นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 790 โจมตีเมือง ( จบ )
ตอนที่ 790 โจมตีเมือง ( จบ )
ขอเพียงแค่จับกุมท่าป๋าเฟิงได้ ต่อให้ตาย ข้าก็มิเสียดายชีวิต !
ซูม่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีอยู่เนิ่นนาน
เขามิต้องการเห็นทหารภายใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ไปตายเปล่า !
เนื่องจากบนกำแพงเมืองและในตรอกซอกซอยล้วนเต็มไปด้วยชาวฮวงจำนวนมาก ด้วยวิชาตัวเบาของพวกเขามิอาจบินยาวรวดเดียวจากตรงนี้เพื่อข้ามกำแพงและเข้าสู่พระราชวังป๋ายจินฮ่านได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลงมาเหยียบพื้นแล้วค่อยทะยานขึ้นไป ทว่าในตอนที่ลงสู่พื้นธรณีก็คงจะได้รับทั้งกระบี่ ดาบ มีด และธนูพุ่งมาต้อนรับอย่างต่อเนื่อง !
หากพวกเขายังดึงดันจะเดินหน้าต่อก็คงต้องพานพบกับเส้นทางอันดุเดือดนองเลือดเป็นแน่
ถ้าให้กองที่ห้าออกไปเปิดทาง…วิธีนี้จะลดการสูญเสียของชาวบ้านได้น้อยที่สุด ทว่าสำหรับกองที่ห้าจะมีสักกี่นายกันที่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้
“หัวหน้า อย่ากังวลไปเลย ท่านมิได้เอ่ยว่าหากสงครามครานี้สิ้นสุดได้เร็วเท่าใด ติ้งอันป๋อก็จะลดแรงกดดันได้มากขึ้นเท่านั้นมิใช่หรือ ? ข้าน้อยนับถือติ้งอันป๋ออย่างสุดหัวใจและยอมตายเพื่อเขาได้ ! ”
ซูม่อสูดลมหายใจเข้าลึกและมิได้ให้คำตอบใดออกมา เพียงสั่งการว่า “จงขุดหลุมจุดไฟทำอาหาร กินอิ่มแล้วค่อยว่ากัน ! ”
“ไปนำเนื้อสัตว์ทั้งหมดมาปรุงอาหาร รอให้มืดสนิทกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยออกไปสำรวจ”
“ทหารทุกนายรวมกอง…ข้าจะเอ่ยกับพวกเจ้าอย่างชัดเจนว่าพวกเราต้องเข้ายึดพระราชวังป๋ายจินฮ่านให้จงได้ ! และต้องจับเป็นท่าป๋าเฟิงเท่านั้น ! นี่คือเป้าหมายในการทำสงครามครานี้ ! ”
ซูม่อยืนอยู่เบื้องหน้าทหารที่เหลืออยู่ราวสี่พันนาย จากนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงดังลั่น “เพื่อทำลายแนวป้องกันของฮวงถิง บัดนี้ข้าต้องการหน่วยกล้าตายจำนวน 1,000 นาย ! ต้องการผู้ที่พร้อมสู้ไปจนเฮือกสุดท้ายเพื่อจุดระเบิดขึ้น และพร้อมตายไปกับศัตรู”
“นี่คือความสมัครใจ ข้ามิบังคับและมิกล่าวโทษผู้ใดทั้งสิ้น”
“ผู้ที่สมัครใจออกไปก็ขอให้ย้ายมายืนด้านซ้ายมือ”
ข่งเซี่ยงเป่ยออกไปยืนเป็นคนแรก จากนั้น…ทุกนายก็พากันย้ายไปยืนด้านซ้าย !
ซูม่อตกตะลึงงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นมา “ข้าภูมิใจในตัวพี่น้องทุกคนมากยิ่งนัก ! ”
ข่งเซี่ยงเป่ยหัวเราะร่า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “หัวหน้า พวกข้าเอ่ยแล้วว่าจงมอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่กองที่ห้าเถิด ! ”
“…อืม เยี่ยงนั้นก็ตกลง ข้าจะให้กองที่ห้าเป็นหน่วยกล้าตาย ทุกคนวางใจได้เพราะรายชื่อของพวกเจ้าอยู่ในมือของข้าแล้ว ข้าขอสัญญาไว้ ณ ที่นี้ว่า พี่น้องที่สละชีพในสนามรบ ครอบครัวของพวกเจ้าจะได้รับการดูแลจากติ้งอันป๋อตลอดไป”
“พวกเขาจะมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดี อีกทั้ง…พวกเขาจะรู้สึกเป็นเกียรติแทนพวกเจ้าอย่างแน่นอน เพราะพวกเจ้าคือความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล ! ”
ซูม่อรู้สึกน้ำตาคลอ เขาโบกมือไปมาจากนั้นก็เอ่ยว่า “เอาล่ะ ! มากินข้าวกินปลาให้อิ่มหนำสำราญกันเถิด เมื่อถึงยามจื่อ พวกเราจะเคลื่อนพลเข้าโจมตีทันที ! ”
……
……
ท้องนภามืดมิด
ทว่าดวงไฟในพระราชวังป๋ายจินฮ่านยังคงส่องสว่าง
ท่าป๋าเฟิงนั่งอยู่ในตำหนักวังหลังของจักรพรรดินี
เบื้องหน้าเขามีอาหารแสนประณีตที่เขาโปรดปรานวางอยู่บนโต๊ะหลายอย่าง อีกทั้งยังมีสุราซีซานเทียนฉุนอยู่หนึ่งขวด
แต่เขากลับมิอยากแตะต้องมันเลยสักนิด
น่าอดสู !
ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก !
ข้าถูกทหารดาบเทวะเพียงแค่ 5,000 นายบีบบังคับจนมาถึงขั้นนี้ได้ !
ข้าถูกทหารดาบเทวะจำนวน 130,000 นายหลอกเสียจนหัวหมุน !
ใต้หล้าฟ้าเขียวนี้ผู้ที่ยอดเยี่ยมในการทำสงครามมิใช่ทหารม้าของแคว้นฮวงหรอกหรือ ? เหตุใดทหารดาบเทวะจึงก้าวเข้ามาทั้งอย่างนี้ ? เมื่อทหารชาวฮวงได้ยินนามของดาบเทวะ พวกเขาก็จะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที
ทหารดาบเทวะได้เผชิญหน้ากับสงครามระหว่างชาวฮวงอยู่สามคราด้วยกัน
คราที่หนึ่ง ณ เป่ยเฟิงภูเขาผิงหลิง ทหารจำนวน 20,000 นายของแคว้นฮวงถูกทหารดาบเทวะจำนวน 1,000 นายจัดการจนสิ้น
คราที่สอง ทหารดาบเทวะซุ่มโจมตีแคว้นฮวง ความรวดเร็วของพวกมันดุจสายฟ้าฟาด อีกทั้งยังเผาทำลายคลังเสบียงไปมิน้อย และได้แย่งชิงม้าศึกจากทุ่งเลี้ยงสัตว์ไปเป็นจำนวนมาก
คราที่สาม ทหารดาบเทวะจำนวน 2,000 นายบุกเข้ามาในแคว้นฮวง ยึดมาจนถึงเขาตงเฉิงหลิ่งแห่งฮวงถิง จากนั้นก็ใช้บอลลูนไฟระเบิดทำลายกองสรรพาวุธ
การต่อสู้ในครานั้น นับเป็นคราแรกที่ชาวฮวงสามารถทำลายศัตรูได้จนสิ้นซาก ทว่าราคาที่ต้องจ่ายกลับมหาศาล
และครานี้ นับเป็นคราที่สี่
ในครานี้ทหารดาบเทวะเดินทางมา 130,000 นาย เพื่อต่อสู้กับพวกมัน ข้าได้ระดมพลทหารจำนวน 800,000 นาย อีกทั้งยังทำการป้องกันฮวงถิงเอาไว้อย่างแน่นหนา
ช่างน่าสมเพชเสียจริง !
ฮ่องเต้ตรัสได้ถูกต้องแล้ว ว่าฟู่เสี่ยวกวนสมควรตาย !
เจ้านี่มัน…น่ากลัวยิ่งนัก !
หากเจ้าหมอนี่ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ หากว่าทหารของราชวงศ์อู๋เป็นเยี่ยงทหารดาบเทวะทั้งหมด การที่มันจะทำลายล้างแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
ทว่าบัดนี้มิใช่เวลามาสังหารฟู่เสี่ยวกวนให้ตาย เพราะควรหาวิธีกำจัดทหารทั้งห้าพันนายที่อยู่ด้านนอกกำแพงเมืองนั้นเสียก่อน
ต้องคุ้มกันฮวงถิงไว้ให้มั่นและรอกองทัพดาบสวรรค์กลับมา จากนั้นข้า…จะนำทัพทหารดาบสวรรค์ออกรบด้วยตนเอง !
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ก็มีขันทีน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน
“ทูลฝ่าบาท…ศัตรู ศัตรูบุกโจมตีเมืองอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ยังมิยอมแพ้อีกหรือ ?
ท่าป๋าเฟิงลุกขึ้นยืน จากนั้นก็นำทหารองครักษ์หลายร้อยนายเดินทางมายังกำแพงเมืองชั้นใน
เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดู…
พบว่าทหารดาบเทวะเข้าโจมตีกำแพงเมืองชั้นนอกอีกรอบแล้ว โดยมีพลเรือนยั้วเยี้ยมากมาย พวกมันแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน พวกมันมิสามารถบรรจุกระสุนปืนคาบศิลาได้ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้ จึงทำได้เพียงใช้มีดและดาบเท่านั้น
หากสังหารจนหมด พวกมันคงจะเหนื่อยตายเป็นแน่ !
ท่าป๋าเฟิงกำลังจ้องมองอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็พบว่าทหารดาบเทวะค่อย ๆ ใช้วิชาตัวเบาลอยตัวขึ้นมา หนึ่งนาย สองนาย สิบนาย หนึ่งร้อยนาย…
พวกมันมุ่งหน้ามาทางพระราชวังป๋ายจินฮ่าน พวกมันต้องการทำอันใดกันแน่ ?
ระยะทางไกลถึงเพียงนี้ พวกมันจะสามารถข้ามผ่านมาได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ต่อจากนั้น ท่าป๋าเฟิงก็พบว่าศัตรูรายแรกที่ทะยานลงสู่พื้น โดนดาบพุ่งใส่ในทันใด
มันถูกแทงแต่กลับยังยิ้มขึ้นมาได้ มันบ้าไปแล้วหรือเยี่ยงไรกัน…นี่มิใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ !
ต่อจากนั้นรอยยิ้มของมันก็แข็งทื่อเพราะท่าป๋าเฟิงมองเห็นประกายไฟถูกจุดขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นและมีศัตรูอีกกลุ่มหนึ่งลอยสู่พื้นธรณี พวกมันพุ่งไปเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ขว้างปาอันใดบางอย่างออกมาและตามด้วยเสียงระเบิดดังกัมปนาท…
เป็นเยี่ยงนั้นไปเรื่อย ๆ จนเส้นทางที่เชื่อมต่อมายังพระราชวังป๋ายจินฮ่านโล่งว่าง !
หลังจากนั้นจึงเห็นศัตรูจำนวนมากลอยตัวเข้ามา
ท่าป๋าเฟิงกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาพลันเบิกกว้างเท่าที่จะกว้างได้ จากนั้นก็ตะโกนออกคำสั่งว่า “สกัดกั้นพวกมันเอาไว้ ! ”
เขาเห็นศัตรูลอยตัวมาทางถนนเส้นหลักด้วยความเร็ว และเห็นประกายจากดาบ อีกทั้งยังเห็นอวัยวะร่างกายที่แหลกเป็นชิ้นกระเด็นขึ้นพร้อมโลหิตที่สาดกระจาย
ศัตรูมากมายดาหน้าเข้ามา จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดสนั่นท้องนภา
เขม่าควันลอยคลุ้งไปทั่วทั้งถนนหลัก ยิ่งนานท่าป๋าเฟิงก็ยิ่งถูกฝุ่นควันบดบังจนทำให้มองเห็นทัศนียภาพได้มิชัดเจนนัก แต่เหมือนได้กลิ่นคาวเลือดลอยมาและยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะจนสามารถดับกลิ่นดินปืนได้
‘ตู้ม… ! ’
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครา ทว่าครานี้ดังอยู่ใกล้หูของท่าป๋าเฟิงมากยิ่งนัก รู้สึกได้ว่าพื้นธรณีที่เหยียบย่ำอยู่นั้นสั่นสะเทือนราวกับว่าพระราชวังป๋ายจินฮ่านจะพังทลายอย่างไรอย่างนั้น !
ผู้คนที่อยู่ในพระราชวังจำนวนมากพากันแตกตื่น ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากด้านในกำแพง
ปรากฏลูกศรธนูพุ่งออกไปจากด้านบนกำแพงราวกับห่าฝน
ศัตรูร่วงลงมาจากท้องนภาสู่พื้นธรณี
มีทั้งเสียงปืนและเสียงคำราม อีกทั้งเสียงร้องโหยหวน…
ท่าป๋าเฟิงฉีกยิ้มขึ้นมา ฮึ ๆ ! เยี่ยงไรพวกมันก็มิอาจทำลายแนวป้องกันสุดท้ายนี้ได้อย่างแน่นอน !
หัวใจของซูม่อราวกับมีโลหิตหลั่งริน
กำแพงเมืองของพระราชวังป๋ายจินฮ่านอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว ทว่าลูกศรธนูด้านบนกำแพงกลับคร่าชีวิตของทหารดาบเทวะไปได้มากมาย ส่งผลให้ผู้ที่มีชีวิตอยู่หลายพันนายยากที่จะบุกเข้าไปได้ !
ทหารทั้งกองพลอิสระจะถูกทำลายทั้งอย่างนี้น่ะหรือ ?
ลูกศรธนูดอกหนึ่ง ยิงมาปักเข้าที่ไหล่ของซูม่อ แต่เขากลับมิได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
ท่าป๋าเฟิงวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “จงจัดการพวกมันให้สิ้นซาก…”
เสียงของเขาหยุดชะงักงันทันใดเมื่อรู้สึกว่ามีกระบี่แหลมคมจ่ออยู่บริเวณลำคอ ตามด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนดังขึ้นที่บริเวณใบหู “จงสั่งให้คนของท่านหยุดโจมตี ! ”
นี่คือเสียงของสตรี ยามที่ท่าป๋าเฟิงหันหลังกลับไปมอง จึงพบว่านางใช้ผ้าปิดหน้าเอาไว้
บุรุษชุดเขียวผู้หนึ่งลอยออกมาจากนั้นก็คว้าตัวซูม่อเอาไว้ ก่อนหน้านั้นมีลูกธนูยิงเข้ามาถึงสามดอกและเดิมทีคิดว่าตนคงมิรอดแล้วเป็นแน่ ทว่าบัดนี้ก็ได้เบิกตามองแล้วฉีกยิ้มกว้างออกมา
“ท่านอาจารย์… ! ”