นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 764 เดินหมาก ( จบ )
ตอนที่ 764 เดินหมาก ( จบ )
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด เดือนหนึ่ง วันที่สิบ ยามอิ๋น
หิมะเริ่มตกลงมาอีกคราและเมืองจินหลิงที่กว้างใหญ่ไพศาลยังมิตื่นจากการหลับไหล ทว่าบัดนี้ในจวนติ้งอันป๋อได้ปรากฏรถม้าคันหนึ่งแล่นลิ่วออกไปอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หนิงสือเหยียนที่แต่งกายเป็นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาสวี่ซินเหยียน ซูซู และจางเพ่ยเอ๋อร์ขึ้นไปบนรถม้า 2 คันแล้วเดินทางออกไปจากประตูด้านทิศเหนือของเมืองจินหลิง
ในวันนี้ฮ่องเต้มิได้เรียกประชุมใหญ่ราชวงศ์ในยามเช้า หลังจากได้รับรายงานว่าฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปยังทิศเหนือของจินหลิงในยามเหม่า ก็ได้รีบดำเนินไปยังห้องทรงพระอักษรและประทับอยู่หน้าแผนที่ใหญ่โตนั้นทันที
ขณะเดียวกันก็ได้รับรายงานอีกหนึ่งฉบับว่าเขตป้องกันทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราชวงศ์อู๋มีทหารราว 200,000 นายกำลังมุ่งหน้ามาทางด่านฉีหวินซึ่งเขตติดต่อระหว่างราชวงศ์อู๋กับแคว้นอี๋ และทหารของเขตป้องกันทิศเหนือแห่งราชวงศ์อู๋จำนวน 100,000 นายก็กำลังเคลื่อนพลไปยังเมืองจิ่นกวน…เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก
ด้านฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะมีความเคลื่อนไหว แต่ทว่าราชวงศ์อู๋ได้เคลื่อนไหวขึ้นก่อนแล้ว เนื่องจากผลการรายงานที่ล่าช้า ฮ่องเต้จึงคิดว่ากองทัพทหารทั้งสองของราชวงศ์อู๋ได้เดินทางไปถึงจุดหมายเรียบร้อยแล้วในยามนี้
ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่จะโจมตีชาวฮวงเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ทหารแห่งราชวงศ์อู๋เดินทางจากเมืองจิ่นกวนไปยังทางเดินฉีซานนี้ ฮ่องเต้ยังพอเข้าพระทัยได้ว่าพวกเขาเพียงต้องการวางมาดให้พระองค์เห็นเท่านั้น
แต่การที่ราชวงศ์อู๋ส่งทหารจำนวน 200,000 นายไปทางชายแดนแคว้นอี๋ พวกเขาต้องการทำอันใดกันแน่ ?
หรือว่าอู่ต้าหลางคันไม้คันมือจึงถือโอกาสที่ข้าจะเริ่มทำสงครามกับชาวฮวงนี้ ไปลอบกัดแคว้นอี๋ด้วยเช่นกัน ?
เมื่อครุ่นคิดถึงคำเอ่ยที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้…ฮ่องเต้ก็ต้องสูดหายใจเข้าลึก หมายความว่าราชวงศ์อู๋กำลังจะเข้าบุกรุกแคว้นอี๋อย่างแน่นอน !
สายพระเนตรตรึงแน่นอยู่บริเวณด่านฉีหวิน หากราชวงศ์อู๋เข้ายึดครองแคว้นอี๋จริง พวกเขาก็จะสามารถทำความฝันในการยึดครองแคว้นฮวงได้ด้วย !
ดังนั้นประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยไว้ในอดีตว่า หากราชวงศ์หยูมิต้องการแคว้นฮวงก็จะยกให้ราชวงศ์อู๋แทน นี่ย่อมมิใช่เรื่องล้อเล่น อีกทั้งยังเป็นไปได้สูงที่จะประสบผลสำเร็จ
“ผู้ใดอยู่ด้านนอกรีบเข้ามา… จงไปเรียกอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน เสนาบดีต่ง ฉินฮุ่ยจืออีกทั้งเสนาบดีกรมกลาโหมเยี่ยนฮ่าวชูมาประชุมราชการที่ห้องทรงพระอักษรประเดี๋ยวนี้ ! ”
ทว่ายังมีรายงานที่ฮ่องเต้ยังมิได้รับก็คือ…
เดือนหนึ่ง วันที่สิบ ทหารดาบเทวะกองทัพที่สอง โดยการนำของไป๋ยู่เหลียนได้จัดเตรียมอาวุธพร้อมเสร็จสรรพแล้วออกเดินทางจากภูเขาฟางโต้วมุ่งหน้าไปทางด่านฉีหวินที่อยู่ระหว่างราชวงศ์อู๋และแคว้นอี๋
……
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด เดือนหนึ่ง วันที่สิบสอง ยามเซิน
ฟู่เสี่ยวกวนและเป่ยหวังฉวนเดินทางมาถึงสำนักเต๋า
“ข้าก็คือฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงไรเล่า ! ”
เมื่อเห็นซูม่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้าแสดงท่าทีเหลือเชื่อออกมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกพึงพอใจในฝีมือการอำพรางใบหน้าของสวี่ซินเหยียนมากยิ่งนัก
“ท่านประหลาดใจใช่หรือไม่ ? ”
“…น้องชาย โปรดแสดงหลักฐานว่าเจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนตัวจริงออกมา ! ”
“…ข้าก็คือฟู่เสี่ยวกวนตัวจริงเยี่ยงไรเล่า ! ”
“ข้ามิสน หรือมิเช่นนั้นเจ้าต้องเปลี่ยนหน้าให้เป็นดังเดิมเสียก่อน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตามองซูม่อ จากนั้นก็คลำเข้าไปในกระเป๋าอกเสื้อแล้วหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาส่งให้อีกฝ่าย แน่นอนว่าซูม่อจ้องมองพิจารณามู่โต่วอย่างละเอียด จากนั้นถึงได้ยิ้มออกมา “ฝีมือแปลงโฉมระดับปรมาจารย์อย่างแท้จริง ศิษย์น้องเล็ก เหตุใดเจ้าต้องทำเยี่ยงด้วยกัน ? ”
“จงอย่าบอกผู้ใดว่าข้าคือฟู่เสี่ยวกวน ! อีกอย่าง…จัดเตรียมกองพลอิสระเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ? สิ่งของที่ข้าให้ขนส่งซีซานนำมาครบแล้วหรือยัง ? ”
เมื่อทั้งสองนั่งอยู่ในศาลาเทียนซิน ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามเรื่องนี้กับซูม่อด้วยท่าทางจริงจัง
“กองพลอิสระเพิ่งถูกส่งมายังสำนักเต๋าเมื่อวานนี้ และบัดนี้ได้เปลี่ยนเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว กองพลกำลังรอคำสั่งอยู่ในค่ายทหาร”
“ท่านจงกำชับกองพลว่าหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะออกเดินทางทันที โดยมีจุดประสงค์คือ…ซินโจว เมืองใหญ่ทางทิศเหนือ ! ”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ… ? ! ”
ซูม่อตกตะลึงงัน แม้แต่เป่ยหวังฉวนก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความงุนงงระคนประหลาดใจ
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์แล้วเอ่ยออกมาช้า ๆ ว่า “ชาวฮวงมีปืนใหญ่หงอีจำนวน 80 กระบอกหมายความว่าด่านภูเขาเยี่ยนต้องแตกพ่ายอย่างแน่นอน”
ดังนั้นจะไปช่วยเหลือทหารชายแดนเหนือ ปกป้องเมืองซินโจวเยี่ยงนั้นหรือ ?
ซูม่อครุ่นคิดอยู่ในใจเช่นนี้ แต่ปากกลับเอ่ยถามว่า “ชาวฮวงมีปืนใหญ่หงอีได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“กองทัพชายแดนเหนือเป็นผู้ขายให้เอง”
ซูม่อตกตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่าในกองทัพชายแดนเหนือมีหนอนบ่อนไส้ อีกทั้งยังมีอำนาจสูงมากทีเดียว
“รู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด ? ”
“จ้าวฉาง น้องเขยของแม่ทัพเผิงผู้บัญชาการกองทัพชายแดนเหนือ”
“แล้วแม่ทัพเผิงทราบเรื่องนี้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า เรื่องนี้ตนได้รับรายงานมาจากฝูงมดที่ซ่อนตัวอยู่ในแคว้นฮวง ตนมิได้บอกเรื่องนี้ต่อเผิงเฉิงอู่และมิได้ทูลฮ่องเต้เนื่องจากยังมิถึงเวลา
จากข้อมูลเกี่ยวกับจ้าวฉางทำให้ฟู่เสี่ยวกวนได้รู้ว่ากองทัพชายแดนเหนือมีเสี้ยวเว่ย 2 นายจาก 8 นายลอบติดต่อกับชาวฮวง แน่นอนว่าพวกเขาขายปืนคาบศิลาให้แก่ชาวฮวงถึง 4,000 กระบอก !
ซึ่งมากกว่าที่ชาวฮวงผลิตได้เองด้วยซ้ำ !
เรื่องราวเบื้องหลังนี้ได้เชื่อมโยงกับตระกูลหวางซุนหนึ่งในห้าผู้นำการค้าใหญ่แห่งราชวงศ์หยู จากที่ฝูงมดรายงานคือการค้าขายครานี้เกิดขึ้นผ่านทางพ่อบ้านของตระกูลหวางซุนนามฉ้ายซี ซึ่งตระกูลหวางซุนได้ทำการค้าขายกับชาวฮวงมาเนิ่นนานแล้ว !
ดังนั้นปืนคาบศิลาที่อยู่ในมือของชาวฮวงมิใช่แค่ 3,000 กระบอก แต่เป็นอย่างน้อย 7,000 กระบอก !
เนื่องด้วยเหตุนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงกำชับทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งว่าอย่าเผชิญหน้าโดยตรงกับกองทัพดาบสวรรค์ เนื่องจากพวกเขาเป็นทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของตน จึงมิอยากให้ต้องตกตายด้วยปืนในมือของศัตรู อีกทั้งปืนที่อยู่ในมือศัตรูนั้น…ตนก็ได้สร้างมันขึ้นมาเองกับมือ
แล้วผู้ใดจะไปตายแทนเล่า ?
แน่นอนว่าเป็นทหารชายแดนเหนือที่ต้องรับลูกกระสุนเหล่านี้แทน
มิว่าด่านภูเขาเยี่ยนจะถูกปืนใหญ่หงอีตีจนแตก หรือถูกเปิดออกโดยหนอนบ่อนไส้ด้านใน ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย
กองทัพชายแดนเหนือจำนวน 400,000 นาย… หากตายไปบ้างคงจะเหมาะกับแผนการในอนาคตของตน
ส่วนเรื่องการเดินทางไปเมืองซินโจว แน่นอนว่าเขามิได้ไปเพื่อช่วยกองทัพชายแดนเหนือคุ้มกัน แต่สิ่งที่อยากทำก็คือ…ไปดู !
ต้องดูว่าฮ่องเต้จะติดกับดักหรือไม่ เรื่องนี้สำคัญยิ่ง เนื่องจากมีผลกระทบต่อชีวิตและอนาคตของเขา
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจำเป็นต้องเดินทางไปยังแนวหน้าด้วยตนเอง ทางที่ดีจะต้องให้ทหารดาบสวรรค์จำนวน 400,000 นายของชาวฮวงบุกเข้าไปในด่านภูเขาเยี่ยน แต่ทางด้านของแม่ทัพเผิงเฉิงอู่ก็ต้องรับมือกับการโจมตีของทหารดาบสวรรค์ให้ได้ด้วย
สิ่งที่เขาต้องการคือให้ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหาย จะต้องล่อทหารดาบสวรรค์จำนวน 400,000 นายมายังสนามรบด่านภูเขาเยี่ยนนี้เสียก่อน จึงจะสามารถดำเนินแผนการต่อไปได้
ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างมิมีผู้ใดล่วงรู้
“จากแผนการเดิมคือทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งได้เผชิญหน้าต่อสู้กับชาวฮวงบางเผ่าตั้งแต่เดือนสองวันที่หนึ่งเป็นต้นมา ด้านทหารดาบสวรรค์ของแคว้นฮวงก็จะประกาศสงครามกับด่านภูเขาเยี่ยนในปลายเดือนหนึ่ง”
“พวกเราควรไปถึงเมืองซินโจวราวต้นเดือนสอง บัดนี้ยังมีเวลาเหลืออีก 20 วัน หากเดินทางไปตอนนี้คงเหมาะเจาะพอดี”
“เมื่อเดินทางไปถึงเมืองซินโจวแล้ว…จงรอฟังคำสั่งจากข้า ! ”
ในค่ำคืนนี้ทหารดาบเทวะกองพลอิสระได้ติดอาวุธ แล้วออกเดินทางจากสำนักเต๋ามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
สำนักเต๋าที่ใหญ่โตมโหฬารเพียงนี้ จึงเหลือเพียงความว่างเปล่า
จากนั้นบนหลังคาของศาลาเทียนซินถึงได้มีคนผู้หนึ่งลอยลงมา แน่นอนว่าเขาคือปรมาจารย์สำนักเต๋าซูฉางเซิงนั่นเอง
เขาเดินเข้าไปในศาลาเทียนซินและนั่งตรงตำแหน่งที่ฟู่เสี่ยวกวนนั่งเมื่อครู่ จากนั้นก็เอื้อมมือไปสัมผัสถ้วยน้ำชาที่ยังอุ่นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
เขากระโดดขึ้นจากพื้นแล้วลอยตัวขึ้นไปยังภูเขาสูงเสียดเมฆา
ในภูเขาลูกนั้นมีม่านน้ำตกและกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่
ก่อนหน้านั้นซูเจวี๋ยเคยเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนว่า เมื่อถึงฤดูร้อนสถานที่แห่งนั้นเหมาะสำหรับการหลีกหนีจากความร้อนมากเลยล่ะ ดังนั้นท่านอาจารย์จึงสร้างกระท่อมหลังหนึ่งขึ้นมา
บัดนี้เป็นฤดูหนาว แต่กระท่อมฟางหลังนั้นยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง
ภายใต้แสงไฟมีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางสวมอาภรณ์เรียบง่าย สีสันมิฉูดฉาดแต่ทว่าใบหน้ากลับน่ามองมากยิ่งนัก
นางกำลังอ่านตำราเล่มเล็กอย่างตั้งใจ ตำราเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘รวมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวน’ !