นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 832 หลงใหลเกลือ ( 1 )
ตอนที่ 832 หลงใหลเกลือ ( 1 )
หลี่เจีย บุตรชายคนโตของหลงจู๊ใหญ่หลี่จินโต้วกำลังนั่งอยู่ในสำนักงานใหญ่ของนาเกลือแห่งนี้
เขาเพิ่งเดินทางถึงราชวงศ์อู๋ก็ได้รับจดหมายเรียกตัวมายังเขตปกครองตนเองแห่งนี้จากฟู่เสี่ยวกวน
บัดนี้เขากำลังดีดลูกคิดคำนวณปริมาณของเกลือที่สามารถผลิตได้ต่อวัน
ยิ่งคำนวณก็ยิ่งรู้สึกสะพรึง ยิ่งคำนวณก็ยิ่งรู้สึกนับถือฟู่เสี่ยวกวนผู้เป็นเจ้านาย !
นาเกลือมู่หยางเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อกลางเดือนแปด ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนกว่า ๆ ก็ได้ผลิตเกลือไปแล้ว 900,000 ชั่ง
นี่หมายถึงอันใดน่ะหรือ ?
นี่เปรียบดั่งเงินตำลึงที่กองละลานตา !
เป็นเงินที่ได้มาเร็วเสียยิ่งกว่าการพิมพ์ออกจากธนาคารเสียอีก !
ฟู่เสี่ยวกวนมอบหมายหน้าที่หัวหน้าฝ่ายการเงินให้แก่เขา เขามิเพียงต้องควบคุมดูแลบัญชีของนาเกลือเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่รับผิดชอบการค้าขายเกลืออีกด้วย
ทว่าเขาก็มิอาจเข้าใจได้ เกลือคุณภาพดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงขายราคาเดียวกันกับเกลือสีเขียวกันเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ชี้แจงแถลงไข เขาเพียงฝากเรื่องการขายเกลือเหล่านี้เอาไว้โดยกำชับเพียงแค่ว่าให้ชาวฮวงนำวัว แกะ หรือม้ามาแลกเปลี่ยน หลี่เจียคุ้นชินกับการชี้นิ้วสั่งโดยมิอธิบายอันใดจากอีกฝ่ายไปแล้ว
ส่วนข่าวที่ว่านาเกลือมู่หยางสามารถใช้วัว ม้า และแกะมาแลกได้ ถูกเผยแพร่โดยผู้ปกครองระดับท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ครึ่งเดือนก็ถูกแลกเกลือไปแล้วทั้งสิ้น 200,000 ชั่ง โดยอัตราแลกเปลี่ยนของแกะอยู่ที่เกลือ 3 ชั่งต่อแกะ 1 ตัว ส่วนวัวอยู่ที่ 10 ชั่งต่อ 1 ตัว ในตอนนี้นาเกลือจึงมีแกะทั้งสิ้น 40,000 ตัวและวัวอีก 8,000 ตัว !
เมื่อหกวันก่อน เขาจัดการให้คนแบ่งวัวและแกะส่งไปที่เมืองการค้าซินโจวและหลานฉีตามลำดับ ซึ่งบัดนี้เมืองทั้งสองได้กลายเป็นสถานที่รวบรวมผู้ค้าขายจำนวนมากไปแล้ว
ชาวหยู ชาวอี๋ รวมทั้งชาวอู๋ชอบบริโภคเนื้อแกะเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนเนื้อหมูมีรสชาติมิน่าพิสมัยมากนักราคาจึงตกต่ำ ส่วนใหญ่จะเป็นคนยากจนเท่านั้นที่ซื้อมาบริโภค
สิ่งที่ส่งไปเมืองการค้าทั้งสองยังมีเกลือขาวอีก 500,000 ชั่ง !
หลี่เจียมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า วัวและแกะเหล่านี้จะสามารถขายหมดได้อย่างรวดเร็ว
ด้านปริมาณผลผลิตของนาเกลือยังเพิ่มขึ้นและมากขึ้นในทุกวัน เจ้านายได้คาดการณ์เอาไว้ว่า แรงงานจำนวนมหาศาลจะสามารถผลิตเกลือต่อวันได้ที่ 80,000 ชั่ง… รายได้ต่อวันจะอยู่ที่ 40,000 ตำลึงซึ่งรายได้ต่อปีก็จะเป็น…15,000,000 ตำลึง !
แล้วค่าใช้จ่ายประจำของนาเกลือเล่า ?
ทุกวันนี้แรงงานมีค่าตอบแทนต่อคนอยู่ที่ 10 อีแปะ แรงงานมีทั้งสิ้น 10,000 คน ดังนั้นค่าแรงต่อวันจะอยู่ที่ 100 ตำลึง… แต่เงินส่วนนี้มิจำเป็นต้องนำไปคำนวณรวมกันก็ได้…เพราะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อหลี่เจียทำบัญชีเสร็จก็ยิ่งรู้สึกหมดคำเอ่ย
นี่มันมิต่างอันใดกับการขุดเจอเหมืองทองเลยนี่ !
ทุกแคว้นบนผืนปฐพีนี้ล้วนมีรายได้จากเกลือและเหล็กเกินครึ่งของทั้งหมด เหตุที่แคว้นฮวงประสบความยากจนข้นแค้นในอดีตก็เพราะที่แห่งนี้ผลิตเกลือมิได้ !
หากมิใช่เพราะพวกเขาเป็นเลิศในด้านการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภค ก็แทบจะเป็นไปมิได้เลยที่จะถูกสถาปนาเป็นแคว้น
ตามการเรียกเก็บภาษีของราชวงศ์หยูในแต่ละปีจำนวนภาษี 10,000,000 ตำลึงมาจากเกลือและเหล็ก เมื่อจำแนกระหว่างเกลือและเหล็กก็จะพบว่าเกลือมีอัตราการเสียภาษีเกินกว่าครึ่ง หมายความว่าภาษีที่เก็บจากเกลือมีจำนวน 7,000,000 ตำลึง ส่วนอีก 3,000,000 ตำลึงคือเหล็ก…และนั่นก็เป็นรายได้จากเกลือทั่วราชอาณาจักร !
แต่นาเกลือเพียงแห่งเดียวของเขตปกครองตนเองนี้ สามารถทำรายได้เท่ากับปริมาณการส่งภาษีเกลือทั้งหมดของราชวงศ์หยู !
ยังมีอุตสาหกรรมอีกหลายอย่างที่อยู่ในมือของตระกูลหลี่ เมื่ออุตสาหกรรมเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการผลิตเมื่อใด ภาษีที่เขตปกครองตนเองจะสามารถเรียกเก็บได้ย่อมมีปริมาณมากกว่าจำนวนภาษีของราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน
เฮ้อ…
หลี่เจียถอนหายใจยาวออกมา เกลือขาวคุณภาพดีหากขายในราคา 800 อีแปะ คนก็ยังแย่งกันซื้อเลยด้วยซ้ำ นี่เท่ากับว่าขาดทุนไปถึง 300 อีแปะ ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง
ในขณะที่เขากำลังถอนหายใจอยู่นั้น ท่าป๋าเฟิงผู้เป็นหัวหน้าสำนักผูกขาดเกลือและเหล็กก็เดินเข้ามาพอดี
ทั้งสองรู้จักกันเกือบหนึ่งเดือนแล้ว จึงมีท่าทีสบาย ๆ ต่อกัน
“หลงจู๊หลี่ เหตุใดจึงมานั่งถอนหายใจเยี่ยงนี้เล่า ? ”
หลี่เจียส่ายศีรษะ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความสงสัย “ใต้เท้า ท่านคิดว่าเหตุใดติ้งอันป๋อถึงขายเกลือคุณภาพดีในราคาเดียวกันกับเกลือสีเขียวล่ะ ? ”
ท่าป๋าเฟิงครุ่นคิดชั่วครู่แล้วตอบว่า “หากขายแพงเกินไปก็คงมิใช่เรื่องดีสำหรับราษฎร”
เมื่อหลี่เจียลองตริตรองดู ก็เห็นว่าเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลมากยิ่งนัก
ทุกวันนี้แกะ 1 ตัวสามารถแลกเกลือได้ 3 ชั่ง หากเกลือนี้ขายอยู่ที่ 800 อีแปะจริงก็จะสามารถแลกเกลือได้เพียง 2 ชั่งเท่านั้น
“ติ้งอันป๋อคงเห็นอกเห็นใจราษฎร การทำเช่นนี้แม้จะส่งผลเสียต่อรายได้ของเขตปกครองตนเอง แต่ก็ทำให้ราษฎรมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ ข้าเข้าใจดี”
แม้ปากของท่าป๋าเฟิงจะเอ่ยว่ามิยอมรับความเก่งกาจของฟู่เสี่ยวกวน ทว่าเขาก็ได้มอบความซื่อสัตย์และภักดีต่อฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว เขาได้รับความไว้วางใจจากฟู่เสี่ยวกวนให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักผูกขาดเกลือและเหล็ก เขาย่อมจะปฏิบัติหน้าที่อย่างขะมักเขม้น…
ข้าเคยเป็นจักรพรรดิที่ทำให้แคว้นพังพินาศ แล้วตำแหน่งหัวหน้าสำนักผูกขาดนี้ข้าจะทำได้ดีใช่หรือไม่ ?
แน่นอนว่าท่าป๋าเฟิงมิเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาจึงทุ่มเทแรงใจแรงกายอย่างสุดความสามารถเพื่อนาเกลือแห่งนี้
เมื่อมีเขาคอยดูแลแรงงาน 10,000 คนจึงลดปัญหาไปได้มากโข เพราะเยี่ยงไรเสียเขาก็เคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน อีกทั้งตระกูลท่าป๋าก็ถือเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ชาวฮวงอีกด้วย
ดังนั้นการสร้างนาเกลือจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเขาก็ได้สกัดเกลือตามที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนอธิบายไว้ทุกขั้นตอน เขาคัดเลือกชาวฮวงที่มีไหวพริบดีแล้วนำวิธีการของฟู่เสี่ยวกวนมาปรับใช้เพื่อทำให้ปริมาณเกลือเพิ่มพูนมากขึ้นและมากขึ้น เขาเชื่อว่าเมื่อแรงงานฝึกฝนการผลิตเกลือได้ช่ำชองเมื่อใด เมื่อนั้นย่อมสามารถผลิตเกลือได้ 80,000 ชั่งต่อวันตามที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดหวังให้เป็นจริงได้
บัดนี้ข้ารู้สึกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถึงข้าจะควบคุมชาวฮวง 80,000,000 คนมิสำเร็จ แต่ข้าก็ดูแลชาวฮวง 10,000 คนนี้ได้ดีเกินคาด
แต่ละคนเชื่องราวกับแกะขนปุย เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน 10 อีแปะและอาหาร 3 มื้อ
“เมื่อครบหนึ่งปี ข้าวางแผนจะรับคนงานเพิ่มอีก 10,000 คน” ท่าป๋าเฟิงจัดแจงต้มชาแล้วเอ่ยกับหลี่เจีย “จำต้องขยายขนาดอีกหนึ่งเท่าเพื่อขยายธุรกิจค้าเกลือให้ใหญ่ขึ้น…”
ยังมิทันสิ้นเสียง ภายในสำนักงานก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามา เขามีนามว่าท่าป๋าตัวและบัดนี้สีหน้าของเขาก็เปี่ยมไปด้วยอารามตื่นเต้น
“ท่านลุงรอง รวยแล้ว พวกเรารวยแล้ว… ! ”
ท่าป๋าเฟิงชักสีหน้า จากนั้นก็จ้องมองท่าป๋าตัวด้วยใบหน้าน่าเกรงขาม “อายุกี่สิบปีแล้ว เหตุใดยังทำตัวมิเรียบร้อยอีก… อย่าบอกนะว่าวัว แกะ และเกลือที่ส่งไปขายยังเมืองการค้าหลานฉีถูกซื้อไปจนหมดเกลี้ยงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ท่าป๋าตัวอายุปาเข้าไป 40 ปีแล้ว เขาคือผู้ที่นำวัว แกะ และเกลือเดินทางไปขายยังเมืองการค้าหลานฉีนั่นเอง
เขาพยักหน้ารับหงึกหงัก “ท่านลุงรอง หลงจู๊หลี่ พวกท่านคงมิอาจคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นเยี่ยงไร เมื่อพวกเรานำเกลือออกไปวางขาย แล้วป่าวประกาศได้มิทันไรก็ถูกล้อมจนแน่นขนัด ! ”
“จนทำให้ผู้ค้าขายชาวอี๋พากันอิจฉาริษยาจนตาแทบจะลุกเป็นไฟ ! ”
“พวกเขามิเชื่อว่าสิ่งขาว ๆ ปานหิมะนี้คือเกลือ เมื่อเห็นดังนั้นข้าจึงหยิบให้พวกเขาชิม เมื่อพวกเขาชิมเสร็จก็ยิ่งบ้าคลั่งกันไปใหญ่”
“เมื่อข้าประกาศว่าเกลือขาวมีราคาเท่ากับเกลือสีเขียวคือขายที่ราคา 500 อีแปะต่อ 1 ชั่ง พวกเขาก็โหมเบียดเสียดเข้ามาจนแผงค้าเกลือเกือบจะพัง ! ”
“เกลือ 100,000 ชั่งถูกขายจนหมดเกลี้ยงในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา ! ”
“อีกทั้งยังมีพ่อค้าชาวอี๋ผู้หนึ่งซื้อเกลือ 20 ชั่งที่เตรียมไว้สำหรับชิมกลับไปด้วย ! ”
ท่าป๋าเฟิงรู้อยู่แล้วว่าเกลือนี้จะต้องขายดีอย่างแน่นอน แต่คาดมิถึงว่าจะขายดีถึงเพียงนี้
เขาเข้าใจถึงความเป็นเลิศของเกลือชนิดนี้ เกลือขาวมีรสชาติบริสุทธิ์ ไร้สิ่งเจือปน มิเหมือนเกลือทะเลสาบสีเขียวที่มีรสชาติหนักไปทางขมฝาด เมื่อเทียบคุณภาพก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ไหนเล่าเงินที่ขายได้ ? ”
ท่าป๋าตัวกลืนน้ำลายหนึ่งอึกแล้วตอบว่า “ข้ารีบกลับมาแจ้งข่าวดีให้พวกท่านทราบ ก่อนออกเดินทางกลับแกะและวัวพวกนั้นยังขายมิหมด คาดว่าบัดนี้เงินคงอยู่ในระหว่างการขนย้ายมา”
เมื่อนึกถึงเงินกองพะเนินเทินทึก ท่าป๋าเฟิงก็เริ่มนั่งมิติดที่ เขาลุกพรวดขึ้นมาแล้วเอ่ยกับหลี่เจียว่า “หลงจู๊หลี่ ข้าคิดว่าพวกเราควรขยายขนาดนาเกลือเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ท่านคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
หลี่เจียเองก็ตื่นเต้นจนออกนอกหน้า และย่อมเห็นด้วยกับท่าป่าเฟิง
“เช่นนั้นก็ทำตามที่ใต้เท้าท่าป๋าเอ่ยมาเถิด ! ”