียนจะพยักหน้ายอมรับอย่างใจกว้าง “ขันทีเฒ่าเยี่ยงเจ้าเอ่ยได้ถูกต้อง เพราะข้ายังมิใช่คู่ต่อสู้ของซูฉางเซิง…แต่ถ้าซูฉางเซิงคือเช่อเหมินแห่งลัทธิจันทรา เหล่าจอมยุทธผู้เก่งกล้าทั่วยุทธภพย่อมจะไปรวมตัวกันที่ภูเขาหยุน… เจ้ายังคิดว่าซูฉางเซิงจะอายุยืนสมชื่ออยู่อีกหรือไม่ ? ”
ขันทีเจี่ยขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยถาม “เจ้ากล้าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้เลยหรือ ? ”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้ก็มิถูก เพราะซูฉางเซิงนั้นเป็นเช่อเหมินจริง ๆ เจ้าคิดดูเถิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการนำระเบิดไปถล่มวัดฟูจื่อ ข้าคิดว่าการทำเช่นนี้มิเกิดผลดีเพราะเป็นการมิเคารพต่อขุมทรัพย์อันล้ำค่าเหล่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นลูกศิษย์ของซูฉางเซิง เขาควรไปหาซูฉางเซิงเพื่อขอกุญแจ แต่คาดมิถึงว่าเขาจะใช้วิธีหยาบช้าเช่นนี้… ดังนั้นข้าจึงต้องใช้วิธีปล้นเพื่ออัญเชิญท่านติ้งอันป๋อให้ไปเอากุญแจที่ท่านอาจารย์ของตนเอง เช่นนี้มิดีกว่าหรือ ? ”
“แต่ตอนนี้ข้ามาแล้ว ดังนั้นแผนของเจ้าจึงพังมิเป็นท่า แล้วเจ้าจะรับมือเยี่ยงไร ? ”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงยังรอเจ้าอยู่ที่นี่ ? ”
หัวใจของขันทีเจี่ยพลางจมดิ่งลง ส่วนซ่งชิงเถียนหยิบกาสุราขึ้นมาแล้วกรอกเข้าปากหนึ่งอึกจากนั้นก็ค่อย ๆ ยืนขึ้น “เพราะผู้อาวุโสทั้งห้าของป่ากระบี่ได้บุกเข้าไปยังเมืองจินหลิงแล้ว เมื่อเจ้าออกมาเช่นนี้ในพระราชวังก็จะไร้ซึ่งผู้คุ้มกัน”
“เจ้าต้องการลอบปลงพระชนม์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ามิต้องการแต่ทว่าป่ากระบี่ต้องการ เนื่องจากบรรพบุรุษของพวกเขาเหล่านั้นมาจากแคว้นอี๋ และตอนนี้แนวเทือกเขาฉางหลิงก็ได้ถูกแบ่งให้เป็นของราชวงศ์หยู… ไหนจะมีฮองเฮาซั่งเป็นรองเช่อเหมิน เจ้าเหนือหัวผู้ครองบัลลังก์ของแคว้นนี้ได้อภิเษกกับปิศาจร้ายจากลัทธิจันทรา และวันนี้นางยังได้เป็นถึงฮองเฮา เช่นนี้ก็มิได้แตกต่างอันใดกับไทเฮาซีเลย ? ”
เมื่อกล่าวจบซ่งชิงเถียนคิดว่าขันทีเจี่ยจะรีบกลับไปยังวังหลวงทันที แต่คาดมิถึงเลยว่าเขาจะยังยืนนิ่งแล้วหัวเราะออกมา