นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 666 ปลาใหญ่และกุ้งเล็ก
ตอนที่ 666 ปลาใหญ่และกุ้งเล็ก
ในยามรุ่งอรุณ ขันทีเจี่ยได้เดินทางมาถึงจวนติ้งอันป๋อ
สวี่ซินเหยียนพาจางเพ่ยเอ๋อร์ไปพักผ่อนยังเรือนด้านข้าง ส่วนฟู่เสี่ยวกวนยังคงรอฟังข่าวจากขันทีเจี่ยอยู่ในศาลา
“ทูลองค์ชาย โชคดีที่ภารกิจของเรามิล้มเหลวพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองอาภรณ์ที่ขาดรุ่งริ่งของขันทีเจี่ย แล้วขมวดคิ้วถามอย่างฉงน “เกิดอันใดขึ้นกัน ? ”
ขันทีเจี่ยหัวเราะน้อย ๆ “ทูลองค์ชาย ก็แค่ปลาตัวใหญ่ตัวเดียวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ต่อสู้กับซ่งชิงเถียนแห่งภูเขาดาบ 10 กระบวนท่า”
“เขาตายหรือไม่ ? ”
“เดิมทีเขาได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว… คาดว่าจะเป็นฝีมือของศาสตราเทพที่องค์ชายใช้จัดการเขาในเมืองเจี้ยนเหมิน แต่เขามิได้ถึงแก่ชีวิต กระหม่อมปล่อยหมัดรัวใส่ไปที่ดาบของเขาแล้วจับเป็นได้ในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความสำราญใจ “แล้วเขาอยู่ที่ใด ? ”
“กระหม่อมได้สกัดวรยุทธของเขาเอาไว้ เห็นว่าลมหายใจรวยริมเต็มทีจึงส่งตัวให้ฮองเฮาซั่งพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งชิงเถียนผู้นั้นเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งศาสตร์แห่งวิชาต่าง ๆ ในยุทธภพ การที่ขันทีเจี่ยเลือกกระทำเช่นนี้ ประการแรกเนื่องจากคนผู้นั้นไร้ความหมายต่อฟู่เสี่ยวกวน ประการที่สองถือเป็นการถวายน้ำใจคราใหญ่หลวงให้แก่ฮองเฮาซั่ง
ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ฮองเฮาซั่งย่อมมีวิธีทำให้อดีตปรมาจารย์ผู้นี้กู้ชื่อเสียงของพระองค์ขึ้นมาได้ ชำระล้างตราบาปที่รู้กันอย่างแพร่หลายนั้นไปให้สิ้น
สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ฐานะรองเช่อเหมินไร้ความสำคัญใด ๆ แต่ทว่าสำหรับฮองเฮาซั่งกลับมิเป็นเช่นเดียวกัน
เพราะนางเป็นถึงพระมารดาของแผ่นดิน !
พระนางมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะล้างตราบาปนี้เสียให้สิ้น มิเช่นนั้นถ้ามีคนหนึ่งคนใดในราชสำนักหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็น ก็สามารถนำฐานะรองเช่อเหมินนี้มาทำให้เรื่องใหญ่โตขึ้นได้
“เยี่ยม ! แล้วอาการบาดเจ็บของท่านเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ในเมื่อเป็นถึงปรมาจารย์ ขันทีเจี่ยย่อมแสดงท่าทีสบาย ๆ ราวกับมิได้เจ็บปวดออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
“ยังดีอยู่พ่ะย่ะค่ะ หากได้พักรักษาตัวสักสองวันคงจะหายดี”
“ท่านอย่าได้หลอกข้าเลย จริงสิ ! ศิษย์พี่ใหญ่ใกล้จะมาถึงแล้วใช่หรือไม่ ? หากเขามาถึงแล้วข้าจะเชิญให้เขามารักษาท่านเอง”
ขันทีเจี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ “ขอบพระทัยองค์ชาย…แต่ทว่ามีอีกปัญหาหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้ฐานะที่แท้จริงของกระหม่อมได้ถูกเปิดเผยแล้ว เกรงว่าการกลับเข้าไปทำหน้าที่ข้างพระวรกายฝ่าบาทคงมิเหมาะสม เพราะความจริงกระหม่อมได้ลอบเป็นสายลับให้แก่ราชวงศ์อู๋มาโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยรอยยิ้มออกมา “ก็ดี ! ถ้าเช่นนั้นท่านก็จงมาอยู่ที่จวนของข้าแล้วข้าจะเลี้ยงดูท่านเอง”
“เอ่อ…กระหม่อมคิดว่าวันนี้ต้องเดินทางไปยังพระราชวังเพื่อลาออกจากตำแหน่งขันทีที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งเสียก่อน พอองค์ชายเดินทางไปยังว่อเฟิงเต้า กระหม่อมคิดว่าองค์ชายมีสวี่ซินเหยียนและจางเพ่ยเอ๋อร์ผู้มีวรยุทธขั้นสูงอยู่ข้างกายแล้ว ไหนจะมีหนิงซือเหยียนอีก เรื่องความปลอดภัยคงสามารถวางใจได้ แต่ทว่าที่จวนฟู่แห่งนี้…”
ขันทีเจี่ยเงยหน้ามองไปรอบ ๆ “กระหม่อมคอยรักษาการณ์อยู่ที่จวนแห่งนี้จะดีกว่า เมื่อถึงคราที่องค์ชายหวนคืนราชวงศ์อู๋เมื่อใด กระหม่อมค่อยติดตามองค์ชายกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนติดตามขันทีเจี่ยเข้าวังหลวงพร้อมกัน
ขันทีเจี่ยเข้าไปยังห้องทรงพระอักษรแต่เพียงผู้เดียว ส่วนฟู่เสี่ยวกวนไปเยือนยังศาลต้าหลี่
ฝูงมดนำกระดาษ 3 แผ่นที่อยู่ในจวนของหวงจ้งแห่งฝ่ายลงทัณฑ์ออกมาได้ แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนย่อมนำพยานหลักฐานนี้ไปกระทำการบางอย่าง
ณ ห้องโถงของศาลต้าหลี่มีลายพระหัตถ์สลักไว้อย่างงดงามว่า ‘รักษากฎแห่งศีลธรรม เสาะหาความจริงอย่างเที่ยงตรง’ แขวนเอาไว้บนกำแพง นั่นยิ่งทำให้ที่แห่งนี้เต็มเปี่ยมไปดัวยศีลธรรม
แน่นอนว่าใต้เท้าซูชานเยวี่ยผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงและเป็นที่เคารพอย่างที่สุดของศาลต้าหลี่ได้ให้การต้อนรับฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นกันเอง
ภายในสำนักงาน ซูชานเยวี่ยได้ต้มชาหนึ่งกาแล้วเอ่ยขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “สีหน้าของติ้งอันป๋อดูมีความอิดโรยเสียเหลือเกิน อย่าหาว่าข้าซุบซิบนินทาเลยแต่แท้จริงเรื่องในราชสำนักมีร้อยแปดพันประการมิจบมิสิ้น ติ้งอันป๋อยังเยาว์วัยควรรักษาสุขภาพเอาไว้ก่อน ในภายภาคหน้าจึงจะสามารถทำคุณประโยชน์ให้แก่ราษฎรได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มยิงฟัน “หากเอ่ยไปแล้วใต้เท้าซูคงมิเชื่อ หมอดูทักว่าชีวิตของข้านั้นมีภาระงานที่หนักอึ้ง… ที่มาเยือนในวันนี้ ประการแรกเพื่อมาขอบคุณใต้เท้าซูที่จับคนที่ใส่ร้ายป้ายสีข้ามาได้ และประการที่สองก็คือข้าประสงค์จะไปพบใต้เท้าหวงจ้งสักหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านว่าตัวข้าได้รับความยุติธรรมหรือไม่ ? ตั้งแต่ที่ขุนนางในฝ่ายลงทัณฑ์ฟ้องร้องข้าคราก่อน ข้ามิได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าพวกเขากลับสาดสิ่งปฏิกูลใส่ข้ามิหยุดหย่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าเข็ดขยาดต่อความวุ่นวายประเภทนี้ที่สุด เช่นนั้นแล้วข้าประสงค์จะไปพบใต้เท้าหวงเพื่อเอ่ยถามสักคำว่าเป็นเพราะเหตุใด ? ”
คิ้วสูงโก่งของซูชานเยวี่ยได้กระตุกหนึ่งครา เกิดความสว่างวาบขึ้นมาภายในใจ ใต้เท้าหวงผู้นั้นเกรงว่าจะต้องนอนคุกจนแก่หง่อมเป็นแน่
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของติ้งอันป๋อและจงอย่าได้เอ่ยขอบคุณกันเลย เพราะข้ารู้สึกมิคู่ควรเลยสักนิด ! ข้าจะให้คนนำทางติ้งอันป๋อไปยังที่คุมขังเนื่องจากมันผู้นั้นมิได้ถูกขังอยู่ในคุกของศาลต้าหลี่ แต่ถูกขังอยู่ที่คุกของกรมราชทัณฑ์”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เมื่อสีฉวินเหมยลาออกจากตำแหน่งแล้ว ผู้ใดมารับหน้าที่เป็นเสนาบดีต่อจากเขากัน ? ”
“ฝ่าบาทยังมิได้มีพระราชโองการแต่งตั้ง ตอนนี้จึงมีหยางเผิงจู่รองเสนาบดีกรมราชทัณฑ์รักษาการชั่วคราว…”
ซูชานเยวี่ยเงียบลงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “เกรงว่าวันนี้หยางเผิงจู่จะมิได้อยู่ในสำนักงาน เนื่องด้วยเมื่อวานเกิดเรื่องขึ้นในพระราชวัง ฝ่าบาทจึงรับสั่งให้หยางเผิงจู่เดินทางไปพบผู้ว่าเมืองจินหลิงเพื่อสืบหาและจับกุมชาวยุทธ์ที่อยู่ในเมืองจินหลิงมาให้หมด”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเพราะเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เขามิค่อยรู้จักหรือสนิทชิดเชื้อกับหยางเผิงจู่สักเท่าใดนัก
หนิงหยู่ชุนประจำจวนผู้ว่าจินหลิงถูกส่งไปรับหน้าที่ยังว่อเฟิงเต้า และตำแหน่งผู้ว่าเมืองจินหลิงคนปัจจุบันก็คือจินฮ่าวจือที่เลื่อนมาจากตำแหน่งจินเชียนฮู่
เจ้าหมอนี่โชคมิค่อยเข้าข้าง เนื่องจากเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งก็ต้องประสบเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าหากว่าเมื่อคืนเกิดปัญหาใดขึ้นมาย่อมศีรษะหลุดออกจากบ่าเป็นแน่
“แล้วทุกวันนี้หยูเวิ่นชูถูกขังอยู่ที่ใด ? ”
“ถูกขังอยู่ในจวนของตระกูล แต่ติ้งอันป๋ออย่าได้เข้าไปใกล้ชิดคนผู้นั้นเลย” ซูชานเยวี่ยเอ่ยถ้อยคำนี้ด้วยความตั้งใจ เพราะมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้จะมีความคิดเป็นอื่น
“ข้าเพียงแค่เอ่ยถามเท่านั้นเอง มิได้ปรารถนาจะไปใกล้ชิดสักหน่อย”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
……
แสงสุริยาสาดส่องลงมาทางช่องเล็กของสถานที่คุมขัง หวงจ้งกำลังนอนคุดคู้อยู่ในมุมอับแสงของห้องขัง
เขารู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
สองวันมานี้ ลูกชายได้มาเยี่ยมหนึ่งคราพร้อมบอกเล่าว่ามีขโมยบุกขึ้นจวน หัวขโมยผู้นั้นได้หยิบหีบใบหนึ่งจากห้องอักษรไป
ในจังหวะที่ได้ยินข่าวนั้น เขาก็รู้สึกว่าผืนนภาได้พังทลายลงมา
ลูกชายเล่าว่าหัวขโมยผู้นั้นมิใช่เจ้าหน้าที่ในจวนผู้ว่าเมืองจินหลิง
และหัวขโมยก็มิได้แตะต้องเงินภายในจวนเลยแม้แต่อีแปะเดียว แต่กลับขโมยเพียงแค่หีบหนึ่งใบ !
หมายความว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามามีจุดประสงค์ที่ชัดเจน และได้กุมดวงชะตาของเขาเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว
บุกโจมตีคราเดียวเล่นกันถึงตาย !
สิ่งที่อยู่ในหีบใบนั้นคือโฉนดจวน 2 แห่ง และโฉนดจวนทั้งสองแห่งนั้นเป็นสิ่งที่ใต้เท้าฉินฮุ่ยจือมอบให้แก่เขาเมื่อสามปีก่อน !
และจวนทั้งสองหลังล้วนมีอนุของเขาอาศัยอยู่ ซึ่งใต้เท้าฉินเป็นผู้ประทานให้แก่เขาเช่นกัน !
หรือเป็นคนที่ใต้เท้าฉินสั่งการมา ?
ต้องเป็นคนที่ใต้เท้าฉินส่งมาอย่างแน่นอน !
มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดหัวขโมยถึงได้เอาของสำคัญเช่นนั้นไป ?
ไอ้หัวขโมยผู้นี้สมควรตาย !
ข้ายอมให้ร้ายฟู่เสี่ยวกวนเพื่อเขาอย่างมิเสียดายชีวีต แรกเริ่มก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะโยกย้ายให้ข้าไปรับราชการทางทิศใต้ของแม่น้ำฮวงโห คาดมิถึงเลยว่าเขาจะกลับคำเยี่ยงนี้ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้วหักหลังข้า !
หวงจ้งสิ้นความหวังต่อการมีชีวิตอยู่ต่อ รู้สึกว่าแสงสุริยาที่แสนอบอุ่นนี้ ได้เปลี่ยนมาทำให้เขารู้สึกแสบตามากขึ้นกว่าเดิม
ทันใดนั้นประตูของห้องขังก็ถูกเปิดออก จากนั้นก็มีแสงส่องเข้ามา
หวงจ้งชะโงกศีรษะขึ้นมองอย่างหวาดผวา เมื่อลองเพ่งสายตาดูว่าผู้ใดมาเยือน…ก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยากมากขึ้นกว่าเดิม
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาอย่างสง่างามแล้วก้มตัวลงนั่งแต่ทว่ามิได้นั่งติดพื้น จากนั้นก็ฉายรอยยิ้มออกมา
“ใต้เท้าหวง เราเจอกันอีกแล้ว”