นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 822 สาธารณูปโภคของเขตปกครองตนเอง
ตอนที่ 822 สาธารณูปโภคของเขตปกครองตนเอง
ชายอ้วนที่ฮ่องเต้เห็นว่าใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล บัดนี้กำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มใจอยู่
เมื่อกลับมาจากเมืองเปียนเฉิงก็ได้รับจดหมายจากฟู่เสี่ยวกวนผ่านสายลับของหอเทียนจีทันที และความกลัดกลุ้มใจของเขาก็ได้บังเกิดจากจดหมายฉบับนี้ !
“หนานกง บุตรชายของข้าเอ่ยไว้ในจดหมายว่าต้องการสร้างระบบสาธารณูปโภคขึ้นที่เมืองเปียนเฉิง แล้วก่อตั้งเมืองนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขายระหว่างราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยู…ยังมีความจำเป็นต้องทำการค้ากับราชวงศ์หยูอยู่หรือ ? ข้าคิดว่าแย่งผืนปฐพีของราชวงศ์หยูมาเสียมิดีกว่าหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่ลอบคิดในใจว่าจักรพรรดิพระองค์นี้ช่างไร้สำนึกเสียจริง !
“ทูลฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าบัดนี้พวกเรามีเงินเหลืออยู่ในท้องพระคลังกี่ตำลึงพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“เรื่องเขื่อนแตกที่อู่หยวนโจวเมื่อเดือนเจ็ดของปีกลายมีราษฎรประสบความเดือดร้อนนับล้านคน ฝ่าบาททรงเห็นพระทัยบรรดาผู้ตกทุกข์ได้ยากจึงยกเลิกการเก็บภาษีที่อู่หยวนโจวเป็นเวลา 3 ปี อีกทั้งยังจัดสรรเงินจำนวน 20 ล้านตำลึงไปบรรเทาทุกข์และซ่อมแซมเขื่อนอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“นอกจากนี้ฝ่าบาททรงใช้เงินมากกว่า 10,000 ตำลึง เพื่ออพยพประชากร 400,000 คนไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียว”
“ตั้งแต่ปีกลายจวบจนบัดนี้ เรื่องการก่อสร้างถนนยังคงดำเนินต่อไปมิขาด ในระยะเวลาหนึ่งปีนี้พวกเราใช้จ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 40 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“นับเพียงค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็ปาเข้าไป 70 ล้านตำลึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่าราชวงศ์อู๋จัดเก็บภาษีได้มิถึง 30 ล้านตำลึงด้วยซ้ำ…ฝ่าบาท ทุกวันนี้เงินในคลังหลวงเหลือเพียงแค่ 20 ล้านตำลึงเท่านั้น หากคิดจะเปิดศึกกับราชวงศ์หยูก็เกรงว่าเงินคงคลังจะว่างเปล่าในบัดดล ถ้ามีภัยพิบัติใดขึ้นมาอีก พวกเราจะผ่านคืนวันเหล่านั้นได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่ต้ากวนตื่นตกใจจนตาเบิกโพลง “เหลือเงินเพียงเท่านั้นเองหรือ ? ”
“หากมิเชื่อ ฝ่าบาททรงตรัสถามเมิ่งฉางผิงเสนาบดีกรมคลังเอาเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงอี้หยู่ทูลอย่างจนปัญญา
ฟู่ต้ากวนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “หรือว่า…ให้ชะงักเรื่องการสร้างถนนเอาไว้ก่อนดี ? ”
หนานกงอี้หยู่รีบโบกมือปราม “ทูลฝ่าบาท การก่อสร้างถนนมิอาจชะงักได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเองเถิดว่าเดิมทีพวกเราเดินทางจากเมืองจิ่นกวนมายังเมืองกวนหยุนใช้เวลาทั้งสิ้นครึ่งเดือน ทว่าบัดนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ช่วยประหยัดเวลาไปได้กว่าครึ่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ตามแผนการเชื่อมต่อถนนที่องค์ชายวางไว้ มิว่าจะเป็นถนนสายตะวันออกไปตะวันตกหรือถนนสายหลักเหนือจรดใต้ล้วนมีความจำเป็นทั้งสิ้น แผนการขององค์ชายได้ชี้กระจ่างให้เห็นถึงความจำเป็นแล้ว อีกทั้งยังได้รับความเห็นชอบในหมู่ราษฎรอย่างกว้างขวาง กระหม่อมเล็งเห็นว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ราชอาณาจักรพ่ะย่ะค่ะ”
ครานี้ชายอ้วนรู้สึกเศร้าสลดยิ่งกว่าเดิม หากต้องการก่อสร้างถนนให้สำเร็จ จากการประเมินรายจ่ายของกรมคลังต้องใช้เงินทั้งสิ้น 1,500 ล้านตำลึง !
ทว่าภาษีที่เรียกเก็บได้ทั้งสิ้นมีเพียง 30 ล้านตำลึงต่อปี หากไร้ภัยพิบัติใดเกิดขึ้น จะเหลือเงินในท้องพระคลังเพียงแค่ 10 ล้านตำลึงต่อปี และถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จะต้องใช้เวลาเก็บเงินนานถึง 150 ปี…!
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก “จะต้องใช้คนกี่รุ่นมาก่อสร้างถนนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ ? ”
“ทูลฝ่าบาท องค์ชายตรัสไว้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ตรัสว่าการลงแรงในครานี้สามารถใช้ประโยชน์ได้นานนับพันปี”
หนานกงอี้หยู่เงียบไปชั่วครู่ จ้องมองไปทางฟู่ต้ากวนแล้วทูลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าหลังจากที่องค์ชายเสด็จกลับมาก็อาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 8 – 10 ปีในการสร้างถนนจนสำเร็จพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่ต้ากวนก็เดือดดาลขึ้นมาทันพลัน “นี่เจ้าหมายความว่าข้าหาเงินมิเป็นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่หัวเราะเฮอะเฮอะ “หรือฝ่าบาทจะทรงหาเงินให้กระหม่อมได้เห็นเป็นบุญตาพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่ต้ากวนแสดงท่าทีพิโรธ แต่กลับมีสภาพมิต่างจากลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกจนแฟบ แม้แต่น้ำเสียงก็แสนจะอ่อนปวกเปียก
“เรื่องเมืองเปียนเฉิงก็หมายความว่า ข้าต้องทำตามที่บุตรชายของข้าเอ่ยเอาไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อเริ่มการค้าเมื่อใด ก็ให้ก่อตั้งสถานีเก็บค่าผ่านทางตรงบริเวณทางขึ้นภูเขาฉีซาน เช่นนี้พวกเราก็จะได้กำไรพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เช่นนั้นก็ทำสถานีเก็บค่าผ่านทางให้มากหน่อย”
“ทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากทุกอย่างต้องทำตามกฎเกณฑ์ขององค์ชาย”
“…”
ก็ได้ ข้าเป็นเพียงจักรพรรดิหุ่นเชิดเท่านั้น !
“บุตรชายของข้าตั้งแคว้นฮวงเป็นเขตปกครองตนเอง เจ้าคิดว่านั่นหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นว่าองค์ชายกำลังใช้ต้นทุนต่ำที่สุดในการบริหารเขตปกครองตนเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทลองตริตรองว่าครานี้องค์ชายมิต้องการเงินจากพวกเราแม้แต่ตำลึงเดียว อีกทั้งยังมิขอขุนนางจากเราไปแม้เพียงคนเดียวอีกด้วย นี่เป็นวิธีที่ปราดเปรื่องที่สุดในการปกครองชาวฮวง ประการแรกคือทำให้เกิดความเสถียรภาพในเขตปกครองตนเอง ประการที่สองคือ…”
หนานกงอี้หยู่แสดงท่าทีลึกลับขึ้นมา “เพราะที่แห่งนั้นเคยเป็นแคว้นมาก่อน ประชากรและทรัพยากรย่อมมีมิน้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่ต้ากวนตาลุกวาวขึ้นมาทันใด “เต็มไปด้วยเงินทองใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ! ”
……
……
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นก็มีแค่เรื่องเงินเรื่องทองเช่นเดียวกัน
เขาก็ออกคำสั่งด้านการปกครองให้ท่าป๋าคังผู้ว่าการเขตปกครองตนเองหลายฉบับ
ฉบับแรก : ให้ก่อตั้งเมืองขึ้นมาในอาณาเขตหลานฉี !
และจงออกแบบเมืองนี้ให้มีขนาดใหญ่กว่าเมืองหลวงดั้งเดิมของอาณาเขตหลานฉี !
การสร้างเมืองใดเมืองหนึ่งจำเป็นต้องใช้แรงงาน ทว่าที่เขตปกครองตนเองยังมีอีกหลายชีวิตที่อดอยากมิใช่หรือ ? ดังนั้นก็ให้พวกเขาเดินทางมาที่หลานฉีเพื่อสร้างเมือง ! ผู้ใดจะมิอยากมาเล่า เนื่องจากมีทั้งข้าวให้กิน อีกทั้งยังได้รับค่าตอบแทนอีกด้วย
ค่าตอบแทนมิได้มากมายอันใดนัก ก็แค่วันละ 10 อีแปะ ทว่าชาวฮวงที่ต้องสูญเสียสัตว์เลี้ยงและเสบียงอาหาร ซ้ำยังต้องเผชิญกับสภาวะอดอยาก ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องค่าตอบแทน เพราะเพียงแค่ให้ข้าวปลาอาหาร พวกเขาก็ยินยอมแล้ว
ฉบับที่สอง คือเขตมู่หยางของรัฐธงเขียวกำลังก่อสร้างนาเกลือ ต้องการแรงงานมากกว่า 10,000 คน พวกเขาจะได้รับการดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและได้รับค่าตอบแทน 10 อีแปะต่อวันเช่นกัน
ฉบับที่สาม การขยายเหมืองแร่ในภูเขาที่รัฐธงเหลืองนั้น ต้องการแรงงานจำนวน 300,000 คน
ฉบับที่สี่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แต่ละรัฐในเขตปกครองตนเองสามารถไปมาหาสู่เมืองยวี่ซิ่วได้ จงดำเนินการตัดถนนผ่านทั้งหกรัฐโดยมีเมืองยวี่ซิ่วเป็นศูนย์กลาง ภารกิจนี้ต้องการแรงงานทั้งสิ้น 3,000,000 คน !
ท่าป๋าเฟิงอ่านคำสั่งทางการปกครองของฟู่เสี่ยวกวนด้วยอารามตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามว่า “เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับผลาญเงินในคลังหลวงจนหมด ! ”
“เรื่องเงินทองต้องนำออกไปใช้มันถึงจะเรียกว่าเงิน หากมัวแต่เก็บไว้ในคลังหลวง มันจะมีสภาพต่างจากเศษเหล็กเยี่ยงไร ? ”
ท่าป๋าเฟิงผงะ “เจ้ามิกังวลเผื่อตอนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วนเลยหรือ อย่างเช่นเกิดการจลาจล หากไร้เงิน ทหารม้าเหล่านั้นจะทำอันใดได้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “ท่านคงมิเคยมองในมุมกลับใช่หรือไม่ ? เงินที่ทุ่มไปเหล่านี้ทำให้ชาวฮวงมีงานทำ มีเสบียงให้กินอีกทั้งยังมีค่าตอบแทนรายวัน ดังนั้นพวกเขาจะก่อจลาจลเพื่ออันใด ? เมื่อพวกเขามิก่อจลาจล เงินสำหรับปราบปรามจลาจลก้อนนี้ก็จะเหลือเก็บมิใช่หรือ ? ”
“แม้แต่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริง ๆ หากอยู่ภายใต้นโยบายเช่นนี้ ก็เป็นเพียงแค่จลาจลขนาดเล็กเท่านั้น เหล่าท่าเอ๋ย มันมิอาจเป็นเหตุการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้หรอก ! ”
เมื่อท่าป๋าเฟิงได้ยินดังนั้นก็จมดิ่งอยู่ในความเงียบเนิ่นนาน เมื่อหาข้อโต้เถียงไม่ได้จึงต้องยอมรับข้อคิดเห็นของฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้าวางใจมอบหมายสำนักผูกขาดเกลือและเหล็กให้ข้าดูแลจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ท่านจงจำไว้ว่าหลักในการเลือกคนของข้าคือเลือกผู้ที่ไร้ความเคลือบแคลงใด ๆ ต่อไปท่านต้องวุ่นอยู่กับงานเพราะนาเกลือมีความสำคัญมากยิ่งนัก ! ส่วนวิธีการผลิตเกลือ ข้าได้เขียนอธิบายให้อย่างละเอียดแล้ว ท่านจงสกัดเกลือตามวิธีที่ข้าได้บอกและทำให้มันเป็นเกลือคุณภาพดีที่สุดบนผืนปฐพีให้ได้…”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน “อย่ามองข้าด้วยสายตาเคลือบแคลงถึงเพียงนี้เลย เมื่อถึงเวลาท่านย่อมรู้เอง ราคาของเกลือจงกำหนดอยู่ที่ 500 อีแปะต่อ 1 จิน จงจำเอาไว้ว่าแม้จะขายดีเพียงใดก็ตาม ห้ามขึ้นราคาเป็นอันขาด ! ”
ท่าป๋าเฟิงมิเข้าใจ “ในเมื่อเป็นเกลือคุณภาพดีที่สุดบนผืนปฐพี แล้วเหตุใดถึงขายเท่าเกลือเขียวกันเล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตอบ “จงทำตามที่ข้าบอกเถิด แล้วท่านจะรู้เอง”
“อีกประการคือเงินที่ได้จากการขายเกลือให้หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วเก็บไว้ที่เขตปกครองตนเองครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งให้ไปส่งไปยังคลังหลวงที่เมืองกวนหยุน ส่วนเหล็กนั้นมิต้องขายเพราะพวกเราจำเป็นต้องก่อตั้งกองสรรพาวุธขึ้นที่นี่ด้วยเช่นกัน”
“ท่านต้องการลูกน้องในสำนักผูกขาดเกลือและเหล็กเท่าใดก็ไปขอกับท่าป๋าคังโดยตรง ทว่าฝ่ายการเงินของสำนัก…หมายถึงผู้ดูแลรายรับรายจ่าย ข้าจะจัดการเอง”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องน้อยใหญ่ที่ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายจนหมดแล้ว ท่าป๋าเฟิงก็เดินทางออกจากเมืองยวี่ซิ่วด้วยความมึนงงทันที
เหลือเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวันที่โต๊ะอักษร เขาใช้พู่กันบรรจงเขียนจดหมายถึงหลี่จินโต้ว
แผนการต่อจากนี้ คือเดินทางไปสำรวจอีกสามรัฐที่เหลือนั่นเอง…