นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 717 ตะลึงทั้งเมืองว่อเฟิง
ตอนที่ 717 ตะลึงทั้งเมืองว่อเฟิง
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนยกสองเรื่องใหญ่นี้ขึ้นมาเอ่ย ย่อมทำให้หนิงหยู่ชุนเกิดความรู้ใหม่ ๆ ขึ้นมา
มิว่าจะเป็นการสร้างถนนหรือขุดลอกแม่น้ำเพื่อเดินเรือขนส่งสินค้า ล้วนทำขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาการกระจายสินค้าทั้งสิ้น… คำว่ากระจายสินค้าเป็นคำที่ฟู่เสี่ยวกวนประดิษฐ์ขึ้นมา และหนิงหยู่ชุนเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่ามันเป็นคำที่เห็นภาพได้ง่าย
การสร้างถนนที่ว่อเฟิงเต้าหากถนนเชื่อมเข้าหากันอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้ง 220 อำเภอของว่อเฟิงเต้าจะเชื่อมต่อกันด้วยถนนปูน
นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี
การขุดแม่น้ำมีจุดประสงค์เพื่อให้ขนส่งสินค้าได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นซึ่งย่อมเป็นเรื่องที่ดีมากเช่นกัน
แต่ทว่าเรื่องของการสร้างถนนและการขุดแม่น้ำจะเป็นไปได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
หนิงหยู่ชุนรู้สึกเหลือเชื่อเพราะการที่จะทำให้แม่น้ำสายเล็ก ๆ กลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ใช้ในการขนส่งนั้น ตลอดพันปีที่ผ่านมามิเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในแคว้นใดมาก่อน
แต่เจ้าฟู่เสี่ยวกวนกลับยืนยันหนักแน่นว่าเหยียนซีไป๋ได้เชิญช่างมาจากกรมโยธาธิการและได้เริ่มการสำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ค่าดำเนินการมากมายถึงเพียงนั้นจะเอาเงินมาจากที่ใดเล่า ?
“เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง เหยียนซีไป๋ก่อตั้งบริษัทขนส่งขึ้นที่จังหวัดชิงโจวซึ่งมีชื่อเรียกว่าบริษัทขนส่งทางเรือชิงโจวและได้เข้าร่วมจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์กับทางธนาคารซื่อทงเรียบร้อยแล้วด้วย หุ้นที่ประกาศขายกลุ่มแรกอยู่ที่ 20 ล้านหุ้น จนถึงตอนนี้ได้ประกาศขายไปแล้ว 5 วัน แต่ก็สามารถขายได้เพียง 3 ล้านหุ้นเท่านั้น…”
“ข้าสั่งให้เขาเดินทางกลับไปยังเมืองจินหลิงเพื่อประกาศขายหุ้นที่นั่นอีก 40 ล้านหุ้น เฮ้อ…เรื่องพรรค์นี้ เห็นทีข้าต้องออกโรงแทนเสียแล้ว”
ในขณะนั้นเองหยุนซีเหยียนก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างเริงร่า สองมือของเขาถือหนังสือราชการเอาไว้ หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนพร้อมด้วยสีหน้าเบิกบานอย่างถึงที่สุด “ติ้งอันป๋อ การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงตลอดสามวันที่อำเภอซิ่วสุ่ยเสร็จสิ้นแล้ว และนี่คือรายงานที่ติงเซวียนนายอำเภอซิ่วสุ่ยส่งมาขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาเปิดดู ที่อำเภอซิ่วสุ่ยนั้นปลูกฟู่ซานต้ายไว้ 20,000 หมู่ และปริมาณที่เก็บเกี่ยวต่อหมู่ได้สูงสุดอยู่ที่ 820 ชั่ง ต่ำสุดอยู่ที่ 720 ชั่ง ดังนั้นหากนำมาเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 770 ชั่งต่อหมู่ !
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างมากจึงตบหนังสือราชการในมือไปมา จากนั้นก็หันมาเอ่ยกับหนิงหยู่ชุนว่า “เจ้าดูเถิด เจ้าจงดูสิ่งนี้เถิด หากว่าพวกเราแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำได้แล้ว ทั้งจังหวัดว่อโจวก็จะสามารถปลูกข้าวพันธุ์ฟู่ซานต้ายได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าที่จังหวัดว่อโจวจะสามารถเก็บเกี่ยวได้มากถึงเพียงใดกัน ? ”
“หยุนซีเหยียน เจ้าจงนำข่าวการเกี่ยวข้าวที่อำเภอซิ่วสุ่ยนี้ ทำเป็นรายงานข่าวดีแล้วส่งไปให้ทุกอำเภอเพื่อให้ราษฎรทั้งว่อเฟิงเต้ารับรู้โดยทั่วกัน ! ”
“รับทราบขอรับ ! ”
หยุนซีเหยียนวิ่งจนฝุ่นตลบออกไปด้วยความดีใจ แต่ทว่าหนิงหยู่ชุนกำลังอ่านรายงานฉบับนี้ราวกับต้องมนตร์…
แปลงนาอันอุดมสมบูรณ์ในจังหวัดว่อโจวมีมากถึง 36 ล้านหมู่เชียว !
หากว่าที่นาอันอุดมสมบูรณ์เหล่านี้สามารถปลูกข้าวพันธุ์ฟู่ซานต้ายได้ และหากผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 770 ชั่งต่อหมู่ เช่นนี้ว่อโจวจะสามารถผลิตข้าวได้มากมายมหาศาลถึงเพียงใดกัน ?
จะเก็บเกี่ยวได้มากถึง 27,000 ล้านชั่ง !
ราคาข้าวเปลือก 12 อีแปะต่อหนึ่งชั่ง…ดังนั้นจะสามารถขายได้ทั้งหมดสามร้อยกว่าล้านตำลึง !
หรือต่อให้ปันส่วนเพื่อความเป็นอยู่ของราษฎรในอัตราส่วนหนึ่งต่อสามก็ตาม แต่นั่นก็ยังสามารถขายได้มากถึง 200 ล้านตำลึงเชียว !
และต้องจ่ายเป็นภาษีให้กับหน่วยงานราชการในว่อเฟิงเต้าเป็นอัตราส่วนสองในสิบ รวมภาษีทั้งสิ้นอยู่ที่ 40 ล้าน…นี่เป็นเพียงภาษีที่นาเท่านั้น เพราะยังมีภาษีที่ดินอีกต่างหาก !
ภาษีที่ราชวงศ์หยูเก็บได้ในแต่ละปีมิเกิน 20 ล้านตำลึง แต่นี่เพียงแค่จำนวนภาษีข้าวของจังหวัดว่อโจวก็เกินจำนวนภาษีที่เรียกเก็บได้จากทั้งสิบสามมณฑลกว่าสองเท่าแล้ว !
เมื่อลองคำนวณดูแล้ว หนิงหยู่ชุนก็ยิ่งตกตะลึงมากยิ่งขึ้น มิได้การ ! ต้องสร้างอ่างเก็บน้ำให้กระจายไปทั้งจังหวัดว่อโจว ร่องทดน้ำและร่องระบายน้ำก็ต้องสร้างด้วยเช่นกัน !
ข้าต้องก่อตั้งบริษัทสักหนึ่งแห่งที่จังหวัดว่อโจว !
จะตั้งชื่อว่าเยี่ยงไรดี ?
ฟู่เสี่ยวกวนตั้งชื่อให้อุตสาหกรรมที่ซีซานว่ากลุ่มการค้าซีซานมิใช่หรือ ?
ถ้าเช่นนั้นแล้ว… ใช้ชื่อว่ากลุ่มค้าข้าวแห่งว่อโจวก็แล้วกัน !
ชื่อนี้ฟังดูแล้วหรูหรามิน้อย !
ฟังดูดีกว่าบริษัทขนส่งทางเรือชิงโจวเป็นไหน ๆ !
เมื่อคิดได้ดังนั้นหนิงหยู่ชุนก็เริ่มนั่งมิติดแล้ว เขาแผดเสียงคำรามลั่นเพื่อเรียกลูกน้อง “มานี่เร็วเข้า… ! ”
……
……
ณ เมืองว่อเฟิง
บริเวณสำนักงานราชการต่าง ๆ ที่ว่อเฟิงเต้าได้ติดประกาศข่าวดีเต็มไปหมด
ชาวเมืองว่อเฟิงย่อมชื่นชอบความครึกครื้นนี้เป็นธรรมดา คิดเอาเองว่าเต้าถายคนใหม่มาถึงว่อเฟิงเต้าได้ 2 เดือนคงอยากประกาศผลงานด้านการบริหารบ้านเมืองให้ชาวเมืองได้รับทราบเสียหน่อย
แต่ทว่าเมื่อทุกคนได้ไปมุงดูประกาศข่าวดีนั้นก็ตกตะลึงงันตามกันไปเป็นแถบ…
เป็นปริมาณข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ในอำเภอซิ่วสุ่ยเยี่ยงนั้นหรือ
ว่าเยี่ยงไรนะ ?
ที่อำเภอซิ่วสุ่ยเกี่ยวข้าวต่อที่นา 1 หมู่ได้สูงสุดถึง 820 ชั่งเชียวหรือ ?
และต่ำสุดอยู่ที่ 720 ชั่งใช่หรือไม่ ?
เต้าถายท่านนี้ยังมีสติครบถ้วนอยู่หรือไม่ ?
ยังกล้าบอกอีกว่าเฉลี่ยแล้วเก็บเกี่ยวได้ 770 ชั่งต่อที่นา 1 หมู่…
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันคุยโวจนได้หน้าอย่างแท้จริง ! ”
“บรรพบุรุษของข้าล้วนเป็นชาวนาทั้งสิ้น ที่ผ่านมาสามารถเก็บเกี่ยวได้ 280 ชั่งก็ถึงกับต้องจุดธูปขอบคุณสรวงสวรรค์แล้ว ฮึ ! 820 ชั่ง… อย่าว่าแต่ 820 ชั่งเลย เพียงแค่ 400 ชั่ง ข้าก็ยอมไปปรนนิบัตินาแปลงนั้นแล้ว”
“ชายหนุ่มเหล่านี้คงอยากให้ตนเฉิดฉายจึงได้แพร่ข่าวแบบนี้ออกมา ผู้ใดต่างก็รู้ว่าที่นาในว่อเฟิงเต้าสามารถเก็บเกี่ยวได้มากที่สุดแค่ 300 ชั่งต่อ 1 หมู่เท่านั้น นี่ก็คุยโวจนเกินไป โอ้อวดจนข้ารู้สึกละอายแทน ! ”
หลายคนส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจยาว รู้สึกว่าเต้าถายผู้นี้ช่างเหลวไหลเสียเหลือเกิน
คิดไปคิดมาก็สมเหตุสมผลอยู่ เนื่องจากติ้งอันป๋อเพิ่งจะอายุ 18 ปี เขาย่อมคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีชีวิตอย่างหรูหราแล้วจะเข้าใจเรื่องการทำนาได้เยี่ยงไร ?
ในขณะที่หลายคนกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดอยู่นั่นเอง ในกลุ่มนั้นก็ได้มีอีกเสียงที่เห็นต่างออกไป
“จะว่าพวกเจ้าล้วนเป็นกบในกะลาก็เกรงว่าจะเป็นการดูแคลนกบจนเกินไป ข้าเพิ่งกลับมาจากซิ่วสุ่ยเมื่อวาน พวกเจ้าคงคาดมิถึงว่าการเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกที่อำเภอซิ่วสุ่ยเป็นเยี่ยงไร ! ”
“เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“นายอำเภอติงได้ประกาศรวมชาวซิ่วสุ่ยที่ลานด้านหน้าที่ว่าการ เพื่อเป็นสักขีพยานต่อความอัศจรรย์ในครานี้…”
เขาเงียบลงชั่วครู่ ฝูงชนกลุ่มใหญ่ได้เข้ามาห้อมล้อมเขาเอาไว้เพื่อรอฟังเรื่องราวต่อจากนี้
“พวกเจ้ารู้จักเฉินจี้และหลินจี้สองตระกูลค้าข้าวรายใหญ่ของเมืองว่อเฟิงหรือไม่ ? ในยามที่พวกเจ้ามายืนหัวเราะเยาะติ้งอันป๋ออยู่ที่นี่ สองพ่อค้าข้าวรายใหญ่ได้ไปที่อำเภอซิ่วสุ่ยตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ! ”
“นายอำเภอติงได้ชั่งน้ำหนักข้าวเปลือกต่อหน้าทุกคน เจ้ายังคิดว่าตัวเลขนี้เป็นของปลอมอยู่อีกหรือไม่ ? ”
ต่อให้ตัวเลขนี้เป็นของปลอม แต่ทว่าสีหน้าที่มีความสุขของเหล่าชาวนาพวกนั้นสามารถปลอมแปลงได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
หรือต่อให้ชาวนาเสแสร้ง แต่พ่อค้าตระกูลเฉินจี้และหลินจี้ซึ่งค้าข้าวมาตลอดชีวิตจะตาบอดไปกับพวกเขาด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาไว้เลยว่า… ผู้อาวุโสจากเฉินจี้และหลินจี้ได้กว้านซื้อข้าวเปลือกมาทั้งหมดแล้ว อีกทั้งยังลงนามในสัญญาร่วมมือทางการค้ากับนายอำเภอติงเป็นเวลา 3 ปี ! ”
“ครานี้พวกเจ้าเข้าใจแจ่มชัดแล้วหรือยัง ? มนุษย์นี้หนอ ตอนที่พวกเจ้ากำลังเอ่ยวาจาถากถางผู้อื่นอยู่นั้น มีคนเข้าไปคว้าโอกาสนี้มาก่อนแล้ว พวกเขากลายเป็นคนร่ำรวย แต่ทว่าพวกเจ้านั้น…”
บุรุษผู้นี้กวาดตามองผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยสายตาดูแคลน จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไป ก่อนไปเขายังได้ทิ้งท้ายไว้อีกหนึ่งประโยคว่า “พวกเจ้าก็ทำได้เพียงแค่มองดูผู้อื่นประสบความสำเร็จเท่านั้น ! ”
ฝูงชนต่างก็หันมามองหน้ากัน… “หรือว่านี่จะเป็นเรื่องจริง ? ”
“เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริงเข้าเสียแล้ว เพราะเมื่อวานคาราวานสินค้าของญาติข้าได้เดินทางกลับมาจากอำเภอซิ่วสุ่ย เขาเล่าว่าจำนวนข้าวเปลือกที่อำเภอซิ่วสุ่ยนั้นกองรวมกันมหาศาล ตอนนั้นข้าแทบมิเชื่อเลยด้วยซ้ำ”
“สรุปว่าสองพ่อค้าข้าวรายใหญ่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายกับนายอำเภอซิ่วสุ่ยเป็นเวลา 3 ปีจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ลงนามหรือไม่นั้นมิสำคัญหรอก แต่ทว่าปริมาณข้าวเปลือกจำนวนมหาศาลนี้ย่อมมิผิดเป็นแน่ ! ”
คำวิจารณ์ที่ชาวเมืองว่อเฟิงมีต่อรายงานข่าวดีฉบับนี้ กลับพลิกผันไปจนน่าตกใจ
ติ้งอันป๋อมิได้โอ้อวดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย !
ฟู่ซานต้าน ให้ผลผลิตมหาศาลอย่างแท้จริง !
ทุกคนในเมืองว่อเฟิงต่างก็ตกตะลึงงัน ติ้งอันป๋อเป็นคนแรกที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การทำนาในรอบหนึ่งพันปี !