นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 833 หลงใหลเกลือ ( จบ )
ตอนที่ 833 หลงใหลเกลือ ( จบ )
ขบวนของเผิงยวี๋เยี่ยนทำการแลกเปลี่ยนเกลือได้อย่างราบรื่น
เมื่อพวกนางได้เกลือมาแล้ว พวกนางมิได้เดินทางกลับไปยังเขตเหนือแต่อย่างใด แต่กลับเดินทางไปยังเมืองการค้าซินโจวแทน
พวกนางยังมิรู้ว่าบัดนี้เมืองการค้าซินโจวกำลังปรากฏเหตุการณ์หลงใหลคลั่งไคล้เกลือขาวมากเพียงใด !
ในขณะเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้รับข่าวด่วนจากเมืองการค้าซินโจวและเมืองการค้าหลานฉี
เขาก้มหน้าอ่านรายงานสองฉบับแล้วยิ้มกว้างออกมา จากนั้นจึงส่งต่อให้ท่าป๋าคัง
“ดูเหมือนว่าขั้นตอนแรกจะกลายเป็นจริงแล้วสินะ ต่อไปเกลือขาวจะถูกส่งให้ทั้งสองตลาดมิขาดสาย ปัญหาทางการเงินของเขตปกครองตนเองก็ได้รับการแก้ไขในเบื้องต้นแล้ว อืม…ปีหน้าต้องดีกว่านี้อย่างแน่นอน”
เมื่อท่าป๋าคังอ่านรายงานทั้งสองฉบับจนจบแล้ว ก็พลันตกตะลึงขึ้นมาเพราะเกลือจำนวน 100,000 ชั่งถูกซื้อจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา !
อีกทั้งยังมีผู้ค้าขายจำนวนมากตั้งหน้าตั้งตารอคอยเกลือรอบต่อไปที่จะนำออกมาจำหน่าย !
ห้างร้านและบ้านเรือนที่เมืองการค้าทั้งสองแห่งถูกจับจองจนหมดภายในวันเดียว… ราวกับว่าเหล่าผู้ค้าขายต้องการลงหลักปักฐานทั้งสองเมืองนี้เพื่อเกลือ
ด้วยการเข้ามาอาศัยของผู้ค้าขายเหล่านั้น ทั้งสองเมืองนี้จึงเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
นอกจากตลาดค้าขายแล้ว ร้านรวงในตรอกซอกซอยต่าง ๆ ก็ทยอยเปิดแล้วเช่นกัน ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งสองเมืองนี้จะต้องกลายเป็นเมืองสำคัญทางการค้าในปีหน้าอย่างแน่นอน !
ท่าป๋าคังรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งนักเมื่อได้อ่านข่าวนี้ เขารู้สึกราวกับเห็นหอน้ำชา ร้านอาหาร โรงงานทอผ้า และบ้านเรือนสีทองมากมายผุดขึ้นมาในสายตา
สิ่งที่จะตามมาก็คือการเก็บภาษี ซึ่งมิใช่แค่การเก็บภาษีจากเกลือและเหล็กอีกต่อไปแล้ว !
ร้านรวงเหล่านั้นก็ต้องจ่ายภาษีด้วยเช่นกัน หากเมืองการค้าทั้งสองแห่งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเมืองสำคัญทางการค้าแล้วจริง ๆ มันจะเพิ่มจำนวนภาษีให้เขตปกครองตนเองได้มากเพียงใดกัน ?
“ขั้นตอนต่อไป พวกเราต้องขยายขนาดของนาเกลือ เหตุผลหลักก็เพื่อเพิ่มรายได้ให้ส่วนราชการ ท่านจงจำเอาไว้ว่ารายได้ของส่วนราชการ 3 ปีต่อจากนี้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ให้นำไปสร้างถนน 3 ส่วน นำไปลงทุนในการก่อสร้างโรงงาน 3 ส่วน อีก 3 ส่วนให้นำไปก่อสร้างสำนักศึกษาและเป็นค่าจ้างอาจารย์ผู้สอน เหลืออีก 1 ส่วนสุดท้ายให้นำส่งคลังหลวงแห่งราชวงศ์อู๋”
“อีกเหตุผลคือยังต้องทำให้ราษฎรทั้งหลายร่ำรวยขึ้นมา แผนพัฒนาทั้งหกรัฐคือภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงของส่วนราชการ ! ”
“มีเพียงแค่การทำให้แผนงานถูกปฏิบัติได้จริงเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้ราษฎรร่ำรวยขึ้นมาได้… เหล่าคังเอ๋ย การทำให้ราษฎรร่ำรวยเป็นหน้าที่ของพวกเรา ! ท่านจงนำความคิดนี้ไปเผยแพร่ต่อลูกน้องใต้บัญชาของท่าน หากมีผู้ใดขัดขืนมิเชื่อฟัง…”
ฟู่เสี่ยวกวนจิบชา ทว่าสีหน้ากลับเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันใด “เท่ากับว่าเป็นปรปักษ์ต่อข้า ! หากท่านมิยอมลงมือด้วยตนเองแล้วหลุดมาถึงมือข้าเมื่อใด มันผู้นั้นจะต้องจบมิสวยเป็นแน่”
ท่าป๋าคังรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา จึงตอบกลับอย่างรีบร้อนว่า “องค์ชายได้โปรดวางพระทัย บัดนี้สำนักงานควบคุมและตรวจตราถูกก่อตั้งเรียบร้อยแล้ว หากมีปลาเน่าโผล่มาจริง ๆ กระหม่อมย่อมตัดศีรษะมันเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ต้องใช้ไม้แข็งรับมือกับความโกลาหล ให้จับพวกที่คดโกงมาเชือดไก่ให้ลิงดู หน่วยราชการถึงจะขาวสะอาด เมื่อฝ่ายราชการขาวสะอาดก็ย่อมเกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูงสุด ข้าราชการทั้งหมดต้องทำเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง มิใช่เพื่อหวังเงินทอง และมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้ผืนปฐพีนี้เบ่งบานขึ้นมาอีกครา ! ”
……
……
ฝนแห่งฤดูใบไม้ร่วงกระทบกับพื้นธรณี จนเกิดเสียงดังเปาะแปะ
ขบวนของเผิงยวี๋เยี่ยนเดินทางผ่านด่านภูเขาเยี่ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว… ทุกวันนี้ด่านภูเขาเยี่ยนเหลือเพียงนามเท่านั้น แนวกำแพงป้องกันเขตชายแดนแห่งนี้จะมิถูกปิดกั้นอีกต่อไป เพราะสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนไปแล้ว
บนกำแพงเมืองยังคงมีรอยกระสุนประดับให้เห็น อีกทั้งยังมีธงที่ขาดวิ่นปลิวไสวอยู่ท่ามกลางสายฝน
นางเงยหน้าขึ้นไปมองเพียงครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นก็มิเหลียวมองอีกเลย คนทั้งขบวนเดินทางผ่านด่านภูเขาเยี่ยนและมาถึงเมืองซินโจวในตอนค่ำของวันเดียวกัน
เมืองซินโจวที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มิมีความสง่าเฉกเช่นแต่ก่อน แม้แต่กำแพงเมืองก็มิเหลือซากให้พบเห็น ไร้ซึ่งเงาของทหารเวรยามหน้าประตูเมือง
เมืองซินโจว…มิใช่เมืองที่มีไว้ป้องกันข้าศึกอีกต่อไป !
พวกนางกางกระโจมพักแรมข้ามคืนอยู่นอกเมือง…วัวและแกะทุกตัวถูกแลกเปลี่ยนเป็นเกลือทั้งหมดแล้ว ดังนั้นพวกนางจึงมิมีเงินติดตัวแม้แต่อีแปะเดียว !
หยูติ้งชานและพี่น้องทั้งสองเดินออกจากกระโจม พลางทอดสายตาจ้องมองเมืองท่ามกลางหยาดฝนโปรยปราย จากนั้นเขาก็หันไปถามมารดาว่า “นี่คือเมืองที่ท่านตาเคยอาศัยอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนพยักหน้ารับ
“พวกเราเข้าไปดูกันดีหรือไม่ขอรับ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบบุตรของนางว่า “พวกเจ้าไปเถิด แม่ต้องเฝ้าเกลือพวกนี้เอาไว้”
คูฉานเองก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ เขาจึงเข้าไปเที่ยวเตร่ในเมืองแปลกใหม่แห่งนี้กับเหล่าคนหนุ่มด้วย
เดิมทีเขาคิดว่าเมืองแห่งนี้จะรกร้างไปสักระยะหนึ่ง เพราะเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ คงมีผู้คนให้เห็นบางตา แต่ในความเป็นจริงเมืองนี้กลับมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างคาดมิถึง !
แม้ฝนจะนำความหนาวเหน็บมาเยือน แต่ผู้คนก็ยังคงเดินขวักไขว่อยู่ตามตรอกซอกซอย
ร้านรวงส่วนใหญ่ในตลอดสองข้างทางก็ได้เปิดกิจการแล้ว
กลิ่นหอมเย้ายวนของอาหารโชยฟุ้งในอากาศ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของสุราเจือจางลอยมาตามสายลม เสียงผู้คนสนทนากันดังเซ็งแซ่ เมื่อฟังอย่างตั้งใจก็พบว่าหัวข้อสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการค้า และหัวข้อที่ผู้คนเอ่ยถึงมากที่สุดก็คือเกลือ !
“เกลือขาวนั้นดีเลิศอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายยิ่งที่ข้ามิอาจแย่งซื้อมาได้สำเร็จ เฮ้อ… ! ”
“เกลือขาวนั้นราคา 500 อีแปะต่อ 1 ชั่ง หากลักลอบนำเข้าไปขายในราชวงศ์หยู อย่างน้อยก็จะขายได้ 800 อีแปะต่อ 1 ชั่ง ได้กำไรเห็น ๆ ฮึ ๆ ๆ ข้าค้าขายมานานหลายปีแต่นี่เป็นคราแรกที่ได้เห็นเกลือขาวเลยล่ะ”
“เล่าลือกันว่าเกลือขาวนี้เป็นติ้งอันป๋อที่คิดค้นขึ้นมา พวกเจ้าว่าของดีถึงเพียงนี้ เหตุใดติ้งอันป๋อถึงขายเพียงแค่ 500 อีแปะเท่านั้นล่ะ ? ”
“สิ่งที่ติ้งอันป๋อต้องการคือปริมาณ พวกเจ้าลองคิดดูเถิด เกลือ 100,000 ชั่งถูกขายจนหมดภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา ต่อไปคงทุ่มปริมาณการผลิตมากกว่าเดิม จงอย่ารีบร้อนไปเลย เมื่อข้าซื้อร้านที่เมืองซินโจวได้เมื่อใด ข้าจะทำการค้าเกลือนี่แหละ”
“สิ่งที่เจ้าเอ่ยมิถูกต้องนัก ภายในหนึ่งวันนาเกลือสามารถผลิตเกลือได้สักเท่าใดกันเชียว ? ได้สักสองถึงสามหมื่นชั่งก็ถือว่ามากโขแล้ว เกลือขาวขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเยี่ยงนี้ เหตุใดต้องเพิ่มปริมาณด้วยเล่า ? ต่อให้ขาย 800 อีแปะต่อ 1 ชั่ง ข้ากล้าเอาศีรษะเป็นประกันเลยว่าจะต้องถูกแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่อึดใจเป็นแน่ หากนำไปขายในแหล่งคนรวยเช่นเมืองจินหลิงหรือเขตเหนือและใต้ของแม่น้ำแยงซี จะขายสัก 1 ตำลึงต่อ 1 ชั่งก็คงมิมีปัญหา เช่นนั้นแล้ว…ข้าก็มิรู้ว่าติ้งอันป๋อคิดการใดอยู่ ทว่าสำหรับผู้ค้าขายเยี่ยงเรานี่ถือเป็นเรื่องดี…”
คนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านกลุ่มของคูฉานเข้าไปยังร้านสุราแห่งหนึ่ง คูฉานย่อมได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังถกเถียงกัน และมิอาจเข้าใจถึงสาเหตุที่ว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงได้กำหนดราคาเยี่ยงนี้… เจ้าหมอนั่นร่ำรวยจนมิแยแสเงินส่วนต่างเพียงแค่ 300 อีแปะแล้วสินะ
เนื่องจากมิมีเงินติดตัวแม้แต่อีแปะเดียว ยามที่ทุกคนเดินชมด้วยตากันจนพอใจแล้วจึงกลับไปที่กระโจมทันที เมื่อไปถึงก็พบว่ามีผู้คนล้อมหน้าหลังเสียเต็มกระโจม
เกิดอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?
หรือพวกเขามาลักขโมยกัน ?
พวกคูฉานรีบรุดเข้าไปในทันใด เมื่อไปถึงก็ได้ยินเสียงอ้อนวอนต่อเผิงยวี๋เยี่ยนว่า “ท่านขอรับ 600 อีแปะได้หรือไม่ ? ข้าให้ 600 อีแปะต่อ 1 ชั่ง ข้าจะเหมาเกลือทั้งหมดที่ท่านมีเลยขอรับ ! ”
พ่อค้าอีกรายให้ราคาสูงกว่า “ข้าให้ 650 อีแปะต่อ 1 ชั่ง ข้าก็จะเหมาทั้งหมดเช่นกัน ! ”
“ข้าให้ 700 อีแปะ ! ”
“ข้าให้ 750 อีแปะ ! ”
“ข้าให้ 800 อีแปะ หากให้แพงกว่านี้เจ้าก็เอาไปเลย ! ”
สองพ่อค้าสู้ราคากันราวกับพ่อไก่ ทั้งสองคนหน้าแดงก่ำเพราะไม่มีใครยอมใคร
บัดนี้ราคาพุ่งสูงถึง 800 อีแปะ พ่อค้าร่างผอมปิดปากเงียบสนิทและจ้องเขม็งด้วยสีหน้ามาดร้ายใส่พ่อค้าร่างอ้วน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วทำท่าลูบแขนเสื้อ “เจ้าอ้วนเฉียน เจ้ามันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ! ”
พ่อค้าร่างผอมนำกลุ่มผู้ติดตามของตนจากไปด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด เจ้าอ้วนเฉียนส่งยิ้มให้กับเผิงยวี๋เยี่ยน แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านขอรับ 800 อีแปะต่อ 1 ชั่ง ราคานี้คงเหมาะสมแล้ว”
เผิงยวี๋เยี่ยนจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วตอบกลับไปเพียงแค่สองคำว่า “มิขาย ! ”