นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 836 หิมะโปรยปรายอีกครา
ตอนที่ 836 หิมะโปรยปรายอีกครา
รัชศกเทียนเต๋อปีที่หนึ่ง วันที่สิบสาม เดือนหนึ่ง ยามอิ๋น
พายุที่โหมกระหน่ำในที่สุดก็อ่อนกำลังลง ปรากฏหิมะโปรยปรายราวกับขนห่านร่วงหล่นลงมาจากท้องนภา
ณ เรือนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนทางทิศตะวันออกในเขตตงเฉิงของเมืองกวนหยุนได้ปรากฏแสงไฟสว่างโร่ขึ้นมาในลาน เฉินซูหยวนเปิดประตูห้องนอนออกมา เขาถูกความหนาวเหน็บจากลมหิมะบุกโจมตีทันพลัน ร่างของเขาสั่นเทิ้มเพราะความหนาวเหน็บ สองมือกระชับเสื้อคลุมให้แน่นจากนั้นก็ถอยร่นกลับเข้าห้องแล้วปิดประตูลงดังเดิม
“ไปนำเครื่องแบบขุนนางของข้ามาประเดี๋ยวนี้… ให้ห้องครัวต้มซุปเส้นใหญ่มาให้ข้าด้วย อากาศเย็นยะเยือกพร้อมจะคร่าชีวิตของผู้คนไปได้ทุกเมื่อ ! ”
“นายท่าน ยังเหลือเวลาอีก 1 ชั่วยามกว่าจะเริ่มประชุมราชสำนักมิใช่หรือ นายท่านมีกิจรีบร้อนอันใดเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
เฉินซูหยวนเพิ่งรับอนุภรรยาคนใหม่เมื่อปีกลาย นางชื่อเยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์เป็นอดีตโสเภณีดาวรุ่งแห่งหลิวหยุนถาย นางเลิกผ้าห่มออก จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำแล้วเดินไปหยิบเครื่องแบบขุนนางออกมาอังไฟกับเตาผิงพลางเบนศีรษะไปทางเฉินซูหยวน แล้วเอ่ยต่อว่า “แต่ก่อนมิเห็นนายท่านจะรีบร้อนเลยนี่ รอจนย่ำรุ่งแล้วค่อยออกเดินทางเถิด… หรือว่าจักรพรรดิน้อยพระองค์ใหม่จะทรงเข้มงวดกวดขันมากกว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนกันเจ้าคะ ? ”
“หุบปาก ! ”
“มิมีน้อยใหญ่อันใดทั้งสิ้น เอ่ยวาจาระวังฐานะของตนด้วย ! ”
คำตำหนิของเฉินซูหยวนทำเอาเยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์ขวัญกระเจิง นางอ้าปากค้างด้วยอารามตกตะลึง แต่ก็มิกล้าเอ่ยคำใดออกมาอีก
แต่ไหนแต่ไรนายท่านมิเคยขึ้นเสียงใส่นางเลยสักครา ทว่าตั้งแต่ที่จักรพรรดิพระองค์นี้ขึ้นครองบัลลังก์ นายท่านก็ดูอารมณ์มิค่อยสุนทรีย์สักเท่าใดนัก แต่ก็ยังมิเคยเข้มงวดกับนางถึงเพียงนี้
ทุกวันนี้นายท่านเป็นอันใดไปเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เจ้าจงจำเอาไว้ว่า มิว่าจะในหรือนอกเรือน จงอย่าเรียกพระองค์ว่าจักรพรรดิน้อยเป็นอันขาด พระองค์มีพระนามว่าจักรพรรดิเต๋อจง ! ”
เฉินซูหยวนถลึงตาใส่เยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์แล้วเอ่ยต่อว่า “โจวถงถงเลี้ยงสุนัขเอาไว้นับมิถ้วน หากเจ้าถูกสุนัขพวกนั้นกัดเข้าเมื่อใด…อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ชื่อหลางเยี่ยงข้าก็จะได้รับผลร้ายตามไปด้วย ! ”
เยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์เบ้ปาก จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินซูหยวนถอนหายใจออกมาช้า ๆ “รู้แล้วก็ดี จักรพรรดิเต๋อจงพระองค์นี้มิธรรมดา พระองค์มีพระปรีชาสามารถ มิได้โง่เขลาเยี่ยงจักรพรรดิอู๋”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง อยู่ ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เทศกาลหยวนเซียวใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว วันนี้เจ้าจงติดตามฮูหยินใหญ่ไปจินยู่หม่านถางเพื่อเลือกเครื่องประดับหยกล้ำค่ากลับมา”
เมื่อเยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น “ขอบพระคุณนายท่าน”
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ? ข้ามิได้ซื้อให้เจ้าสักหน่อย ! ”
เยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์หุบสีหน้าเบิกบานลงทันใด จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความคับแค้นใจว่า “หรือว่านายท่านมีสตรีคนใหม่เยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
“สตรีคนใหม่กับผีสิ ! จักรพรรดิเต๋อจงเพิ่งเสวยราชสมบัติ พระองค์ทรงมี..สตรี 10 นางที่ยังมิถูกสถาปนาฐานันดรศักดิ์ ! ฮูหยินใหญ่ได้คบค้าสมาคมกับทางจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย แน่นอนว่าฮูหยินของท่านอัครมหาเสนบดีฝ่ายซ้ายได้รับพระราชทานยศขั้นหนึ่งโดยจักรพรรดิพระองค์ก่อนและของขวัญชิ้นนี้จำต้องไหว้วานให้นางส่งเข้าวังแทนพวกเรา”
“เจ้าอย่าหลงคิดว่าตระกูลเฉินเก่าแก่ของเราเป็นหนึ่งในตระกูลดั้งเดิมพันปีของราชอาณาจักรแล้วจะอยู่ยงคงกระพัน หากว่าเรามองทิศทางลมมิชัดเจน เราย่อมถูกพายุหิมะพัดกระเด็นไปติดหน้าผาสูงชันจนเละเป็นฝุ่นผง ! ”
เยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์ฟังมิค่อยเข้าใจสักเท่าใดนัก แต่นางสัมผัสได้ถึงความร้ายแรงผ่านคำเอ่ยของนายท่าน นางถึงกับขนลุกไปทั้งร่าง คิดในใจว่าจักรพรรดิน้อยพระองค์นี้จะโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
จะว่าไปแล้วอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ตระกูลจัวและตระกูลหนานกงล้วนเป็นสองในเจ็ดตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น จักรพรรดิน้อยขึ้นครองบัลลังก์เมื่อวันที่แปดเดือนสิบสองเมื่อปีที่แล้ว จนถึงบัดนี้ก็ยังมิทรงทำเรื่องร้ายใด ๆ
นายท่านคิดมากเกินไปแล้ว ท่านพ่อเคยเอ่ยว่าอำนาจของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ จำต้องพึ่งพาแรงสนับสนุนของเจ็ดตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นดั่งรากฐานและเสาหลักของราชอาณาจักร
แล้วจักรพรรดิน้อยจะโง่เขลาถึงขั้นกำจัดรากฐานและเสาหลักที่ค้ำจุนตนเองทิ้งเชียวหรือ ?
ถ้าเป็นเช่นนี้ราชวงศ์จะมิล้มครืนหรือเยี่ยงไร ?
ความคิดเหล่านี้ได้แต่โลดแล่นอยู่ภายในใจของนางเท่านั้น นางหยิบเครื่องแบบขุนนางขึ้นมา จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเฉินซูหยวน “นายท่าน ชุดอุ่นสบายแล้วจงสวมใส่เถิด อีกประเดี๋ยวบ่าวจะไปเร่งคนครัวให้ทำซุปมาให้เจ้าค่ะ”
“ข้ามิกินแล้ว ข้าต้องรีบไปรอที่หน้าประตูวังหลวง”
เฉินซูหยวนสวมเครื่องแบบทับชุดเดิม สำรวจความเรียบร้อยหนึ่งคราแล้วเปิดประตูห้องออกไป เขาเดินฝ่าลมหิมะไปขึ้นรถม้าจากนั้นก็เดินทางไปยังวังหลวงทันที
ในย่ำรุ่งของวันนั้น ขุนนางทุกฝ่ายทุกแขนงตื่นขึ้นมาประชุมเร็วกว่าในอดีต
เพราะนี่คือการประชุมราชสำนักคราใหญ่ และเป็นคราแรกของจักรพรรดิพระองค์ใหม่
แม้ขุนนางหลายร้อยคนจะเคยร่วมประชุมราชสำนักที่เรียกประชุมโดยองค์จักรพรรดิพระองค์ใหม่มาหลายรัชศกแล้วก็ตาม ทว่าการประชุมใหญ่ครานี้มิเหมือนกัน
ในการประชุมราชสำนักคราใหญ่นี้ องค์จักรพรรดิจะทรงแถลงนโยบายบริหารใหม่ อีกทั้งยังมีความเป็นได้ว่าจะแต่งตั้งหรือถอดถอนขุนนางในหลายตำแหน่งด้วยกัน
การเปลี่ยนขุนนางเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการเปลี่ยนผ่านรัชศก
ยามที่จักรพรรดิอู๋ขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์มิได้ใส่พระทัยต่อเรื่องในราชสำนักสักเท่าใดนัก ทรงเป็นดั่งที่พระองค์ตรัสไว้ในยามสละราชสมบัติว่าพระองค์มารักษาการณ์แทนเท่านั้น
บัดนี้จักรพรรดิตัวจริงขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พวกเข้าจึงมิอาจประมาทได้แม้แต่ก้าวเดียว
เสียงระฆังยามรุ่งสางยังคงมิดังขึ้นมา ประตูของพระราชวังทั้งแปดทิศยังคงปิดสนิท
เหล่าเสนาบดีที่มาเข้าร่วมประชุมราชสำนักเดินไปยังประตูชิงหลงทางทิศตะวันออก
บัดนี้ทางเดินยาวของประตูชิงหลงได้ปรากฏเสนาบดีทั้งหลายยืนกันเป็นกลุ่มก้อนและกำลังกระซิบกระซาบกันเสียงดังเซ็งแซ่
“เมื่อวานนี้ฝ่าบาททรงโปรดเกล้าให้หยุดยาวในเทศกาลหยวนเซียวเป็นเวลา 3 วัน ในวันหยวนเซียวจะมีการจัดเทศกาลโคมไฟขึ้นที่หลิวหยุนถาย เรื่องนี้ทางกรมพิธีการและสำนักศึกษาฮ่านหลินจำต้องประสานงานกันเพื่อจัดการให้เรียบร้อย”
“หลังออกจากราชสำนักเมื่อวานนี้ ข้าน้อยได้แจ้งเรื่องให้กับท่านอาจารย์อาวุโสจ้วงแห่งสำนักศึกษาหลีชานแล้ว ทางสำนักศึกษาหลีชานรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และข้าน้อยได้ทำการส่งข่าวไปแจ้งยังสำนักศึกษาที่เหลือให้ทราบแล้วเช่นกันขอรับ”
“ดี ! ” เซียวยวี่โหลวเสนาบดีกรมพิธีการลูบเครายาวแล้วพยักหน้าเบา ๆ “ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อจักรพรรดิขึ้นครองบัลลังก์ จะต้องจัดพิธีใหญ่ขึ้นมาสองพิธีตามธรรมเนียมปฏิบัติ หนึ่งคือพิธีไหว้สุสานจักรพรรดิและสองคือพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ แม้ฝ่าบาทจะยังมิทรงตรัสถึงเรื่องนี้ ทว่าข้าได้แจ้งไปยังท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้ว เรื่องนี้จำต้องเตรียมการตั้งแต่เนิ่น ๆ ”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้นเอง ก็พบว่าฝูงชนได้มีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ เมื่อเซียวยวี่โหลวเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าขบวนรถม้าของจัวอี้สิงมาถึงแล้ว
เหล่าเสนาบดีทยอยทำความเคารพ ด้านจัวอี้สิงเองก็คารวะตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
เฉินซูหยวนเอ่ยปากต้อนรับ เขาก้มลงคำนับแล้วเอ่ยเชิญจัวอี้สิง “ลมหิมะพัดหนักเอาการ ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเชิญเข้ามาด้านในก่อนเถิดขอรับ”
การเข้าไปยังหอประตูด้านนอกมีกฎระเบียบบัญญัติไว้อยู่ แม้จะเป็นสถานที่สำหรับให้เหล่าขุนนางหลบหิมะ ทว่าก็มีเพียงขุนนางระดับสามขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้ ด้านในจะมีที่นั่งและเตาผิงคอยให้ความอบอุ่น
จัวอี้สิงเดินเข้าไปอย่างมิเกรงใจเพราะอายุอานามของเขาก็มากแล้ว ร่างกายมิได้แข็งแรงเหมือนสมัยยังหนุ่มยังแน่น อากาศวันนี้เย็นยะเยือกจนร่างแทบจะจับเป็นน้ำแข็ง หากต้องยืนอยู่ข้างนอกเห็นทีว่าจะมิไหว
ดังนั้นเขาและเฉินซูหยวนจึงเดินไปที่หอประตูด้านนอก จัวอี้สิงโพล่งถามขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่าเดือนสิบของปีที่แล้ว บ่อเกลือที่เขตชิวหลินถล่มลงมา มีผู้ล้มตายไปเท่าใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เฉินซูหยวนใจเต้นรัวขึ้นมาทันใด จากนั้นจึงตอบกลับอย่างรีบร้อนว่า “เรียนท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยมิทราบข่าวคราวเลยขอรับ ประเดี๋ยวพอเสร็จสิ้นการประชุมราชสำนัก ข้าน้อยจะส่งจดหมายไปสืบความ ดีหรือไม่ขอรับ ? ”
“ไอหยา…หากท่านมิทราบก็ช่างมันเถิด ข้าเพียงแค่เอ่ยถามเท่านั้น” จัวอี้สิงโบกมือปัดราวกับมิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด
เมื่อถึงหอประตูด้านนอกจัวอี้สิงก็ได้เดินเข้าไป ส่วนเฉินซูหยวนเป็นขุนนางระดับสี่ จึงยืนนิ่งอยู่บริเวณประตูทางเข้าครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับไปที่ทางเดินหลบหิมะดังเดิม
เขามิได้มีกระจิตกระใจฟังบทสนทนาของผู้ใดทั้งสิ้น เพราะในใจได้บังเกิดความรู้สึกพะว้าพะวังอย่างบอกมิถูก
ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาคงมิโพล่งถามเรื่องนั้นโดยไร้มูลเหตุเป็นแน่ !
เรื่องบ่อเกลือถล่มที่เขตชิวหลินได้คร่าชีวิตผู้คนไปทั้งสิ้น 123 คน !
แท้ที่จริงเรื่องนี้ก็มิได้สลักสำคัญอันใด ผู้ที่ตกตายล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉินทั้งสิ้น มิมีความจำเป็นใดที่จะต้องรายงานให้ทางการทราบ ทว่าท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากลับเก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ…
เขาเงยหน้าขึ้นมองลมหิมะด้านนอกทางเดิน จากนั้นก็รู้สึกราวกับว่ามันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ