นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 708 เทศกาลไหว้พระจันทร์มาเยือน
ตอนที่ 708 เทศกาลไหว้พระจันทร์มาเยือน
ในราตรีนั้นบุรุษทั้งสี่ร่วมดื่มสุราด้วยกันจนดึกดื่น แต่มิมีผู้ใดดื่มจนเมามายแม้แต่คนเดียว
สุรามิได้ดื่มมากนัก ที่มากดูเหมือนจะเป็นบทสนทนาระหว่างกันเสียมากกว่า
หยูเวิ่นเทียนรับโหรวอี๋พระชายาและธิดานามหยูเสี่ยวเสี่ยวไปอยู่ที่จวนแม่ทัพด่านหว่าเฉียวประจำชายแดนตะวันออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชีวิตของเขาเพียบพร้อมแล้วทุกสิ่ง ไร้ความปรารถนาใด ๆ อีก มีอิสระเสรีทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ที่เขามาในวันนี้ก็ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนฟู่เสี่ยวกวนโดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้มอบชีวิตใหม่ให้แก่เขาและเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้ดูแลโหรวอี๋เป็นอย่างดี
สำหรับเขา ฟู่เสี่ยวกวนได้กลายเป็นสหายมาช้านานแล้ว และเป็นสหายอย่างแท้จริง หาใช่เพราะอำนาจบารมีที่ตนมี
ตอนนี้เขาได้ปล่อยวางจากการครอบครองบัลลังก์อย่างสิ้นเชิงแล้ว และคิดจะปกป้องรักษาประตูของเมืองนี้จวบจนสังขารจะร่วงโรย…
“หากข้าปลดประจำการแล้ว ข้าวางแผนจะเดินทางไปยังหมูบ้านที่เจ้าครอบครองอยู่เพื่อสร้างเรือนเล็ก ๆ สักหลังหนึ่ง ทำนาสักสองสามหมู่ ส่วนเสี่ยวเสี่ยวก็ให้ร่ำเรียนในสำนักศึกษาซีซานของเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา เมื่อถึงเวลาที่หยูเวิ่นเทียนปลดประจำการ ข้าคงย้ายไปยังราชวงศ์อู๋เนิ่นนานแล้ว
หนิงหยู่ชุนรู้ดีว่าท้ายที่สุดแล้วฟู่เสี่ยวกวนจะลงเอยเยี่ยงไร เขาจึงรู้สึกหดหู่ภายในใจขึ้นมา
จะว่าไปแล้วเขาอายุมากกว่าฟู่เสี่ยวกวนตั้งหลายปี แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองคนกลับทำตัวสบาย ๆ เหมือนพี่น้องที่สนิทสนมกัน
ธุระสำคัญที่ฟู่เสี่ยวกวนจะกระทำในว่อเฟิงเต้านั้น เขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมทุกอย่าง กระทั่งบางเรื่องฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ให้เขาไปจัดการเองโดยตรง
เขาเข้าใจความคิดของเจ้าหมอนี่ดี แต่ก็รู้สึกทำใจจากลามิได้จริง ๆ
เมื่ออีกฝ่ายหวนคืนสู่ผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋เมื่อใด ก็จะได้เป็นจักรพรรดิผู้เปรียบดั่งโอรสแห่งสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง !
เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่โอกาสพบพานก็คงมิมีอีกต่อไปแล้ว หรือต่อให้มีก็เกรงว่ามิอาจร่วมดื่มสุราได้อย่างสนิทชิดเชื้อดั่งในวันนี้
สีฉวินเหมยเองก็ได้เรียนรู้อันใดหลายอย่าง เขาเข้าใจว่าฟู่เสียวกวนให้ความสำคัญต่อกฎหมายนั้นมากเพียงใด และเข้าใจดีว่าการแบ่งกฎหมายให้มีรายละเอียดปลีกย่อยนั้นเป็นประโยชน์มากเพียงใด
เขารู้จักประมวลกฎหมายอาญาหยูเป็นอย่างดี และในวันเดียวกันนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เรียกคนที่เข้าใจกฎหมายมาร่วมมือกันชำระกฎหมาย แล้วแบ่งเป็นประมวลกฎหมายใหม่ที่มีสองส่วนด้วยกัน
ส่วนที่หนึ่งคือกฎหมายอาญา และส่วนที่สองคือกฎหมายแพ่ง ชื่อฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ทว่าสีฉวินเหมยรู้ดีว่ามันมิได้ง่ายดายเหมือนชื่ออย่างแน่นอน
“กฎหมายทั้งสองฉบับนี้ ฝ่าบาทอาจจะมิเห็นชอบให้บังคับใช้”
“ข้ารู้ ! แต่ทว่าทำต่อไปเถิด จงเชื่อว่าชื่อของท่านจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ! ”
สีฉวินเหมยมิเข้าใจในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยสักเท่าใดนัก ส่วนหนิงหยู่ชุนได้ตบบ่าเขาเบา ๆ และเอ่ยปลอบประโลม “พี่สี หากท่านต้องทำงานที่กรมราชทัณฑ์จนแก่เฒ่า ข้าคิดว่าท่านคงมิถูกจารึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เป็นแน่ ในเมื่อติ้งอันป๋อเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว กฎหมายสำคัญ 2 ฉบับนี้…ย่อมทำให้ท่านมีชื่อเสียงตราบชั่วนิรันดร์ได้อย่างแน่นอน ! ”
สีฉวินเหมยพยักหน้าตอบรับ เขามีความคิดเห็นแบบเรียบง่ายมาโดยตลอดและในที่สุดจึงมีความหวังขึ้นมา
……
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบห้า เดือนแปด เทศกาลไหว้พระจันทร์ได้เวียนมาบรรจบอีกครา
ฤดูใบไม้ร่วงที่เมืองว่อเฟิงมาถึงช้ากว่าเมืองจินหลิงเล็กน้อย
วันนี้ในยามเช้าตรู่ ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวอำลาหยูเวิ่นเทียน จากนั้นก็ได้เรียกหนิงหยู่ชุนไปยังที่ว่าการเขต
วันนี้มีการยื่นกำหนดการของโครงการตัดถนนอย่างเป็นทางการ สำนักงานเลขาธิการต้องร่างแผนงานแล้วส่งไปให้จวนผู้ว่าทั้งสามจวนโจว เพื่อให้พวกเขารวบรวมกำลังพลไปดำเนินการตามแผนงาน
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังวุ่นวายอยู่กับงาน จังชีเยวี่ยคุณหนูใหญ่ของหอเสียงไท่ก็ได้พาสาวใช้นามเสี่ยวชิวเข้ามาที่ด้านหลังของที่ว่าการเขต
นางมาเยือนที่นี่เป็นคราที่สองและได้ทำความรู้จักกับบรรดาคู่หมั้นของฟู่เสี่ยวกวนมากพอสมควรแล้ว
เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูจวน นางก็ได้ยินเสียงคนเล่นไพ่นกกระจอกเอะอะเสียงดังทันที… เดิมทีนางมิเคยรู้มาก่อนว่าไพ่นกกระจอกคือสิ่งใด แต่ตอนที่มาเยือนเมื่อคราที่แล้วนางก็ได้รู้จักกับมันและยังรู้แม้กระทั่งวิธีการเล่นมันอีกด้วย
คู่หมั้นทั้งสี่ของฟู่เสี่ยวกวนช่างมีวาสนาเสียเหลือเกิน !
จังชีเยวี่ยรู้สึกอิจฉาอย่างถึงที่สุด สตรีทั้งสี่ล้วนมีหน้าตาที่งดงาม เมื่อใดที่ติ้งอันป๋อออกไปธุระต่างถิ่น พวกนางก็จะมีโอกาสติดตามเขาไปด้วย… ราชวงศ์หยูนั้นเป็นถิ่นต้นกำเนิดแห่งปรัชญาขงจื้อ การให้สตรีเปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะเช่นนี้คือสิ่งมิเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่เขากลับมิแยแสเลยสักนิด
หากนางแต่งงานกับหวังฉาวเฟิง นางจะยังมีโอกาสควบคุมกิจการเช่นนี้อยู่หรือไม่ ?
นางได้แต่ส่ายศีรษะและหัวเราะเยาะตนเอง เมื่อเกี่ยวดองกับตระกูลหวังแล้ว นางก็จะเป็นสะใภ้แห่งจวนตระกูลหวัง เอ่ยไปแล้วชื่อนี้ช่างไพเราะเพราะพริ้งเสียเหลือเกิน แต่ทว่านางต้องสูญเสียอิสระ… นางยังต้องคลอดบุตรให้เขาและคงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการจัดการเรื่องภายในครอบครัวตระกูลหวัง นางจะต้องเป็นภรรยาที่ดีคอยอยู่เคียงข้างสามีและสั่งสอนบุตร แตกหน่อผลิใบให้กับตระกูลหวัง คงมิมีวันนั้น… วันที่นางจะได้หันมาเอาดีด้านการค้าขาย
“คุณหนูเจ้าคะ เสี่ยวชิวมิเข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูถึงยังยืนอยู่ในลานแห่งนี้โดยมิขยับไปที่ใด”
“อ่า…ไปกันเถิด”
การมาเยี่ยมเยียนคู่หมั้นของติ้งอันป๋อก็เพื่อตระกูลจังและตระกูลหวัง
ธนาคารซื่อทงสาขาเมืองว่อเฟิงได้เปิดทำการแล้ว ซือหม่าเทาและพรรคพวกได้ยื่นใบคำร้องขอตรวจสอบคุณสมบัติกับทางธนาคารซื่อทงเรียบร้อยแล้ว พวกเขาต่างก็ได้รับการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาก็ยังต้องการจดทะเบียนธุรกิจของตระกูลเข้าตลาดหลักทรัพย์ประจำสาขานี้ด้วยเช่นกัน… ขุนนางของกรมการค้าประจำเมืองว่อเฟิงได้ทำการอนุมัติแล้ว เพราะตลาดหุ้นที่เมืองจินหลิงและตลาดหุ้นที่เมืองว่อเฟิงมิได้ผูกขาดต่อกัน ดังนั้นจึงมิมีผลกระทบอันใด
ได้ยินบิดาเอ่ยให้ฟังว่าตอนนี้บรรดาพ่อค้าได้หลั่งไหลเข้ามาในเมืองว่อเฟิงมากกว่าหนึ่งพันรายเข้าไปแล้ว ครึ่งหนึ่งล้วนวางแผนจดทะเบียนหลักทรัพย์เพื่อขายหุ้นที่เมืองว่อเฟิง
เจ้าของกิจการจากราชวงศ์หยูมีความกล้าได้กล้าเสีย แม้ว่าชาวเมืองว่อเฟิงจะก้าวตามพวกเขาทันแล้ว แต่ทว่าลึก ๆ ภายในใจก็มิได้มีความกล้ามากพอ
หากจังชีเยวี่ยสามารถผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคู่หมั้นของติ้งอันป๋อทั้งสี่คนได้ พวกเขาจึงจะสามารถวางใจลงได้…ส่วนเรื่องการยอมรับการบริหารรูปแบบใหม่และแนวคิดใหม่นั้นถือว่ายังเร็วจนเกินไป
พวกเขายังมีความกังวลว่าจะถูกพวกขุนนางตลบหลังอยู่ พวกเขายังหยุดอยู่กับความคิดที่ว่าต้องมีเส้นสายคอยคุ้มภัยให้กับตนเองเสียก่อน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กีดกันการคบหาระหว่างจังชีเยวี่ยและคู่หมั้นทั้งสี่ เขายังสนับสนุนให้พวกนางคบค้าสมาคมกับบรรดาภรรยาของตระกูลการค้าเอาไว้ด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้รับฟังความทุกข์กังวลใจของพวกเขาเหล่านั้น
แต่ทว่าคู่หมั้นทั้งสี่มีเวลาไปพบปะกับภรรยาของพ่อค้าเสียที่ไหนเล่า เพราะพวกนางกำลังวุ่นอยู่กับการเล่นไพ่นกกระจอก !
ซูซูหยิบไพ่ขึ้นมา จากนั้นนางจึงโห่ร้องด้วยความดีอกดีใจ “ข้าชนะแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าส่งมาคนละ 2 ตำลึง ! ”
ในจังหวะนั้นจังชีเยวี่ยก็ได้เดินเข้ามาพอดี “พี่ซูซูช่างดวงดีมากยิ่งนัก ! ”
“ไอหยา… ชีเยวี่ยมาเยี่ยมหรือ เชิญนั่งก่อน…แต่ชงชาเอาเองนะ”
แม้ว่าจังชีเยวี่ยจะเคยพบกับพวกนางเพียงแค่หนึ่งครา แต่ทว่านางก็เข้าใจบุคลิกของสตรีทั้งสี่คนนี้เป็นอย่างดี…
ซูซูเป็นคนมิสนโลก หนานกงตงเซวี๋ยเงียบขรึมเหมือนสตรีที่ยึดมั่นในเรื่องของพรหมจารี สวี่ซินเหยียนสุขุมใจเย็น ส่วนจางเพ่ยเอ๋อร์เป็นคนไร้พิธีรีตรอง
นางเอ่ยกับสาวใช้เสี่ยวชิวว่า “เจ้าไปชงชามาห้าถ้วย ส่วนข้าจะดูพี่ซูซูเล่นไพ่”
หนานกงตงเซวี๋ยเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มให้กับนาง “จะดูเนื่องด้วยเหตุอันใดกันเล่า พอตานี้เล่นจบเมื่อใด เจ้าก็มาแทนที่ข้าเถิดเพราะถึงเวลาต้องไปคั้นน้ำผลไม้ดื่มแล้ว”
“ได้ ! หากท่านชนะ… ท่านเป็นพี่ แต่ถ้าแพ้ท่านต้องเป็นน้องสาว”
“ได้เสียที่ไหนกันเล่า…ชีเยวี่ย เจ้ามาเยือนครานี้มีธุระอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จังชีเยวี่ยลูบปอยผมข้างหูของตน “ก็มาเล่นไพ่นกกระจอกเยี่ยงไรล่ะเจ้าคะ ของแบบนี้ซื้อมาจากที่แห่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าอยากซื้อกลับไปเล่นที่จวนสักชุด”
“ที่นี่มิมีขายหรอก ข้านำมาจากเมืองจินหลิง…แต่มินานก็อาจจะมีขายที่เมืองว่อเฟิงด้วย เพราะพี่ชูหลานกล่าวไว้ในจดหมายว่าพวกเราควรซื้อร้านในเมืองว่อเฟิงไว้สักสองสามแห่งและของที่ขายก็ต้องเป็นสินค้าของตระกูลเรา”
จังชีเยวี่ยรู้สึกชอบใจจึงเอ่ยถามอย่างร่าเริงว่า “หากเป็นเรื่องซื้อร้านรวง ข้าสามารถนำทางพวกท่านไปได้ ตรอกที่เจริญที่สุดในเมืองว่อเฟิงมีชื่อว่าตรอกจิ่วหยู่ สถานที่แห่งนั้นมีร้านเรียงติดกันถึง 5 ร้าน แต่เดิมเป็นสมบัติของป่ากระบี่ แต่ทว่าตอนนี้ไร้ซึ่งเจ้าของแล้ว สามารถไปจองไว้ก่อนได้”
เมื่อทั้งสี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่านี่ต่างหากคือเรื่องที่สมควรทำ
พวกนางเลิกเล่นไพ่ในทันใด จางเพ่ยเอ๋อร์เอ่ยว่า “พวกเราไปดูกันตอนนี้เลยดีหรือไม่ ? ”