นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 669 ปฏิบัติการค้นหาขุมทรัพย์ ( 2 )
ตอนที่ 669 ปฏิบัติการค้นหาขุมทรัพย์ ( 2 )
ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์เพื่อแสดงออกว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของฟู่เสี่ยวกวน
ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยแห่งสำนักเต๋าเป็นผู้มีผีมือระดับปรมาจารย์ มีท่วงท่าสง่างามและเข้าใจในธรรมเนียมปฏิบัติ มีความเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าของสำนักมือปราบหกประตูอย่างแท้จริง
“ข้ารู้สถานะที่แท้จริงของเจี่ยหนานซิงมาเนิ่นนานแล้ว ฝูงมดทำอันใดอยู่ในราชวงศ์หยูข้าก็พอรู้มาบ้าง”
ฮ่องเต้ได้เงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรฟู่เสี่ยวกวน “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยังไว้ใจมอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับเจี่ยนหนานซิง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะแทนคำตอบ
เขาเชื่อว่าฮ่องเต้ทรงรับรู้เรื่องของฝูงมดจริงเพราะสถานที่แห่งนี้คือเมืองจินหลิง สายลับของหอซี่หยู่นั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ฝูงมดย่อมมิอาจคลาดจากสายตาของสายลับหอซี่หยู่ได้
ส่วนขันทีเจี่ยนั้นเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงที่มีน้อยคนในปฐพี หากต้องการหาตัวตนที่แท้จริงของเขาคงมิใช่เรื่องยาก
ฝ่าบาทแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสว่า “เพราะเขาคือคนที่ฟู่ต้ากวนแนะนำมาให้ข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนทูลถามด้วยความตกตะลึง “เหตุใดฝ่าบาทจึงเชื่อพระทัยในชายอ้วนผู้นั้นเสียเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ชายอ้วน…ก่อนหน้านั้นเขามิได้อ้วนหรอก อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลา ผู้คนต่างพากันทึกทักเอาว่าเขาหนีจากราชวงศ์อู๋ไปยังสำนักเต๋าเมื่อสิบสามปีก่อน แต่แท้จริงเขาได้ไปยังสำนักเต๋าก่อนหน้านั้นนานมากแล้ว”
เมื่อสิบสามปีก่อน ไทเฮาซีได้ก่อเหตุการณ์นองเลือดขึ้นที่ทะเลสาบสือหลี่ เดิมทีนางมีแผนจัดการกับชายอ้วนที่กำลังเดินทางกลับราชวงศ์อู๋พอดี แต่ทว่าจักรพรรดิเหวินได้ส่งข่าวนี้ไปยังสำนักเต๋าเสียก่อน
ปรมาจารย์สำนักเต๋าในตอนนั้นคืออาจารย์ของชายอ้วนและได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ แม้แต่คนของราชวงศ์อู๋ก็คิดว่าชายอ้วนเพิ่งเข้าถวายตัวเป็นศิษย์สำนักเต๋าในตอนนั้นเช่นกัน
แน่นอนว่าตั้งแต่เหตุการณ์นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่ ชายอ้วนก็มิได้หวนคืนสู่ราชวงศ์อู๋อีกเลย เพราะเขาได้รับการไหว้วานจากจักรพรรดิเหวินให้ดูแลสวี่หยุนชิงและเจ้า”
“ตอนนั้นข้ายังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ ได้รู้จักเขาตั้งแต่ปีไท่เหอที่สี่สิบ ตอนนั้นเขาอยู่ที่สำนักเต๋าแต่มักมาเยือนจินหลิงอยู่บ่อยครั้ง เพราะเขาบอกว่าอาหารการกินที่สำนักเต๋ามิค่อยดีเท่าใดนัก
ข้าพบเขาคราแรกที่เรือหงซิ่วจาว ราตรีนั้นพวกเราร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมามาย และกลายเป็นมิตรสหายนับแต่นั้นมา… ชีวิตของข้ามีมิตรสหายน้อยมากยิ่งนัก ฟู่ต้ากวนจึงเป็นสหายที่ข้าไว้ใจมากที่สุด !
“เจี่ยหนานซิงคือบุคคลที่สหายรักแนะนำมาให้ ข้าเชื่อใจฟู่ต้ากวนและไร้ความกังวลว่าเจี่ยหนานซิงจะกระทำสิ่งที่เป็นผลร้ายต่อข้า ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี ข้ามิเคยมองสหายคนนี้ผิดพลาดมาก่อน แม้ว่าเจี่ยหนานซิงจะเป็นหนึ่งในฝูงมด แต่เขาก็มิเคยกระทำสิ่งใดที่เป็นผลร้ายแก่ราชวงศ์หยูเลย”
“เช่นนั้นแล้วการที่เจี่ยหนานซิงมาขอลา ข้าจึงรู้สึกเสียดายจากใจจริง”
ฮ่องเต้ทรงทอดถอนพระทัยออกมาอย่างเชื่องช้า “ผู้คนต่างก็เอ่ยว่าโอรสแห่งสวรรค์นั้นไร้หัวใจ แต่แท้จริงแล้วโอรสแห่งสวรรค์ผู้มีนามว่าฟู่ต้ากวนเป็นคนมีหัวใจ และข้า… ข้าเองก็มิใช่คนไร้หัวใจอย่างที่พวกเขาล่ำลือกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนสดับฟังอย่างเงียบเชียบ แต่ทว่าก็ได้เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาในทันใด
เขามิรู้ว่าบัดนี้สิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสออกมานั้นมีพระราชประสงค์เพื่อปลอบประโลมราชบุตรเขยคนนี้ หรือนั่นคือสิ่งที่มาจากก้นบึ้งของพระทัย
เขาระแวดระวังโดยมิผ่อนปรนมาเสมอหลังจากได้ฟังคำเตือนจากเยี่ยนเป่ยซี มิว่าเยี่ยงไรก็ตามตนต้องเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
หลังจากสิ้นเสียงทอดถอนพระทัย ฝ่าบาทก็ทรงทอดพระเนตรไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วตรัสว่า “ข้ารู้ว่าฝูงมดทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในอารามซุ่ยเยว่ ข้าจึงขอเอ่ยไว้ตรงนี้เลยว่านางกำนัลผู้นั้นถูกข้าสั่งประหารเอง และศพของนางก็ถูกฝังอยู่ที่สวนดอกไม้หลังตำหนักองค์หญิงใหญ่
ส่วนเหตุที่ได้กระทำเช่นนี้ก็เป็นความคิดขององค์หญิงใหญ่ เพราะนางกังวลว่าจะมีผู้ใดฉกฉวยโอกาสนี้มาทำให้เป็นภัยต่อฮองเฮาซั่ง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริง ๆ นางจะยอมเป็นแพะรับบาปเอง”
เรื่องนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เขาจ้องมองไปยังฝ่าบาทอย่างฉงน “ฝ่าบาท นี่มิใช่เรื่องใหญ่ เหตุใดต้องทำให้วุ่นวายมากถึงเพียงนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮ่องเต้ทรงผงะเล็กน้อย “นี่มิใช่เรื่องใหญ่เยี่ยงนั้นหรือ ? หากการที่ฮองเฮาของราชวงศ์หยูอันสูงส่งเป็นคนของลัทธิจันทราที่รอดชีวิตมาจากราชวงศ์ก่อนมิใช่เรื่องใหญ่ แล้วเรื่องใดถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่กัน ? ”
“หากวันนี้มิได้ยกเอาขุมทรัพย์มาอ้างว่าฮองเฮาเป็นสายลับเพื่อค้นหามัน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากข่าวนี้แพร่ไปทั่วราชสำนักแล้ว เหล่าเสนาบดีย่อมเสนอให้ถอดถอนตำแหน่งของฮองเฮาเสีย นั่นยังถือว่าเป็นโทษสถานเบาเพราะพวกเขาอาจจะบังคับให้ข้าประหารฮองเฮาก็เป็นได้ ! ”
“ผลที่ตามมา พวกเขาย่อมมิเพียงแต่จะเอาชีวิตของฮองเองซั่งเท่านั้น แม้แต่ตำแหน่งองค์รัชทายาทของหยูเวิ่นเต้าก็มิอาจ…”
พระองค์ทรงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งคราแล้วตรัสด้วยความหวาดวิตก “ต่อให้ข้าเป็นโอรสแห่งสวรรค์ แต่ทว่าโอรสแห่งสวรรค์จำต้องพึ่งพาเสนาบดีเหล่านี้เพื่อบริหารบ้านเมือง หากว่ามีการกดดันจากเหล่าเสนาบดีขึ้นมาเมื่อใด ข้าเองก็มิสามารถต้านทานได้หรอกนะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้แจ้งขึ้นมาในทันใด
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่เมื่อลองมองปัญหาในมุมมองของฝ่าบาทย่อมสมเหตุสมผล
ในมุมมองของเขา การเป็นรองผู้อาวุโสเช่อเหมินอันใดนั่น ก็เป็นเพียงแค่นามและเขารู้สึกว่านี่คือนิทานเรื่องหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
ทว่าหากลองพิจารณาในมุมมองของฝ่าบาทย่อมหมายความว่าพื้นเพมิโปร่งใสและแปดเปื้อนมลทิน เมื่อสถานภาพมิโปร่งใสแล้วจะบริหารบ้านเมืองได้เยี่ยงไรกัน เป็นถึงฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ของราชวงศ์ แท้จริงแล้วกลับเป็นโจรแฝงตัวมาเสียอย่างนั้น มีสิ่งใดคอยบงการอยู่เบื้องหลังกันแน่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วทูลถามว่า “ขอทูลถามฝ่าบาทว่าในต้นไม้นั้นซ่อนสิ่งใดเอาไว้กันแน่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“สมุดรายชื่อเล่มหนึ่งและข้าได้เผาจนมอดไหม้ไปทั้งหมดแล้ว”
ฮ่องเต้มิได้ตรัสว่าในสมุดเล่มนั้นมีรายชื่อของผู้ใดอยู่บ้าง แต่ทว่าในเมื่อเผาไปแล้วย่อมหมายความว่ามีชื่อของฮองเฮาซั่งอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
ฟู่เสี่ยวกวนลูบคลำสมุดรายชื่อที่อยู่ในแขนเสื้อของตนเอง เอาไว้วันหลังค่อยเข้าไปในพระราชวังเพื่อถวายสมุดเล่มนี้ให้แก่ฮองเฮาซั่ง รอดูว่าหลังจากพระนางได้ทอดพระเนตรแล้วจะมีปฏิกิริยาเยี่ยงไร ?
ราชรถมังกรได้มาหยุด ณ วัดฟูจื่อ
ฮ่องเต้และเหล่าเสนาบดีมิได้ขึ้นไปบนภูเขาเพราะฟู่เสี่ยวกวนบอกว่าอีกประเดี๋ยวจะมีการระเบิด แน่นอนว่าย่อมระเบิดในระดับรุนแรง จึงกลัวว่าเกิดอันตรายขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวน สวี่ซินเหยียน และฮั่วหวยจิ่นได้ไต่ขึ้นไปทีละขั้นจนถึงครึ่งทางของทางขึ้นภูเขา
ณ ที่แห่งนี้มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ปรากฏทหารคอยรักษาการณ์อยู่มากถึง 1,000 นาย
มีบันได 5 แห่งทอดยาวลงมาจากหน้าผาสูงชัน ฟู่เสี่ยวกวนปีนบันไดขึ้นไปยังหน้าผา ตรงบริเวณนั้นได้ถูกช่างฝีมือขุดร่องเข้าไปลึกมากยิ่งนัก
ระเบิดและสารก่อระเบิดทั้งหลาย ถูกฝังอยู่ในจุดนั้นนั่นเอง ชนวนระเบิดทั้งห้าถูกผูกไว้กับต้นพุทราต้นเดิม
ฟู่เสี่ยวกวนตรวจตราโดยละเอียด จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับฮั่วหวยจิ่นว่า
“จงเรียกทุกคนออกไปให้หมด ข้างบนนี้ห้ามมีผู้ใดหลงเหลืออยู่เป็นอันขาด หลังจากทุกคนออกไปทั้งหมดแล้วเจ้าจงเป็นผู้จุดชนวนนี้ หลังจากจุดเสร็จก็ใช้วิชาตัวเบาหนีออกมาโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้น…ข้าเกรงว่าเจ้าคงระเบิดจนแหลกมิเหลือชิ้นดี”
ฟู่เสี่ยวกวนสั่งการฮั่วหวยจิ่นด้วยความระมัดระวัง แล้วก็นำสวี่ซินเหยียนลงจากภูเขา
สวี่ซินเหยียนหันไปมองต้นพุทราต้นนั้นแล้วเอ่ยถามว่า “ต้นพุทราจะถูกระเบิดจนแหลกด้วยหรือไม่ ? ”
“ยังมิสามารถบอกได้”
“อืม…หากถูกระเบิดจนแหลก เกรงว่าข้าจะมิได้ลิ้มรสอีกต่อไปแล้ว”
“ฮ่าฮ่า ที่ว่อเฟิงเต้าก็มีต้นพุทราเช่นกัน”
“อืม”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาท ยกมือขึ้นประสานกันแล้วทูลรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ทุกอย่างเรียบร้อยดีและอีกราวครึ่งชั่วยาม สมบัติเหล่านั้นก็จะปรากฏให้เห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ลูบเครายาวแล้วแสร้งทำท่าทางสงบนิ่ง ส่วนเหล่าขุนนางที่รายล้อมพระองค์อยู่นับร้อยชีวิตต่างรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจ
บัดนี้ ด้านล่างของวัดฟูจื่อลากยาวไปจนถึงริมแม่น้ำฉินหวายได้มีราษฎรของเมืองจินหลิงเข้ามาจับจองพื้นที่กันอย่างเนืองแน่น
ตลอดสองสามวันมานี้มีทหารรักษาการณ์อยู่ที่วัดฟูจื่อ ส่วนวันนี้ก็มีโอรสสวรรค์เสด็จมาเยือนหรือว่าจะมีความลับใดซ่อนอยู่ที่วัดฟูจื่อแห่งนี้กัน ?
เหล่าผู้คนสุมหัวกะเทาะเปลือกเมล็ดทานตะวัน คาดเดาไปร้อยแปดพันเก้าประการแต่ล้วนมิได้ใจความใด ๆ ทั้งสิ้น
ริมแม่น้ำฉินหวายมีเรือสำราญจอดอยู่ 1 ลำ ซึ่งนั่นก็คือเรือหงซิ่วจาว
บัดนี้อาจารย์หูฉินหูได้ยืนอยู่บนเรือแล้วทอดมองไปยังขบวนเสด็จของโอรสสวรรค์ จากนั้นก็หันไปมองเหล่าฝูงชนที่เบียดเสียดกันอย่างเนืองแน่น จึงได้หันไปกำชับหลิ่วเยียนเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายว่า
“เรียกคนเรือให้ถอนสมอ”
“ไปยังที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ไปให้ไกลจากที่นี่ ไปยังใจกลางของแม่น้ำ”
หลิ่วเยียนเอ๋อร์มิเข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่ก็ยอมเดินลงไป ฝ่ายอาจารย์หูฉินหูมองไปยังวัดฟูจื่ออีกครา จากนั้นบนใบหน้าก็ได้ปรากฏรอยยิ้มที่แสดงถึงการหยั่งรู้ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น