นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 819 สถานการณ์ ( จบ )
ตอนที่ 819 สถานการณ์ ( จบ )
เรือนซีซาน ณ สำนักศึกษาซีซาน
ชุนซิ่วเคาะประตูเรือนของฉินปิ่งจง ทำเคารพแล้วเอ่ยว่า “เรียนท่านอาจารย์ฉิน เรือรบที่สร้างตามคำเสนอแนะของคุณชายจะมีการทดลองแล่นบนน่านน้ำในวันนี้ ท่านอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ ? ”
ฉินปิ่งจงวางหนังสือในมือลง รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าแล้วเอ่ยว่า “ได้ข่าวว่าเรือนั้นเหนือกว่าเรือธรรมดามากนัก ข้าอยากเห็นยิ่งนักว่ามันจะเหนือกว่าเพียงใด ดังนั้นต้องรบกวนแม่นางสักหน่อยแล้ว”
“เชิญท่านอาจารย์เจ้าค่ะ ! ”
ท่ามกลางเสียงท่องตำราในสำนักศึกษาซีซาน ชุนซิ่วช่วยพยุงฉินปิ่งจงขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปยังเขตเหยาทันที
ในยามที่รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนไปตามเส้นทาง ชุนซิ่วก็ได้มองออกไปนอกหน้าต่าง
ในทุ่งนากว้างใหญ่ของภูเขาซีซานนี้ เมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่อู่ต้ายได้รับการเพาะเลี้ยงจากเมล็ดข้าวที่เก็บเกี่ยวเมื่อปีกลาย ซึ่งมันจะถูกส่งไปยังราชวงศ์อู๋ทั้งหมด นางมิรู้ว่าต้นกล้าเหล่านั้นจะเจริญเติบโตที่ทุ่งนาของราชวงศ์อู๋ได้หรือไม่
ทั้งยังมีมันเทศที่ถูกส่งไปราชวงศ์อู๋เมื่อปีที่แล้ว บัดนี้ก็ถึงฤดูที่จะปลูกลงในดินแล้ว พวกมันคงแตกหน่อแล้วฝังรากลึกลงสู่ธรณีของราชวงศ์อู๋เรียบร้อยแล้ว
เรือรบก่อสร้างจนเสร็จสิ้นแล้ว คุณชายต้องกลับไปยังราชวงศ์อู๋ ฮูหยินต่งเอ่ยในจดหมายว่าจะมารับคนทั้งหมดในภูเขาซีซานที่เต็มใจไปยังราชวงศ์อู๋ หากว่าทุกคนเต็มใจ ที่ซีซานแห่งนี้…คงจะเงียบเหงามากยิ่งนัก
“ท่านอาจารย์ฉิน ท่านมีความรู้กว้างไกล บ่าวขอถามสักคำว่าคุณชายนั้น…จะเป็นจักรพรรดิที่ราชวงศ์อู๋จริงหรือเจ้าคะ ? ”
ฉินปิ่งจงลูบเครายาวพลางใช้ความคิด ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “คุณชายของเจ้ามีความสามารถมากยิ่งนัก เขาสู้รบจนได้รับชัยชนะเหนือแคว้นฮวง ทั้งยังสามารถรวมผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ของแคว้นฮวงเข้ากับราชวงศ์อู๋ได้อีกด้วย เจ้าคิดว่าเขาควรเป็นจักรพรรดิหรือไม่เล่า ? ”
ชุนซิ่วเม้มปากแน่น จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก ใช่ ! คนที่มีความสามารถเยี่ยงคุณชายเหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่า…นางรู้สึกใจหายขึ้นมา
ตัวนางคอยปรนนิบัติคุณชายมากว่าสิบปี บัดนี้คุณชายกำลังจะกลายเป็นจักรพรรดิที่สูงส่ง ภาพลักษณ์ที่ยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของนางก็ค่อย ๆ เลือนลางลง…
นางมิได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเพียง 2 ปี เมื่อคืนตนยังฝันถึงลักษณะท่าทางของคุณชายอยู่เลย แล้วเหตุใดบัดนี้ลักษณะท่าทางของคุณชายในความคิดของนางถึงมิชัดเจนเอาเสียเลย ?
ในตอนนั้นเขาเคยเอ่ยว่าอยากเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง
เป็นนายน้อยเจ้าสำราญ !
มีทุ่งนาและพืชไร่ที่อุดมสมบูรณ์ มีอุตสาหกรรมมากมาย ความเป็นอยู่ก็ดีทุกอย่าง มีอาหารให้กินมีน้ำให้ดื่ม… แต่ก่อนเขาเคยเขียนจารึกเรือนซอมซ่อ ในนั้นเอ่ยว่าสรรพสิ่งอย่าดูเพียงรูปภายนอก ทว่าควรดูเนื้อหาแท้จริงที่ซ่อนอยู่ข้างใน แม้บ้านเรือนจะซอมซ่อ หากผู้ที่อยู่ในเรือนคือนักปราชญ์ก็จะมิสามารถสร้างประโยชน์อันใดได้ !
“อาจารย์เจ้าคะ ท่านคิดว่าจำเป็นต้องไล่ตามอำนาจและชื่อเสียงไปชั่วชีวิตหรือไม่ ? ”
“แม่นาง มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในใต้หล้านี้ บางคนทำงานหนักตากแดดและฝนเพื่อที่จะมีอาหารตกถึงท้องครบสามมื้อ บางคนศึกษาเล่าเรียนอย่างสุดกำลังเพื่ออยากมีชื่อเสียง บางคนมีความเจริญและมีความเสื่อมถอยในภายหลัง บางคนปรารถนาที่จะอยู่ในวงการขุนนางขั้นหนึ่ง ทั้งหมดนี้แตกต่างกันตามแต่ละคน”
“แต่ละคนอยู่ในฐานะที่แตกต่างกันไป ความคิดก็ย่อมมิเหมือนกัน อย่างเช่นคุณชายของเจ้า… ที่แต่ก่อนเป็นเพียงบุตรชายของผู้มีชื่อเสียงในหลินเจียง”
“ในตอนนั้นเขาเอาแต่โอ้อวดและทะนงในความมั่งคั่งของตระกูล ทว่าเมื่อตอนต้นของรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เขาก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เหตุผลที่เปลี่ยนไปในตอนนั้นอาจจะเกิดจากต่งชูหลาน
โดยเนื้อแท้ของต่งชูหลาน นางเป็นคุณหนูแห่งจวนเสนาบดี คุณชายของเจ้าดันไปตกหลุมรักนาง ดังนั้นเพื่อที่จะไล่ตามต่งชูหลาน เขาจึงเปลี่ยนลักษณะนิสัยของตนราวกับเป็นคนละคน
การเปลี่ยนแปลงคราใหญ่นี้ แม้แต่คนชราเยี่ยงข้าก็ยากที่จะเชื่อ”
ฉินปิ่งจงหวนนึกถึงเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “จนบัดนี้ข้าก็ยังมิเข้าใจว่าเขาฟื้นคืนชีพได้เยี่ยงไร ? บทกวีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้าพรั่งพรูออกมามิขาดสาย…”
เขาส่ายศีรษะไปมา “นี่คือพรสวรรค์ที่ข้ามิอาจเข้าใจได้ ! ”
“จากนั้นเขาก็ได้เป็นขุนนางและได้เลื่อนขั้นไปเรื่อย ๆ ขอบเขตความรอบรู้ของเขากว้างไกลกว่าตอนที่อยู่หลินเจียงเสียอีก กอปรกับความพิเศษในตัวเขารวมทั้งตัวตนที่แท้จริงของเขาในราชวงศ์อู๋ ดังนั้น…สุดท้ายเขาก็ต้องกลายเป็นจักรพรรดิอยู่ดี”
“นี่คือสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แน่นอนว่าเขาเองก็สร้างสถานการณ์ในตอนนี้ขึ้นมาด้วยเช่นกัน มิสามารถเอ่ยได้ว่าเขาทำเพื่อชื่อเสียงและลาภยศ แต่ควรเอ่ยว่าชื่อเสียงหรือลาภยศเข้าไปหาเขาเองต่างหาก”
ชุนซิ่วนิ่งฟังอย่างตั้งใจ นางรู้สึกว่าคำเอ่ยของฉินปิ่งจงนั้นมีเหตุผลมากยิ่งนัก
อดีตบุตรชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง สามารถใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ราว 3 ปีมาทำให้ฐานะของตนเปลี่ยนไปโดยมิทันตั้งตัว
“เขา…แท้จริงแล้วเป็นคนเกียจคร้านมากยิ่งนัก เมื่อไปยังจินหลิงคราแรก เขามิพอใจที่ต้องตื่นไปเข้าร่วมประชุมราชวงศ์ในยามเช้าตรู่ อาจารย์ฉินเจ้าคะ เมื่อเป็นจักรพรรดิแล้วต้องทำเรื่องเหล่านี้ ทว่าโดยนิสัยของเขาแล้วจะเป็นจักรพรรดิที่ดีได้หรือไม่ ? ”
ฉินปิ่งจงยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยว่า “เมื่อเขาได้นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ และเมื่อเดินไปถึงจุดนั้นแล้ว ภาระหนักอึ้งย่อมตกอยู่บนบ่าของเขาทุกวัน ดังนั้นเขาจะเคยชินไปเอง”
“สำหรับเรื่องที่เขาจะเป็นจักรพรรดิที่ดีได้หรือไม่นั้น…คงเป็นดั่งคำเอ่ยที่ว่า ความคิดของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าย้อนมองประวัติศาสตร์พันปีที่ผ่านมา จักรพรรดิเกือบทุกพระองค์มักทุ่มเทกำลังหมายสร้างแคว้นให้เจริญรุ่งเรือง ทว่าจะมีสักกี่พระองค์กันที่ทำสำเร็จ ? ”
ชุนซิ่วยกมือขึ้นเท้าคาง กะพริบตาแล้วเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ ? ”
“การเป็นจักรพรรดิดูจะเหนือกว่าสรรพสิ่ง ทว่าในความเป็นจริงยังมีขีดจำกัดอยู่อีกมากมาย ข้อคิดเห็นของจักรพรรดิจะต้องดำเนินการผ่านขุนนางส่วนกลาง หากข้าราชบริพารทำตัวต่อหน้าอย่างลับหลังก็ทำอีกอย่าง หรือแม้แต่ใช้อำนาจในทางมิสมเหตุสมผล พระประสงค์ของจักรพรรดิก็มิสามารถดำเนินการได้”
“แม้ว่าฝ่ายจักรพรรดิ ราชสำนักหรือทหารจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ก็ยังสามารถเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากตระกูลขุนนางขึ้นมาได้ เมื่อพระประสงค์ของฝ่าบาทไปขัดผลประโยชน์ของพวกเขา การต่อต้านเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที”
“มีตระกูลขุนนางที่เปี่ยมอำนาจในทุกแคว้น พวกเขามีประวัติมายาวนาน มีวงศ์ตระกูลแตกแยกย่อยไปมากมาย หลายคนที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางในราชสำนักก็จะเกี่ยวดองกับตระกูลผู้มีอำนาจโดยวิธีแต่งงาน พวกเขาเปรียบเสมือนตาข่ายขนาดใหญ่ มิง่ายเลยที่จะทำลาย”
“เช่นเดียวกับตระกูลผู้มีอำนาจทั้งหกในจินหลิงแห่งราชวงศ์หยู เหตุที่ทั้งห้าตระกูลถูกกำจัดก็เพราะว่าพวกเขาก่อกบฏจึงเป็นเหตุผลให้ฮ่องเต้ยึดทรัพย์เพื่อนำไปบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัย มิเช่นนั้นคงเป็นการยากที่จะโค่นล้มตระกูลเหล่านี้ได้”
ใบหน้าของชุนซิ่วตึงเครียดขึ้นมาทันใด ในใจคิดว่าคุณชายไร้พื้นฐานในการเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะถูกเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักก่อความมิสงบแล้วแย่งชิงบัลลังก์ไปหรือไม่ ?
“ราชวงศ์อู๋มีตระกูลผู้มีอำนาจเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ฉินปิ่งจงพยักหน้า “เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจของราชวงศ์อู๋เหนือกว่าราชวงศ์หยูด้วยซ้ำ…” เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ็ดตระกูลผู้มีอำนาจแห่งราชวงศ์อู๋ได้สืบทอดอำนาจและชื่อเสียงมานานนับพันปี อย่างเช่น…อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาของราชวงศ์อู๋ ซึ่งนั่นก็คือตระกูลจัวและหนานกงนั่นเอง สำหรับตระกูลอู๋เดิมทีเป็นตระกูลแรกที่ก้าวสู่ความเป็นผู้นำและสืบทอดมายาวนานมากกว่าพันปีเสียอีก”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ฉินปิ่งจงก็หัวเราะออกมา “สิ่งเหล่านี้อยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับพวกเรา เรื่องนี้เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลไปหรอก”
ใบหน้าของชุนซิ่วยังคงเปี่ยมไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ในใจของนางคิดว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณชาย หากเสาหลักทั้งเจ็ดนั้นล้มลงย่อมส่งผลกระทบต่อคุณชายของนาง !