นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 688 ซุยเยว่หมิง
ตอนที่ 688 ซุยเยว่หมิง
ตลอดยามเว่ยของวันนี้หนานกงตงเซวี๋ยยังมิได้เอ่ยคำใดสักคำ
นางเอาแต่พลิกอ่านความรู้ทางการแพทย์ที่จดบันทึกเอาไว้จนรวบรวมได้เป็นเล่มซึ่งยังมีอีกหลายประเด็นที่นางมิเข้าใจ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนใช้ถ่านเขียนวิธีการปรับแต่งยาเพนิซิลลินอย่างง่าย ๆ ออกมา
สตรีสามนางที่เหลือมิมีผู้ใดเข้าไปกวนเขาสักคน พวกนางเพียงแค่มองเขาด้วยความสงสัยพลางคิดในใจว่าบุรุษผู้นี้นับวันก็ยิ่งประหลาด
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยถึงช่วงพลบค่ำ ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้เขียนวิธีสกัดเพนิซิลลินที่กลั่นออกมาจากมันสมองเสร็จเสียที จากนั้นก็ยื่นให้หนานกงตงเซวี๋ยแล้วเอ่ยเพียงแค่ว่า “ถ้าพวกเราสามารถสกัดมันได้สำเร็จ ราษฎรก็จะมีโอกาสรอดชีวิต…อีกนับมิถ้วน ! ”
ยามนี้หนานกงตงเซวี๋ยยังมิมีความเข้าใจต่อเพนิซิลลิน นางนึกเพียงว่านี่เป็นสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนส่งเสริมอยากให้นางศึกษา
แต่ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมาเช่นนี้แล้ว อีกทั้งเขายังมีความตั้งใจจดบันทึกออกมาให้นาง นางย่อมให้ความสำคัญกับมันเป็นพิเศษ ดังนั้นหลังจากที่อ่านมันอย่างง่าย ๆ เสร็จแล้ว จึงพับแล้วเก็บเข้าแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
“เรื่องสำนักศึกษาการแพทย์…พวกเราก่อตั้งที่ราชวงศ์อู๋มิเหมาะสมกว่าหรือ ? ”
“ที่ราชวงศ์อู๋ก็ต้องก่อตั้งขึ้นเช่นกัน แต่ตอนนี้เจ้ายังกลับไปที่นั่นมิได้ เอาเป็นว่าให้ศึกษาอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าไปก่อน”
“ข้าเข้าใจแล้ว ! ”
หนานกงตงเซวี๋ยมิเคยตระหนักถึงการปฏิวัติทางการแพทย์ทั้งหมดนี้มาก่อน และเป็นเพราะการมีพระประสูติกาลยากของหยูเวิ่นหวินและความคิดเพียงชั่ววูบของฟู่เสี่ยวกวน จึงทำให้เกิดการปฏิวัติทางการแพทย์คราใหม่ขึ้นมา
การแพทย์กำลังจะรุ่งโรจน์ในอนาคต ซึ่งเป็นการตกทอดมาจากประสบการณ์ในอดีตจนก้าวกระโดดไปสู่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น จึงยังมิอาจดึงดูดความสนใจของคนทั่วหล้าได้
เมื่อสุริยาลาลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ขบวนรถม้าก็ได้มาหยุดอยู่ที่จางผิงอี้
ที่นี่คือศาลาพักม้าแห่งแรกที่ฝูงมดยกให้ฟู่เสี่ยวกวน
และซุยเยว่หมิงผู้รับผิดชอบการเดินทางในครานี้ ก็ได้บังคับม้ามายังข้างรถม้าของฟู่เสี่ยวกวน
แน่นอนว่าเขารู้จักองค์ชายพระองค์นี้
เขาถึงขนาดเฝ้าจับตาดูองค์ชายพระองค์นี้อย่างเงียบ ๆ เมื่อคราอยู่ในเมืองหลวง !
เขาคุ้นเคยกับการกระทำของพระองค์ดี อีกทั้งยังเชื่อมั่นในความสามารถของพระองค์อย่างสุดหัวใจ
ในอดีตบุคคลที่เขาเคยนับถือมากที่สุดคือฟู่ต้ากวน
และในตอนนี้บุคคลที่เขานับถือมากที่สุดคือบุตรชายฟู่ต้ากวน… ฟู่เสี่ยวกวน !
ส่วนจักรพรรดิเหวินนั้น…ยังมิอาจเทียบเคียงฟู่ต้ากวนได้ !
และแน่นอนว่านี่คือความในใจของซุยเยว่หมิง
ตอนนี้นายน้อยคนเดิมได้กลับไปที่ราชวงศ์อู๋และกลายเป็นจักรพรรดิอู๋แล้ว
ด้วยคำสั่งของนายน้อยเฟิ่ง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปองค์ชายพระองค์นี้จะกลายเป็นนายน้อยคนใหม่ของเขา
แต่ทว่าตัวเขาเองก็อายุมากแล้ว
ถึงเยี่ยงไรเสีย เขาก็มิอาจติดตามนายใหม่ผู้นี้เพื่อเป็นพยานให้แก่ยุคสมัยใหม่ที่พระองค์สร้างขึ้นมาได้ ช่างน่าเสียดายมากยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนพาสี่สาวงามลงจากรถม้าทำให้ซุยเยว่หมิงตกตะลึงอยู่มิน้อย แต่ทว่าหลังจากนั้นมินานเขาก็เกิดความรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา… ดูเหมือนเขาจะเห็นความรุ่งโรจน์และความครึกครื้นของวังหลังแห่งราชวงศ์อู๋รวมถึงเชื้อสายของราชวงศ์อู๋ที่มีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าแคว้นใดแล้ว
เขาโค้งกายคำนับ “กระหม่อมซุยเยว่หมิงขอคารวะองค์ชาย”
ในเวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังมองไปยังชายชราผู้มีผมขาว แต่ทว่ามีแววตาและสีหน้ากล้าหาญ เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งนักรบ “มิต้องมากพิธี”
“ขอบพระทัยองค์ชาย ! ”
“ไปเดินเล่นเป็นสหายข้าสักหน่อยเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปบอกพวกสวี่ซินเหยียนให้ไปรออยู่ในศาลาพักม้า ส่วนเขาพาซุยเยว่หมิงเดินมาที่ด้านนอกของศาลา
ซุยเยว่หมิงดูเหมือนจะคาดเดาออกว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการเอ่ยถามบางอย่างต่อเขา ภายในใจจึงเกิดความประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยเพราะกำลังสงสัยว่าควรจะตอบเยี่ยงไรดี ?
ในเวลานี้นายและข้ารับใช้ยืนอยู่ริมลำธารน้ำตื้นที่ใสสะอาด ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นมาว่า
“บิดาของข้าฟู่ต้ากวนให้เจ้ามาที่เมืองจินหลินตั้งแต่เมื่อใด ยิ่งไปกว่านั้นเขาให้เจ้าคอยตรวจสอบอารามซุ่ยเยว่ใช่หรือไม่ ? ”
“ทูลองค์ชาย กระหม่อมไปที่นั่นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีไท่เหอที่ 41 พ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครา “เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าอยู่ที่อารามซุ่ยเยว่มานานกว่า 21 ปีแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนถอนออกจากลำธารและหันมาตกบนใบหน้าของซุยเยว่หมิงที่เต็มไปด้วยเค้าโครงความชรา “ลำบากเจ้าแล้ว”
เดิมทีซุยเยว่หมิงนึกว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยถามเกี่ยวกับความลับของพวกเช่อเหมินแห่งลัทธิจันทรา แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอื้อนเอ่ยถึงเรื่องนั้นเลยสักนิด
“…นี่คือหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบเอาม้วนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อแล้วคลี่ม้วนกระดาษนั้นออก “เจ้าลองดูลายเส้นอักษรเหล่านี้ว่าดูคุ้นหูคุ้นตาบ้างหรือไม่ ? ”
นี่คือภาพพิมพ์ที่ขอมาจากซูชานเยวี่ยจากศาลต้าหลี่ มันคือภาพพิมพ์บทกวีอำลาเคมบริดจ์ที่อยู่ใต้ภูเขาวัดฟูจื่อ
ซุยเยว่หมิงพินิจมองภาพพิมพ์นั้นอย่างละเอียด ส่วนสายตาของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของซุยเยว่หมิง
แต่มิได้เห็นถึงความแปลกประหลาดใดจากใบหน้านั้น !
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงด้วย ซุยเยว่หมิงเอ่ยปากว่า “บทกวีนี้…ถือว่ามีความน่าสนใจ แต่กระหม่อมมิเคยพบเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนมีความผิดหวังเล็กน้อย ซุยเยว่หมิงจึงกล่าวต่อว่า “ลวดลายตัวอักษรช่างมีความอิสระเสรีมากยิ่งนัก มีการตวัดเส้นอย่างเฉียบคมด้วยวิธีการเขียนที่พลิ้วไหว… เท่าที่กระหม่อมพอทราบมา ผู้เขียนบทกวีนี้จะต้องเป็นคนในยุทธภพอีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีวรยุทธเก่งกล้าอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คำเอ่ยของซุยเยว่หมิงเป็นการพิสูจน์ถึงการคาดเดายามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้อ่านบทกวีนี้เป็นครั้งแรก ถึงขนาดที่เคยคิดว่าบทกวีนี้เป็นสิ่งที่ซูฉางเซิงแห่งสำนักเต๋าทิ้งเอาไว้
แต่หลังจากที่เห็นจดหมายที่ซูฉางเซิงส่งถึงตนจึงเลิกสนใจความคิดนี้ เพราะท่านอาจารย์บอกว่ามิใช่ลายมือของท่านและลายมือบนภาพนี้ก็แตกต่างกันอยู่มากโข
ตอนนี้เขากำลังรู้สึกสงสัยคนผู้หนึ่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเอาม้วนกระดาษแผ่นนี้ออกมาเพราะนึกว่าอาจจะเห็นความผิดปกติจากสีหน้าขอซุยเยว่หมิงได้บ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะมิได้สิ่งใดกลับมาเลย หรือความสงสัยล้วนผิดจนสิ้น ?
“องค์ชายทรงไปเอาภาพพิมพ์นี้มาจากที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเก็บม้วนกระดาษคืนไปแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จากใต้ภูเขาวัดฟูจื่อ”
“อ่า…กระหม่อมเคยได้ยินเรื่องนี้มาอยู่บ้าง คนผู้นี้ย่อมเก่งกาจเช่นเดียวกันและน่าจะอพยพมาจากจินซาน”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแต่มิได้เอ่ยว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นทันที “ไปกันเถิด กลับไปที่ศาลาดีกว่า”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ”
……
……
จันทราลอยขึ้นสู่ท้องนภายามราตรี แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิสามารถข่มตาหลับลงได้
ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นแล้วไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง
ซุยเยว่หมิงมาถึงเมืองจินหลิงเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีไท่เหอที่ 41
ในปีนั้นเป็นปีที่อ่อนไหวมากยิ่งนักเพราะฟู่ต้ากวนเขียนคำจารึกถึงภรรยาบนแท่นหน้าหลุมศพ ตอนนั้นบิดาอ้วนระบุว่าตนมาถึงเมืองจินหลิงตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีไท่เหอที่ 41 เช่นเดียวกัน
เรื่องราวที่จารึกไว้เกี่ยวกับการรู้จักกันระหว่างเขาและภรรยาเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ แต่ปีรัชสมัยนั้นเป็นของจริง
ซึ่งหมายความว่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีไท่เหอที่ 41 ฟู่ต้ากวนมาที่เมืองจินหลิงพร้อมซุยเยว่หมิง
และคำสั่งที่ฟู่ต้ากวนมอบหมายให้ซุยเยว่หมิงมีเพียงคำสั่งเดียวซึ่งนั่นก็คือ ตรวจสอบอารามซุ่ยเยว่ !
ฟู่ต้ากวนรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าอารามซุ่ยเยว่เป็นจุดติดต่อสำหรับลัทธิจันทรา อีกทั้งเขายังรู้จักตัวตนที่แท้จริงของปรมาจารย์แห่งลัทธิอีกด้วย
แล้วเหตุใดเขาถึงจัดการเช่นนี้กัน ?
หากจะบอกว่าสิ่งที่บิดาอ้วนต้องการทำคือการกวาดล้างลัทธิจันทรา ฟู่เสี่ยวกวนมิมีทางเชื่อเป็นอันขาด
เพราะสิ่งที่บิดาอ้วนมุ่งหวังมีเพียงสิ่งเดียวคือ สมบัติราชวงศ์เฉิน !
หยูเวิ่นชูเอ่ยไว้ว่าคลังเก็บสมบัติของราชวงศ์เฉินมีเพียงแค่นักบุญสาวผู้เดียวที่รู้ตำแหน่งของมัน และมีเพียงแค่เช่อเหมินเท่านั้นที่มีกุญแจ ดังนั้นหากต้องการเปิดขุมทรัพย์ต้องค้นหาคนทั้งสองนี้ให้เจอจะขาดคนใดคนหนึ่งไปมิได้ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนที่มุทะลุอย่างเขาในการใช้ระเบิดและดินปืน
วัดฟูจื่อยังคงสมบูรณ์ดีมิได้รับความเสียหายแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่ามันมิได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดเลยสักนิด
เพียงชั่วพริบตาเดียวบิดาอ้วนผู้นั้นก็มีกุญแจแล้วหรือ…ฟู่เสี่ยวกวนเกือบจะยืนยันแล้วว่าบิดาอ้วนคือคนที่บุกเข้าไปปล้นสมบัติ เพียงแต่ยังนึกมิออกว่าคนผู้นั้นทำได้เยี่ยงไร
โดยเฉพาะบทกวีนั้น !
หากบิดาอ้วนเป็นผู้ที่สามารถข้ามผ่านเข้าไปได้ แต่เหตุใดหลังจากที่ซุยเยว่หมิงอ่านบทกวีนี้แล้วกลับมิมีปฏิกิริยาใด ?
จริงอยู่ที่ลายมือของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิมีทางเชื่อเป็นอันขาดว่าบิดาอ้วนจะเปลี่ยนแปลงลายมือของตนตั้งแต่ 21 ปีก่อน
หรือว่าในตอนนั้นมิได้มีเพียงบิดาอ้วนที่สามารถเข้าไปใต้ภูเขาลูกนั้นได้กัน ?