นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 77 ยามอาทิตย์อัสดง
ตอนที่ 77 ยามอาทิตย์อัสดง
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานต่างก็เขียนจดหมายคนละ 1 ฉบับที่เรือนซีซาน
หยูเวิ่นหวินเขียนจดหมายถึงพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเสด็จแม่ของนาง กล่าวถึงเรื่องของผู้ประสบภัยที่ได้พบเจอ ความเสียใจและความโกรธที่ได้พบเห็น น้ำตาไหลรินยามที่นึกถึง เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ย่อมมิมีใครนึกคาด และยังกล่าวถึงการกระทำทั้งหมดของฟู่เสี่ยวกวนที่ทำเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย หลังจากนั้นก็ขอร้องให้เสด็จแม่ทูลเสด็จพ่อว่า แค่อำเภอเหยาก็ถูกฉ้อโกงในส่วนของเสบียงบรรเทาทุกข์อย่างร้ายแรง แล้วพื้นที่ประสบภัยพิบัติทั่วทุกพื้นที่จะเหลือทนถึงเพียงใด
ต่งชูหลานเขียนจดหมายถึงเสนาบดีต่งบิดาของนาง และได้กล่าวถึงเรื่องผู้ประสบภัยของอำเภอเหยาเช่นกัน เพียงแค่มิได้กล่าวถึงเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน โดยหวังว่าบิดาจะสามารถให้ขุนนางกรมคลังสอบสวนความเป็นไปของเสบียงบรรเทาทุกข์ ความโลภของพื้นที่แห่งนี้ร้ายแรงจนคุกคามชีวิตของผู้คน ทุกอย่างที่ราชสำนักทำเพื่อผู้ประสบภัยกลับเข้ากระเป๋าพวกมอดเหล่านั้น ที่แห่งนี้มีผู้ประสบภัยถึง 30,000 คน แต่จำนวนผู้ประสบภัยสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอนั้นมีหลายแสนคน หากพวกเขาหิวโหย จะต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ยุ่งเกี่ยวอันใด เมื่อเรื่องนี้ถูกส่งขึ้นไปยังชั้นฟ้า ราชสำนักย่อมทำการสอบสวน ถึงแม้เขาจะทราบว่าเยี่ยงไรแล้วเรื่องนี้ก็จะไร้ผลลัพธ์ แต่อาจพบผู้ทุจริตและล่วงละเมิดกฎหมาย และสามารถเขย่าขวัญพวกคดโกงได้ ก็เป็นบุญกุศลล้นพ้นแล้ว
ยามเย็นของวันที่สอง ฟู่ต้ากวนได้จ้างหมอกว่าร้อยคนและยาสมุนไพรกว่าสิบคันรถมายังเรือนซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้เวลาพวกเขาพักผ่อน ส่งทหารยามของเรือนซีซานออกไป 300 นาย ออกไปพร้อมกับหมอและยาสมุนไพร เพื่อออกเดินทางไปยังอำเภอเหยาในยามค่ำคืนอย่างเร่งรีบ
หน้าที่หลักของทหารยาม 300 นายก็เพื่อรักษาความเรียบร้อยในหมู่ผู้ประสบภัย ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่รักษาในอำเภอเหยาหรือระหว่างเดินทางกลับหมู่บ้านเซี่ยชุน ฟู่เสี่ยวกวนจะมิยอมให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
และหมอเหล่านี้ได้ตรงไปยังอำเภอเหยา ประการแรกเพื่อรักษาโรคให้แก่เหล่าผู้ประสบภัย ประการที่สองเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในยามกลับมา
ชีวิตที่ยากลำบากเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะสตรี เด็กเล็ก และคนชราที่อ่อนแอ ฟู่เสี่ยวกวนกังวลอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะอยู่รอดได้หรือไม่
ผู้เสียชีวิตคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ แต่หากลดจำนวนความตายได้ ย่อมดีอย่างยิ่ง
“คุณชายขอรับ เรือนซีซานคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดของเมืองนะขอรับ” ใจของอี้หยู่นั้นมีความกังวลอย่างเต็มเปี่ยม ทหารยาม 300 นายถูกส่งออกไป เรือนซีซานก็ว่างเปล่า
“ข้าทราบ หยู๋เหลียนกล่าวแล้วว่าจะส่งทหารไปรักษาความสงบที่นั่น ถึงแม้ว่าเขาจะส่งคนไปแล้วจริง ๆ แต่อำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งจะมีทหารยามสักเท่าใดกัน เหล่าผู้ประสบภัยต้องหิวโหยจนร้อนรน คนที่หิวโหยจนร้อนรนจะเสียสติสัมปชัญญะ ท้ายที่สุดการมีชีวิตอยู่ก็เป็นเจตจำนงสูงสุดของมนุษย์ จางเช่อช่วยบรรเทาภัยพิบัติ ข้ามีข้อเรียกร้องสำหรับเสบียง ถึงแม้ข้าจะบอกกับจางเช่อให้จัดจุดบรรเทาทุกข์ไว้อย่างน้อย 50 แห่ง แต่ข้ายังคงคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุที่น่าแตกตื่นขึ้น ไม่ว่าใครก็อยากทานอาหารให้เต็มอิ่มทั้งนั้น เพราะเกรงว่ายิ่งยามค่ำนั้นจะมิมีอันใดให้ทาน เหล่าผู้เยาว์ที่ยังมีแรงเหล่านั้นจะดาหน้าเข้าไปยังเบื้องหน้า แต่เหล่าผู้อ่อนแอนั้น หากพวกเขามิสามารถแย่งได้ก็มิมีข้าวทาน และจะถูกเหยียบย่ำจนตาย”
ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของฟู่เสี่ยวกวนแปรเปลี่ยนเป็นเติบโตอย่างยิ่ง สายตาของเขาเคร่งขรึม น้ำเสียงของเขาก็หนักแน่นยิ่งนัก ระหว่างหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นมิเปลี่ยนแปลงราวกับมีภูเขาที่หนักอึ้ง ไม่มีท่าทางเหมือนชายหนุ่มวัยสิบหกปีเลยแม้แต่น้อย
หยูเวิ่นหวินจ้องมองใบหน้าที่ราวกับผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาอย่างยิ่งของฟู่เสี่ยวกวนด้วยอาการเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดว่านี่คือความเมตตาต่อใต้หล้าหรือ
ต่งชูหลานเคยเห็นท่าทางเยี่ยงนี้ของฟู่เสี่ยวกวนมาแล้ว เพียงแค่เมื่อได้มาเห็นอีกคราในวันนี้ ก็ยิ่งคิดว่าเขานั้นเป็นคนหนุ่มที่ได้เติบใหญ่แล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจท่าทางของตนเองในยามนี้ ความรู้สึกของเขานั้นหนักอึ้งยิ่ง
“ในวันนี้ที่ใต้หล้ายังมีความสันติสุข ทั้งยังมิได้ยินเรื่องผู้ร้ายอันใด ดังนั้นข้าจึงใช้ความคิดอยู่เนิ่นนาน ถึงได้ตัดสินใจส่งทหารยาม 300 นายนั้นออกไป จำนวนผู้ตายลดลงได้ก็เป็นเรื่องดียิ่งแล้ว”
ที่นี่มีซูม่อและยอดฝีมือสาวผู้นั้นที่หยูเวิ่นหวินพามา ทั้งยังมีชาวบ้านหมู่บ้านหวังเจียชุนอีกนับร้อย ฟู่เสี่ยวกวนมิคิดว่าจะมีผู้ร้ายที่ใดจะกล้าเข้ามาในเรือนซีซาน
อี้หยู่มิทราบว่าที่แห่งนี้มียอดฝีมือระดับสูง 2 คน เขาจึงยังกังวลอยู่มิหาย แต่เมื่อคุณชายวางแผนไว้เยี่ยงนี้แล้ว และทหารยาม 300 นายก็ได้ออกไปแล้ว เยี่ยงนั้นคงได้แต่ภาวนามิให้เกิดความวุ่นวายอันใดก็เพียงพอแล้ว
อี้หยู่จากไป ฟู่เสี่ยวกวนและทั้งสามคนได้นั่งลงที่ลาน
แสงอาทิตย์ยามอัสดง สาดหมึกทาบแสงสีแดง
ทั้งสามคนยังคงพูดคุยถึงเรื่องผู้ประสบภัย ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวถึงแผนการที่เตรียมการต่อไปให้พวกนางฟัง
ในเวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดังนั้นบรรยากาศในยามนี้จึงผ่อนคลายขึ้นมาเช่นกัน
“ผู้คนเหล่านี้จะมีงานทำ ข้าจะจ่ายเงินค่าจ้างพวกเขา รวมถึงค่ากินค่าอยู่ รอจนฤดูใบไม้ผลิ เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีหน้ามาเยือน หากพวกเขาอยากจะกลับไปก็กลับไป หากไม่อยากกลับก็จะประหยัดเงินได้มากโข หากพวกเขายินยอมที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ และสร้างบ้านของตนเอง ก็สามารถรื้อพื้นที่รกร้างได้ ผู้มีแรงเหลือเฟือก็สามารถทำงานในโรงงานต่าง ๆ ของข้าได้ การเลี้ยงดูครอบครัวย่อมมิมีปัญหา จนถึงขั้นจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นทางเลือกที่พวกเขาเลือกด้วยตนเอง”
“หากในภายภาคหน้ายังมีผู้ประสบภัยมาอีกเล่า” ต่งชูหลานเอ่ยถาม นั่นคือปัญหาที่นางกังวลใจมากที่สุด ผู้ประสบภัยมักจะไหลไปยังสถานที่ที่รุ่งเรืองเสมอ หลินเจียงก็เป็นเมืองที่มั่งคั่งในเจียงเป่ย และเหตุการณ์ที่เรือนซีซานรองรับผู้ประสบภัยย่อมแพร่กระจายออกไป ฟู่เสี่ยวกวนในฐานะมนุษย์ เขาย่อมจะมิเอาเปรียบผู้ประสบภัยเหล่านั้นเป็นแน่ ฉะนั้นในยามนี้จึงได้กลายเป็นสวนดอกท้อของหลินเจียงไปเสียแล้ว ในสายตาของผู้ประสบภัย นี่คือสถานที่ที่จะสามารถปักหลักชีวิตได้
“หากเป็นเยี่ยงนั้น ข้าก็จะเปลี่ยนหมู่บ้านเซี่ยชุนแห่งนี้ให้กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุด” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขำ ๆ
ต่งชูหลานเหลือบสายตามองเขา “เจ้าจักมิคำนวณถึงเสบียงที่เหลือของตระกูลเจ้าหน่อยหรือ ว่าจะมีให้พวกเขาทานไปได้อีกนานเท่าใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา “สบายใจเถิด รอข้าตบแต่งพวกเจ้าเข้าเรือนยุ้งฉางนี้ก็จะเต็มจนมิมีที่เก็บเสียด้วยซ้ำ ! ”
สตรีทั้งสองหน้าแดงทันพลัน “ใครจะสมรสกับเจ้ากัน ? ”
เสียงของต่งชูหลานแผ่วเบาราวกับแมลง ส่วนเสียงของหยูเวิ่นหวินค่อนข้างดังแต่กลับมีความเขินอายแฝงอยู่
ผู้หนึ่งราวกับสายลมกลางสายฝน ผู้หนึ่งราวกับแสงแดดยามหน้าหนาว
ดียิ่ง !
สมรรถภาพก็ต้องดียิ่ง !
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ท้ายที่สุดสองสาวก็มิอาจสู้ จึงก้มหน้าหลบด้วยความเขิน
บุรุษผู้นี้หน้าหนายิ่ง !
แต่ในใจของสตรีทั้งสองกลับปลื้มปิติ
ยามนั้นเองหวางเอ้อและหวางเฉียงก็เดินเข้ามา หวางเอ้อได้ยินเสียงหัวเราะของฟู่เสี่ยวกวนมาแต่ไกล เขาเงยหน้ามองไป สีหน้าของหวางเฉียงตื่นเต้นพร้อมตั้งท่าจะปรี่เข้าไป หวางเอ้อจึงคว้าเขาเอาไว้ “ประเดี๋ยวค่อยเข้าไป”
หวางเฉียงงุนงง ทั้งสองจึงกลับไปยังหน้าประตูวงจันทร์อีกครา
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หวางเฉียงก็ยื่นหัวมองเข้าไปด้านใน ทั้งสามคนกำลังดื่มชาและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน น่าจะมิมีสถานการณ์ลำบากใจอย่างที่บิดาได้กล่าวเอาไว้แล้ว
เขาโอบอุ้มกล่องและเดินกลับเข้าไปอีกครา จนมาถึงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
“คุณชายขอรับ นี่คือฟู่อีต้าย ท่านลองชม”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและเปิดกล่องออก ในนั้นมีเมล็ดพันธุ์ที่อวบอิ่ม
“สิ่งนี้ข้าจะดูแลรักษาเอาไว้ก่อน ปีหน้ายามลงต้นกล้าเจ้าต้องมาหาข้าเพื่อนำมันไป จำไว้ว่า อย่าให้เกินช่วงเพาะต้นกล้า”
“ข้าน้อยจักจำไว้ขอรับ ! ” หวางเฉียงกลับหลังเดินออกไป ต่งชูหลานเอ่ยถามอย่างสงสัย “นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่เจ้ากล่าวถึงหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า คีบเมล็ดขึ้นมาราวกับของล้ำค่า และกล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์นี้แตกต่าง ปีหน้าค่อยเพาะอีกหนึ่งชุด ปีถัดไปก็จะสามารถเพาะในที่ขนาดเล็กได้ และก็จะได้รู้ว่าผลผลิตนั้นเป็นเท่าใด อย่างน้อยย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ส่วนที่ว่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกหรือไม่ข้าก็มิมั่นใจ สิ่งนี้ต้องพัฒนาและปรับปรุงจากรุ่นสู่รุ่น”
“ผลผลิตของข้าวจะเพิ่มเป็นเท่าตัวได้รึ ? ” หยูเวิ่นหวินเบิกตากว้าง
“ดังนั้นข้าถึงกล้ารับประกันว่ายามที่พวกเจ้าแต่งเข้าตระกูลฟู่มาแล้ว ยุ้งฉางนั้นยังคงเต็มเช่นดังเดิม”
“ฟู่เสี่ยวกวน…!”
ช่วงเวลานั้นช่างงดงาม