นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 751 กราบไหว้
ตอนที่ 751 กราบไหว้
พิธีหมั้นหมายของฟู่เสี่ยวกวนและจางเพ่ยเอ๋อร์ดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ
เขามิได้ส่งเทียบเชิญแม้แต่ใบเดียว เพียงแค่รุ่งสางของเช้าวันที่สอง เขาก็ได้พาหยูเวิ่นเต้าและคนอื่น ๆ เดินทางไปยังเรือนตระกูลจาง
เขาส่งของขวัญให้ตระกูลจางและพำนักอยู่ที่นั่นตลอดทั้งช่วงเช้าจนถึงยามอู่
พอถึงยามเว่ย เขาจึงพาจางเพ่ยเอ๋อร์ออกเดินทางต่อ
จางจือเช่อราวกับตกอยู่ในความฝัน
คำว่าฮูหยินรองจางยังคงติดอยู่ในภวังค์เนิ่นนาน…
องค์ชายห้าแห่งราชวงศ์หยูได้มาเป็นสักขีพยานว่าติ้งอันป๋อได้หมั้นหมายบุตรสาวของตนถึงเรือน นี่คือเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสำหรับพวกเขา
แต่ทว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง !
บุตรียังมีชีวิตอยู่ส่วนคุณชายฟู่ก็ตัวจริงเสียงจริง รูปลักษณ์ของคุณชายมิได้แตกต่างไปจากรูปลักษณ์ที่หลินเจียงเมื่อสองปีก่อนเลยสักนิด
ดังนั้นนี่จึงถือเป็นพรอันประเสริฐที่บุตรีได้บำเพ็ญมา
น่าเสียดายที่บุตรชายจางเหวินฮั่นจะมาถึงในอีกสองสามวันข้างหน้า มิเช่นนั้นด้วยการช่วยเหลือของลูกเขยผู้นี้ การที่จะทำให้บุตรชายขึ้นเป็นจือโจวในว่อเฟิงเต้าคงมิใช่เรื่องยาก
“เจ้าอย่าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอันขาด ! ” ในยามนั้นเองจางจือเช่อจึงละเลียดชาเพื่อบรรเทาอาการตื่นตระหนกของตน “ลูกเขยมิได้เชิญผู้ใดในหลินเจียงมาเลยแม้แต่คนเดียว แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาต้องการจัดงานอย่างเรียบเงียบ แต่ลูกเขยกลับพาองค์ชายห้ามาเป็นสักขีพยานก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาให้ความสำคัญต่อเพ่ยเอ๋อร์มาก”
จางจือเช่อชะงัก จากนั้นก็จ้องมองไปทางภรรยาพร้อมเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ตระกูลของเราคือตระกูลพ่อค้าผ้า เหวินฮั่นสามารถขึ้นเป็นนายอำเภอได้ก็ถือว่ามิเลวแล้ว หากโลภเกินไปก็จะมิได้อันใดเลย ! ”
จางชื่อเม้มปากและบิดเอวที่แข็งทื่อของนาง “ข้าเพียงกล่าวไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น…แต่เรื่องนี้สำหรับลูกเขยแล้ว เขาเพียงแค่เอ่ยประโยคเดียวก็สำเร็จแล้วมิใช่หรือ ? ”
“สตรีช่างคิดตื้นเขินนัก ! ”
จางจือเช่อตำหนิไปหนึ่งคำ เขายกถ้วยชาขึ้นมา ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เขา… เกรงว่าเขาจะกลับไปยังราชวงศ์อู๋”
ดวงตาของจางชื่อเป็นประกายขึ้นมาทันใด “หรือว่าเพ่ยเอ๋อร์จะได้เป็นพระสนมกัน ? ”
นางโน้มกายลงมาจิ้มไหล่จางจือเช่อเพื่อเป็นการหยอกเย้า ดวงตากลอกไปมา “ท่านว่า… หากเขาเป็นจักรพรรดิ ตระกูลของเราก็จะเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยใช่หรือไม่ ? ได้ยินมาว่าอนุเหล่านั้นของตระกูลฟู่ล้วนไปที่โม่โจวแห่งราชวงศ์อู๋แล้ว เช่นนั้นพวกเราย้ายไปอยู่ที่ราชวงศ์อู๋ดีหรือไม่ ? มีบุตรเขยเป็นจักรพรรดิคอยคุ้มครอง แบบนี้กิจการของตระกูลจางก็จะใหญ่ขึ้นมิใช่หรือ ? ”
ครานี้จางจือเช่อมิได้ตำหนิจางชื่อ เขาวางถ้วยชาลงแล้วยืนขึ้น สายตาเหม่อมองไปยังหิมะด้านนอกหน้าต่างโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมาเลยสักคำ
……
……
บนเนินเขาด้านหลังของตรอกซีชุ่ย
สถานที่แห่งนี้หนาวเหน็บและรกร้าง มิต้องเอ่ยถึงร่องรอยของผู้คนเลย เนื่องจากเป็นวันที่หิมะตกหนัก แม้แต่นกสักตัวก็ยังมิมี
แต่ทว่าในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและคณะเดินทางมาพร้อมกับของเซ่นไหว้ จนมาถึงหลุมศพของสวี่หยุนชิง ก็มีเหตุให้เขาต้องขมวดคิ้วขึ้นทันพลัน…
มีเทียนหนึ่งเล่มถูกจุดอยู่หน้าหลุมฝังศพ ความอุ่นของเงินกระดาษบนพื้นยังมิจางหาย บนหิมะด้านหน้าหลุมฝังศพมีรอยเท้าคู่หนึ่งปรากฏชัดเจน แม้แต่ด้านบนของป้ายหลุมฝังศพนี้ก็มีรอยมือประดับไว้หนึ่งข้าง !
คนในจวนฟู่เดินทางจากไปทั้งหมดแล้ว ยังมีผู้ใดมากราบไหว้สวี่หยุนชิงอยู่อีกกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองรอบด้านก็มิเห็นแม้แต่เงาคน และมิพบเห็นรอยเท้าบนเส้นทางที่ผ่านมาอีกด้วย… ธูปเพิ่งจะไหม้ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แสดงว่าคนผู้นี้เพิ่งมาและเพิ่งไปได้มินานเช่นกัน แล้วเป็นผู้ใดกัน ?
“ตระกูลของเราที่หลินเจียงยังมีญาติอยู่อีกหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม ส่วนจางเพ่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา “ในอดีตบิดาข้าเคยเล่าว่า ฟู่…ท่านพ่อสามีย้ายครอบครัวมาจากจินหลิง ตั้งรกรากถิ่นฐานและซื้อที่นาในหลินเจียงจนกลายเป็นเศรษฐีที่ดินใหญ่ในหลินเจียง”
ดังนั้นพื้นเพของชายอ้วนย่อมมิมีญาติจากที่นี่ !
ครอบครัวของมารดาก็อยู่ที่จินหลิง หรือว่าท่านลุงผู้นั้นจะวิ่งแร่มาไกลแสนไกลเพื่อปักธูปเพียงดอกเดียวกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงยอมปล่อยวางปัญหาที่คิดมิตกนี้ไปเสีย
ฟู่เสี่ยวกวน จางเพ่ยเอ๋อร์ และสวี่ซินเหยียนวางเครื่องเซ่นไหว้ลง จากนั้นทั้งสามก็หยิบธูปขึ้นมาจุด ก้มคำนับสามคราและจุดไฟเผากองกระดาษทองหนึ่งกอง
กระดาษทองถูกแผดเผาท่ามกลางลมหิมะ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยกับตนเองไปด้วยในขณะที่โยนกระดาษเข้ากองไฟ
‘ท่านแม่ ลูกได้เติบใหญ่และในวันนี้ก็มีครอบครัวแล้ว มี… ภรรยา 9 คนและมีบุตรอีก 4 คน…’
‘ลูกได้ไปราชวงศ์อู๋เมื่อปีที่แล้วจึงได้ทราบว่าบิดาอ้วนผู้นั้นมิใช่บิดาแท้ ๆ เพิ่งได้ทราบว่าจักรพรรดิเหวินต่างหากที่เป็นบิดาของลูก’
‘เรื่องของท่านแม่ค่อนข้างซับซ้อนและน่าเสียดายที่ท่านมาด่วนจากไปเสียก่อน ที่น่าเสียใจมิแพ้กันก็คือ… เสด็จพ่อก็จากไปเร็วเช่นกัน… เขาถูกหิมะถล่มฝังกลบที่ภูเขาและได้ยินว่าถูกฝังไว้ที่สุสานจักรพรรดิ’
‘ในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่อยู่เมืองกวนหยุน ลูกและเสด็จพ่อได้สนทนากันเพียงมิกี่วันเท่านั้น เขากล่าวว่าต้องการย้ายศพของท่านไปฝังยังสุสานจักรพรรดิ ดูเหมือนว่าเขารักท่านมากจริง ๆ ประเดี๋ยวพอลูกกลับไปยังราชวงศ์อู๋แล้วจะฝังพวกท่านให้ได้อยู่ด้วยกัน’
‘สุดท้ายแล้วระยะห่างระหว่างหลินเจียงกับราชวงศ์อู๋ค่อนข้างห่างไกลอย่างแท้จริง ขนาดอยู่ที่จินหลิงจะมากราบไหว้ท่านสักครายังเป็นเรื่องยาก ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงยามอยู่ที่ราชวงศ์อู๋เลย’
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโยนเงินกระดาษมัดสุดท้ายในมือลงไปในกองไฟ
‘ถึงเยี่ยงไรร่างกายของลูกก็เป็นท่านที่มอบให้ การแสดงความกตัญญูเป็นสิ่งที่พึงกระทำ สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลและโดดเดี่ยวจนเกินไป ลูกจึงมิทราบว่าท่านชอบความครึกครื้นหรือไม่… แต่ขอเดาว่าท่านน่าจะชอบความเงียบสงบเสียมากกว่า’
‘ในสุสานจักรพรรดินั้นเงียบสงบมากยิ่งนัก เมื่อถึงเวลาลูกจะเผาไพ่นกกระจอกพร้อมคู่มือไปให้ท่านด้วย ยามว่างก็เล่นไพ่นกกระจอกฆ่าเวลาก็แล้วกัน’
‘ความจริงลูกมีอีกหลายเรื่องที่อยากเอ่ยกับท่าน’ ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนแล้วปัดหิมะที่ปกคลุมแผ่นป้ายหน้าหลุมศพออกช้า ๆ
‘น่าเสียดายที่ท่านมิได้ยินแล้ว… ลูกจึงทำได้เพียงจดจำเอาไว้ในใจ แต่ทว่ามีบทกวีที่อยากมอบไว้ให้ท่านสักบท ลูกจะสลักไว้ที่ด้านหลังของป้ายหลุมศพนี้ท่านจะได้มองเห็นอย่างแจ่มชัด’
ฟู่เสี่ยวกวนดึงมีดสั้นออกมา เมื่อย้ายมาด้านหลังของป้ายหลุมศพก็ทำการแกะสลักบทกวีลงไปช้า ๆ บทกวีนี้คือ…อำลาเคมบริดจ์ !
ในระหว่างที่แกะสลักเขาก็เอ่ยไปด้วยว่า “มาคิดดูแล้วท่านคงเคยเห็นบทกวีนี้มาก่อน เพียงแค่ชายอ้วนมิยอมรับ ตัวลูกเองก็หมดหนทาง ทว่าเยี่ยงไรก็มิสำคัญอีกต่อไปแล้ว…”
“ชายอ้วนดีกับลูกมากยิ่งนัก ถึงแม้เขาจะมีศักดิ์เป็นท่านลุง แต่ลูกก็ยังคงปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นบิดา”
“ตรงกันข้ามกับเสด็จพ่อผู้นั้น… พอมาคิดดูแล้วเขาก็ดีกับลูกมากเช่นกัน น่าเสียดายที่ด่วนจากไป มิเช่นนั้น…คาดว่าลูกคงเข้ากันได้ดีกับเขามากยิ่งนัก”
“สองปีที่ผ่านมานี้ สำหรับลูกถือว่ามิเลว ได้เดินไปบนเส้นทางที่คดเคี้ยวเล็กน้อย… แต่ทว่าก็ได้เข้าใจเหตุผลบางอย่างขึ้นมา ดังนั้นต่อจากนี้ลูกรู้แล้วว่าควรจะทำอันใดต่อไป”
“ความจริงลูกหวังให้คำจารึกบนป้ายหลุมฝังศพนี้เป็นจริง เด็กสาวดื้อดึงผู้หนึ่งเพียงเพื่อไล่ตามรักแท้ก็ได้ปีนข้ามกำแพงในค่ำคืนหิมะตกแล้วหนีตามชายที่ตนรักไป…”
“คุณที่เป็นเช่นนี้ทำให้ผมชื่นชมยิ่งขึ้นไปอีก แต่ทว่าในความเป็นจริงค่อนข้างน่าเศร้า… แท้จริงละครบทนั้นก็มีไว้เพื่อหลอกลวงผู้คน เรื่องราวของเจ้าชายและซินเดอเรลล่าก็เป็นเพียงเรื่องหลอกลวงเท่านั้น…”
ในยามที่ปลายมีดสั้นของฟู่เสี่ยวกวนสลักอักขระตัวสุดท้ายบนศิลาเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองดูอย่างถี่ถ้วน อืม… ตัวอักษรค่อนข้างน่าเกลียด
“แท้จริงแล้วนี่ต่างหากคือชีวิต เมื่อเกิดมาก็ต้องดำรงชีวิตต่อไป ลูกคิดถึงท่านมากยิ่งนัก บุตรที่ไร้มารดาก็เปรียบเสมือนกับต้นหญ้า ดังนั้นลูกจึงรู้สึกว่าเสด็จพ่อผู้นั้นมิได้มีความเมตตาเลยสักนิด”
“ท่านสบายใจเถิด ลูกจะคุ้มครองเหล่าสตรีของลูกให้ดี จะมิให้พวกนางประสบเหตุเฉกเช่นท่านที่ต้องจบลงอย่างไร้นามเช่นนี้ ! ”
“ลูกต้องไปแล้ว…ไว้พบกันใหม่ ! ”
จากนั้นเขาจึงพาคณะเดินทางจากไปทั้งอย่างนั้น
ผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูปก็ได้ปรากฏคนผู้หนึ่งลอยลงมาจากยอดเขาทางด้านหลัง
เป็นชายชราผู้หนึ่งที่กำลังจดจ้องบทกวีหลังป้ายหลุมศพอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นน้ำตาก็รินไหลออกมาเป็นทางยาว
ชายชราผู้นี้คือ ฉ้ายซี อดีตหลงจู๊ของหยูฝูจี้และเป็นอดีตบ่าวรับใช้ของสวี่หยุนชิง