นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 778 คางคกขึ้นวอ
ตอนที่ 778 คางคกขึ้นวอ
ณ จวนฉิน เมืองจินหลิง ปรากฏเพียงไฟในห้องหนังสือเท่านั้นที่ยังคงส่องสว่าง
ตระกูลฉินเคยเป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองจินหลิง ทว่าบัดนี้กลับไร้ซึ่งความเจิดจรัสเยี่ยงในอดีต
ประตูสีแดงสดบานนั้น มิมีผู้ใดเปิดมันออกเนิ่นนานเลยทีเดียว
จวบจนเมื่อปีกลาย หลังจากที่ฉินฮุ่ยจือถูกปล่อยตัวออกมา ประตูใหญ่บานนั้นก็ถูกเปิดออกอีกครา เพียงแต่ว่าแสงไฟในจวนให้มองเยี่ยงไรก็มิสว่างไสวเยี่ยงสมัยก่อน
อาจเป็นเพราะฉินฮุ่ยจือได้ใช้ชีวิตอยู่ในคุกมืดเป็นเวลาเนิ่นนานจึงเกลียดความสว่างทั่วสารทิศ เปลี่ยนมาชื่นชอบการนั่งดื่มชาเวลาโพล้เพล้ตามลำพังภายใต้แสงเทียนเพียงดวงเดียว เขาชอบจิบชาพลางคิดเรื่องราวต่าง ๆ ไปด้วย
ในวันนี้ เขาก็นั่งดื่มชาเพียงลำพังดังเดิม
เยี่ยนเป่ยซีได้ยื่นหนังสือขอเกษียณอายุราชการแล้ว แน่นอนว่าฝ่าบาททรงอนุมัติแล้ว ส่วนตัวเขาที่เพิ่งออกมาจากคุกได้มินานกลับได้เลื่อนขึ้นสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ตำนานที่เล่าขานกันว่าตระกูลเยี่ยนได้เป็นอัครมหาเสนาบดีติดต่อกันถึงสามรุ่นจึงจบลงเพียงเท่านี้
สุดท้ายแล้วตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี เขาก็คว้ามันมาด้วยความสามารถของตน บัดนี้เขาช่างปลื้มปีติมากยิ่งนัก และวันเวลาเยี่ยงนี้สมควรค่าแก่การฉลองยิ่ง
ทว่าไร้ผู้ใดเดินทางมาร่วมยินดี มิเป็นไรหรอกเพราะเขาสามารถยินดีกับตนเองได้
บนโต๊ะมีขวดสุราซีซานเทียนฉุนและถั่วลิสงหนึ่งจาน แท้จริงแล้วความสุขช่างเรียบง่ายเสียเหลือเกิน
ฉินฮุ่ยจือเผยอยิ้ม จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าสมควรตายได้แล้ว ! ”
แผนการทุกสิ่งทุกอย่างนี้ฉินฮุ่ยจือเขียนมันลงไปด้วยมือของตนเอง ซึ่งลำดับขีดฆ่านี้มองดูแล้วงดงามยิ่งนัก ดุจดั่งองค์พระพุทธรูปมิผิดเพี้ยน… เขารินสุราจนเต็มจอก จากนั้นก็ค่อย ๆ ลิ้มรสของมัน อืม…สุราชั้นยอด !
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด เดือนหนึ่ง วันที่สิบสอง ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า และในห้องทรงพระอักษรทั้งสองได้นั่งสนทนากันนานถึงหนึ่งคืนเต็ม
บทสนทนายอดเยี่ยมมากเสียทีเดียว เปรียบเสมือนบทละครงิ้วฉากเด็ด เปรียบดั่งยามแรกที่เมฆหมอกบดบังเมืองจินหลิงเอาไว้อย่างหนาแน่นแล้วต่อมาก็ค่อย ๆ จางลง เมื่อเมฆหมอกที่ปกคลุมนั้นถูกพัดลอยหายไปก็เผยให้เห็นน้ำใสของแม่น้ำฉินหวาย จากนั้นทั้งสองก็ได้เปิดอกสนทนากันและได้เอ่ยถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคือฟู่เสี่ยวกวนจำเป็นต้องตาย !
ทว่าการสังหารฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เรื่องง่าย
ฮ่องเต้พยายามอย่างยิ่งในการให้หอซี่หยู่สืบหาข้อมูล จึงได้รู้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่ใดกันแน่ แท้ที่จริงจะเอ่ยเช่นนั้นก็มิถูกนัก เพราะเนื่องจากหอซี่หยู่ก็มิแน่ใจว่าฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ใด
ในวันที่สิบ เดือนหนึ่ง ได้ปรากฏรถม้าสามคันแล่นออกจากจวนติ้งอันป๋อ รถม้าสองคันแรกตรงไปยังทิศเหนือ ส่วนคันสุดท้ายตรงไปยังสำนักเต๋า
ผู้ที่มุ่งหน้าไปทางสำนักเต๋าคือหนิงซือเหยียน ส่วนผู้ที่ตรงไปทางทิศเหนือคือฟู่เสี่ยวกวน
ทว่าฉินฮุ่ยจือรู้สึกมีบางอย่างผิดแปลกไป เพราะจากมันสมองของฟู่เสี่ยวกวนนั้นเขารู้ดีว่าความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญยิ่ง ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนมิยอมให้ผู้อื่นล่วงรู้แผนการเดินทางของเขาโดยง่ายเช่นนี้เป็นแน่
ดังนั้น…มิรู้ว่าอันใดจริงอันใดปลอม เช่นนั้นก็สังหารทิ้งไปทั้งสองคนก็สิ้นเรื่อง !
หากต้องการสังหารฟู่เสี่ยวกวนก็ต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนติดกับดัก
ซึ่งต้องสูญเสียหลายต่อหลายสิ่ง ! อีกทั้งยังเป็นไปอย่างโหดเหี้ยม !
เมื่อฮ่องเต้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว ผลสรุปที่ได้จึงเป็นไปตามที่ฉินฮุ่ยจือต้องการ เนื่องจากอันตรายจากการที่ฟู่เสี่ยวกวนมีชีวิตอยู่น่ากลัวกว่าการที่ชาวฮวงบุกไปทางใต้มากนัก !
ชาวฮวงบุกลงใต้แล้วเยี่ยงไร ?
เพียงแค่โยกย้ายกองทัพชายแดนตะวันตกไปก็สามารถสกัดกั้นชาวฮวงไว้ที่บริเวณเหนือแม่น้ำแยงซีได้แล้ว ในเมื่อราชวงศ์อู๋บุกเข้าไปในแคว้นอี๋ แน่นอนว่าแคว้นอี๋คงมิอาจทุ่มเทกำลังทหารบุกเข้าไปยังว่อเฟิงเต้าได้ เช่นนั้นทางด้านกองทัพชายแดนตะวันออกก็สามารถโยกย้ายไปช่วยได้ถึง 200,000 นาย !
หากได้ความร่วมมือจากทหารกองทัพชายแดนตะวันตกและตะวันออกไปสกัดกั้นที่บริเวณเหนือแม่น้ำแยงซี กองทัพดาบสวรรค์ของชาวฮวงจำนวน 400,000 นายจะต้องสิ้นสลายกลายเป็นผุยผงอย่างแน่นอน
แต่ถ้าฟู่เสี่ยวกวนยังมีชีวิตอยู่…ราชวงศ์หยูจะเอาอันใดไปต่อกรกับราชวงศ์อู๋ที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่กัน !
เสียด่านภูเขาเยี่ยนไปก็มิเป็นไร
มิเอาเมืองซินโจวไว้ก็ยังได้
ฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ทหารดาบเทวะในมือก็เก่งกาจจนมิอาจหาผู้ใดเทียบเคียงได้ แต่ถึงเยี่ยงไรก็ยังเป็นมนุษย์มิใช่เทพเจ้า มนุษย์ล้วนมีข้อบกพร่องของตน !
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีข้อด้อยอันใหญ่หลวง ซึ่งนั่นก็คือ รักราษฎร !
เขามิอาจทนเห็นชาวบ้านและทหารชายแดนเหนือเหล่านั้นตายไปต่อหน้าต่อตาได้
ดังนั้นแผนการแรกคือการให้ชาวฮวงบุกเข้ามา จากนั้นก็ใช้ปืนใหญ่หงอีในการพังทลายด่าน !
ฟู่เสี่ยวกวนที่เห็นว่าด่านภูเขาเยี่ยนกำลังจะแตก แน่นอนว่าเขาต้องเข้ามาช่วยเหลือ และเมื่อถึงเวลานั้นก็คงต้องตาย !
หากเขามิมาช่วยก็ต้องสละด่านภูเขาเยี่ยนแล้วยอมให้ชาวฮวงบุกเข้ามา ปล่อยให้ชาวฮวงเข้าโจมตีเมืองซินโจว ราษฎรในเมืองซินโจวมีจำนวนมาก ฟู่เสี่ยวกวนต้องเข้ามาช่วยเหลือเป็นแน่ !
นี่คือแผนการที่สองซึ่งบัดนี้ได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวนแล้ว แม่ทัพใหญ่เผิงนำกองทัพหลักมุ่งหน้าไปทางเป่ยเฟิงภูเขาผิงหลิงและเข้าสู่แคว้นฮวง จากนั้นจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงท่าป๋าเฟิงก็จะให้ความร่วมมือกับแม่ทัพเผิงในการทำลายล้างทหารดาบเทวะ
หากฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในกองทัพดาบเทวะด้วยล่ะก็… เขาจะต้องตายโดยมิต้องสงสัย
ตรงกันข้ามถ้าคนที่อยู่ในกองทัพนั้นมิใช่ฟู่เสี่ยวกวน แน่นอนว่าตัวจริงย่อมแอบดูอยู่เงียบ ๆ
สิ่งที่ต้องทำคือล่อเสือออกจากถ้ำ
เสือตัวนี้แท้จริงแล้ว มันซุกซ่อนอยู่ในทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งหรือคอยมองดูอยู่ใกล้ ๆ เมืองซินโจวนี้กันแน่ ?
ฉินฮุ่ยจือรินสุราลงไปหนึ่งจอก บิดเปลือกถั่วลิสงออก เอาเมล็ดเข้าปากเคี้ยว
ท่ามกลางแสงสลัวที่ส่องให้เห็นร่องรอยอันเหี่ยวย่นบนใบหน้า ปรากฏถึงความเสียใจเล็กน้อย น่าเสียดายยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวน…แท้จริงแล้วเขาเปี่ยมไปด้วยความสามารถจนน่าเสียดาย !
หากจะโทษก็คงต้องโทษที่เจ้าเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ก็แล้วกัน
……
……
สถานที่แห่งนี้เรียกว่า ซงเจี้ยน
ซงเจี้ยนถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทราจนส่องสว่างงามตา
ด้านซ้ายคือภูเขาทึบลูกหนึ่งมีนามว่า ซงกั่ง
ราตรีที่แสงจันทราพร่างพราย ณ ซงกั่ง แห่งนี้
ระเบิดที่ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็จบสิ้นลงเสียที !
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางซงกั่งที่อยู่ท่ามกลางความมืดนี้ ด้านบนของซงกั่งปรากฏเสียงดัง ‘ปัง… ! ’ ของปืนขึ้นมา เขาจึงรีบตะโกนออกมาเสียงดังว่า “ถอย ! ”
ซูม่อตกตะลึงงัน
จากนั้นบังเกิดเสียงปืนดังขึ้นที่ซงเจี้ยน
ซูม่อรีบเก็บความตกตะลึงนั้นลงไป จากนั้นจึงเรียกพลังลมปราณจากจุดตันเทียนออกมา ก่อนจะเป่าสัญญาณให้ถอยทัพ
เวลาอันกระชั้นชิดนั้น ทหารดาบเทวะกองพลอิสระเพิ่งจะยิงออกไปได้เพียงหนึ่งรอบ เมื่อพวกเขาได้รับสัญญาณให้ถอยก็มิมีผู้ใดลังเลเลยแม้แต่ผู้เดียว พวกเขาล้วนพากันรีบเดินทางออกจากที่แห่งนั้นทันที
ท่าป๋าเสวี่ยเฟิงแสดงสีหน้ามึนงงออกมา…
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน ?
เป็นทหารจากที่ใดกัน ?
พวกเจ้ามาทำร้ายคนของข้านับพัน ข้าเพิ่งจะได้ชักดาบออกจากฝัก แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงหนีไปแล้วเล่า ?
ซูม่อพากองพลอิสระตามติดฟู่เสี่ยวกวนไป เขามิรู้หรอกว่าเพราะเหตุใด ทว่าฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้อธิบายเช่นกัน ทิศทางที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังคงเป็นทิศทางที่ชาวซินโจวหลายแสนคนหลบหนีไป
ฟู่เสี่ยวกวนต้องการทำอันใดกันแน่ ?
หากทำเช่นนี้จะมิเป็นการพาศัตรูไปพบชาวบ้านเหล่านั้นหรอกหรือ ?
ทว่าสิ่งที่พวกเขามิรู้ก็คือที่ด้านบนของซงกั่งมีทหารจากกองทัพชายแดนเหนือจำนวน 60,000 นายซุ่มโจมตีอยู่ !
ทหารจำนวน 60,000 นายนี้มาจากด่านภูเขาเยี่ยนและเป็นทหารกบฏที่เปิดประตูด่านให้กับชาวฮวง บุคคลเหล่านี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของอู๋ฉางและเจิ้งเถี่ยโถว !
ด่านภูเขาเยี่ยนแตกพ่ายแล้ว เสี้ยวเว่ยทั้งสองนายของกองทัพชายแดนเหนือร่วมมือกันเปิดประตูเมือง เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนทราบมาก่อนแล้ว เพียงแต่เขามิรู้ว่าทหารทั้งสองกองนี้จะเดินทางออกจากด่านภูเขาเยี่ยนแล้วพากันมาซุ่มอยู่ที่นี่
นี่คือแผนซ้อนแผน !
เผิงเฉิงอู่รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมายังสนามรบชายแดนเหนือแต่มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่ใด ทว่าเผิงเฉิงอู่ก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องติดตามดูสงครามเมืองซินโจวอย่างใกล้ชิด
นี่จึงเป็นแผนที่แม่ทัพใหญ่สร้างขึ้นมา !
พวกเขามิเห็นค่าของด่านภูเขาเยี่ยนและเมืองซินโจวแม้แต่น้อย เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เดียวคือสังหารฟู่เสี่ยวกวน !
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดเดาขึ้นมาในชั่วอึดใจหนึ่ง ทว่าจวบจนบัดนี้ก็ยังมิรู้แน่ชัดว่าเป็นเยี่ยงไรกันแน่
อู๋ฉางและเจิ้งเถี่ยโถวที่ยืนอยู่บนซงกั่งพากันมองไปยังผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างนามว่า ฮั่วจิง
ฮั่วจิงวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็บรรจุกระสุนปืนด้วยท่าทางจริงจัง ถุยน้ำลายออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าละอายใจเหลือเกินที่ต้องร่วมสู้กับพวกเจ้า ! ”
“ปัง… ! ’
มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด ฮั่วจิงตัดสินใจจบชีวิตลงที่ซงกั่งแห่งนี้