นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 856 เงินทอง
ตอนที่ 856 เงินทอง
แม้สุริยาจะลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าความร้อนยังมิจางหาย
น้ำเย็นในห้องทรงพระอักษรแห่งราชวงศ์หยูถูกเปลี่ยนเป็นอ่างใหม่แล้ว ทว่าหยูเวิ่นเต้ายังมิรู้สึกถึงความเย็นเลยสักนิด ทั้งยังดูหงุดหงิดเล็กน้อยอีกด้วย
“เสนาบดีต่ง ท่านหมายความว่าจากการวางแผนในปัจจุบัน ภาษีของปีนี้จะลดลงถึงสองในสิบส่วนเชียวหรือ ? ”
ต่งคังผิงยกมือขึ้นคารวะแล้วทูลว่า “ทูลฝ่าบาท เกลือที่ขนส่งมาจากเมืองซินโจว… ครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดของราชวงศ์หยูมากถึงสามส่วน แม้ว่าราคาขายจะอยู่ที่ 800 – 1,000 อีแปะต่อชั่ง ทว่าก็ยังมิพอต่อความต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหยุดชะงักชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อด้วยความระมัดระวังว่า “เหตุผลเพราะนาเกลือมู่หยางจะผลิตเกลือให้เขตปกครองตนเอง เมืองการค้าซินโจวและหลานฉีในเวลาเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
หยูเวิ่นเต้าสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็มองไปยังหงจวงที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง “ยังมิรู้วิธีผลิตเกลือขาวอีกหรือ ? ”
“ทูลฝ่าบาท นาเกลือมู่หยางมีฝูงมดคอยจับตามองนับร้อยเพคะ คนจากหอซี่หยู่มิอาจแทรกแซงเข้าไปได้ อีกทั้ง…วิธีผลิตเกลือขาวที่พวกเขาใช้ก็มีระบบแบบแผน แต่ละแห่งจะดำเนินการเพียง 1 ขั้นตอนเท่านั้น จากนั้นก็จะถูกส่งต่อไปอีกจุดหนึ่ง มีคนงานคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เกรงว่านอกเหนือจากท่าป๋าเฟิงแล้ว คงมิมีผู้ใดรับรู้กระบวนการทั้งหมดหรอกเพคะ”
“แท้ที่จริงแล้ว ตระกูลเฉินแห่งราชวงศ์อู๋ก็ส่งคนไปยังเขตปกครองตนเองเพื่อสืบหาวิธีผลิตเช่นกัน แต่ก็ได้ผลลัพธ์มิต่างกันเลยเพคะ”
เรื่องนี้หยูเวิ่นเต้าทราบดีเพราะสายลับของหอซี่หยู่ที่อยู่ในราชวงศ์อู๋ได้รายงานเรื่องเหล่านี้กลับมาแทบทุกวัน เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากฟู่เสี่ยวกวนขึ้นครองบัลลังก์แล้วจะรีบลงมือกับสี่ในเจ็ดตระกูลใหญ่ของราชวงศ์อู๋ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมานับพันปีเสียอีก ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากยิ่งนักคือจนถึงบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิเคลื่อนไหวอันใดเลยสักนิด
จนพบว่าแท้ที่จริงอีกฝ่ายได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว !
เพียงแค่มิได้จัดการด้วยกำลัง แต่กลับใช้กลยุทธ์ด้านการค้ามาจัดการแทน !
เหตุการณ์พลิกผันจนยากจะรับมือ !
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้านี่มัน…” หยูเวิ่นเต้ากัดฟันกรอด “จากปริมาณของเกลือในนาเกลือมู่หยางที่เขตการปกครองตนเองผลิตออกมานั้น อย่างมากก็ครอบครองตลาดของราชวงศ์หยูได้เพียงสามส่วนเท่านั้น ตลาดนี้เป็นตลาดระดับสูง แต่อีกเจ็ดส่วนยังคงอยู่ในมือของเรานี่นับว่าโชคดีแล้ว ! ”
“การผลักดันนโยบายว่อเฟิงเต้าของทั้งสิบสามมณฑลให้ชะลอตัวลงก่อน ส่วนเหตุผลนั้น โดยหลักก็เพราะผู้ค้าขายจำนวนมากในราชวงศ์หยูพากันไปยังราชวงศ์อู๋เพื่อลงทุนและสร้างโรงงาน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปราชอาณาจักรก็จะจบสิ้น พวกท่านคือขุนนางคนสนิทของข้า ช่วยข้าคิดสักหน่อยเถิดว่าควรจัดการเยี่ยงไรดี ? ”
หยูเวิ่นเต้านั่งลง ส่วนอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนซือเต้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ทูลว่า “ทูลฝ่าบาท ฉินโม่เหวิน เต้าถายแห่งกวนซีเต้าได้เขียนจดหมายถึงกระหม่อมเมื่อมิกี่วันก่อน ในเนื้อหานั้นเอ่ยว่าน้ำมันหม่อน น้ำมันตุง แร่ทองแดง และแร่เหล็กที่ผลิตในกวนซีเต้ากองสูงพะเนินเท่าภูเขา แต่ขายมิออกพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาต้องการให้กระหม่อมทูลถามฝ่าบาทว่าสิ่งเหล่านี้ราชวงศ์อู๋ต้องการหรือไม่ ? หากพวกเขาต้องการก็สามารถส่งขายและแลกเป็นเงินทองมาใช้จ่ายได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมครุ่นคิดอยู่หลายวันเลยทีเดียว จักรพรรดิเต๋อจงมิได้รับสั่งให้เมืองเปียนเฉิงกลายเป็นเขตการค้าเสรีหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ฝ่าบาททรงส่งสารไปเอ่ยถามจักรพรรดิเต๋อจงสักหน่อยดีหรือไม่ ? ราชวงศ์หยูนั้นกว้างขวางอุดมสมบูรณ์ แน่นอนว่ามีทรัพยากรทางธรรมชาติล้นหลาม มิแน่ว่าบางทีราชวงศ์อู๋อาจจะต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
หยูเวิ่นเต้าขมวดคิ้วมุ่นพลางครุ่นคิดไปด้วย จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อืม…ได้ ! ข้าจะลองเขียนจดหมายไปถามน้องเขยสักหน่อย ส่วนเรื่องที่ว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้น…ข้าเองก็มิมั่นใจ”
เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่งที่มิได้พบเจอกัน บัดนี้ทั้งสองได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นเจ้าแผ่นดิน หากฟู่เสี่ยวกวนมิรับซื้อ เขาเองก็มิอาจทำอันใดได้
“ทูลฝ่าบาท มีอีกวิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ จะทรงลองเก็บภาษีจากเกลือขาวดูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ถ้าหักภาษีสามในสิบส่วนจากราคา 1,000 อีแปะ ก็เป็นเงิน 300 อีแปะ คงสามารถชดเชยส่วนที่สูญเสียไปของนาเกลือราชวงศ์หยูได้พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนซือเต้าทูลเสริมขึ้นมา
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าที่อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเอ่ยมานั้น ช่างมิเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ! ” ผู้ที่ท้วงขึ้นมาคือจัวหลิวหวินนั่นเอง
นับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากเขตเหยาก็ได้ติดตามองค์รัชทายาทมาโดยตลอด และรับผิดชอบดำเนินงานของตำหนักบูรพา
บัดนี้หยูเวิ่นเต้าขึ้นครองราชย์แล้ว อดีตขุนนางผู้ใกล้ชิดกับองค์รัชทายาทจึงกลายมาเป็นชื่อหลางแห่งประตูเหลืองของราชวงศ์หยู จะว่าไปแล้วเขามีตำแหน่งต่ำกว่าอัครมหาเสนาบดี แต่เขามีตำแหน่งพิเศษในการเดินเข้าออกห้องทรงพระอักษรนี้ได้
“ใต้เท้าจัวเชิญอธิบาย”
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าน้อยคิดเห็นว่าหากเก็บภาษีจริง ๆ ภาษีที่เพิ่มมาจะถูกเพิ่มไปในราคาของเกลือ นับจากเกลือขาวเข้ามายังราชวงศ์หยู ราคาจะอยู่ระหว่าง 800 – 1,000 อีแปะ ดูเหมือนว่าผู้บริโภคโดยมากจะเป็นพ่อค้ารายใหญ่ แต่แท้ที่จริงมันส่งผลกระทบต่อราคาซื้อขายเกลือเขียวของเรา”
“เดิมเกลือเขียวมีราคาขายอยู่ที่ 500 อีแปะต่อ 1 ชั่ง บัดนี้เพิ่มเป็น 550 อีแปะต่อ 1 ชั่ง แม้ราคาขึ้นมาเพียง 50 อีแปะ ทว่า 50 อีแปะนี้คือรายได้ของราษฎรในช่วงสองเดือน”
“หากราคาของเกลือเขียวยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ กระหม่อมขอทูลให้ฝ่าบาทรับสั่งควบคุมราคาเกลือ เนื่องจากสิ่งนี้มีผลต่อราษฎรโดยตรงและจะทำร้ายจิตใจพวกเขามิได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ดังนั้นกระหม่อมจึงคิดว่าในตลาดมีสินค้านานาชนิด เราสามารถชดเชยได้จากสินค้าอื่น อาทิเช่น กระหม่อมได้ยินมาว่าผ้าไหมของราชวงศ์หยูดีกว่าราชวงศ์อู๋มากนัก ในเมื่อเมืองเปียนเฉิงเป็นเขตการค้าเสรี พวกเราสามารถผลักดันผ้าไหมเข้าสู่ตลาดผ้าไหมของราชวงศ์อู๋ได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“อีกประการหนึ่ง กระหม่อมได้ยินมาว่าเครื่องลายครามราชวงศ์หยูได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในชื่อเล่อชวน บัดนี้ชาวฮวงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ราคาวัว ม้า และแกะเพิ่มขึ้นสูง เมื่อพวกเขามีเงินทองก็ย่อมมีความต้องการตามมาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ประโยคของจัวหลิวหวิน เสมือนเป็นการเปิดหน้าต่างให้แก่หยูเวิ่นเต้าและคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
อืม…ใช่ ! ฟู่เสี่ยวกวนใช้เกลือขาวเป็นอาวุธในการโจมตีราชวงศ์หยู ทว่าราชวงศ์หยูก็มีสินค้ามากมายที่สามารถโจมตีราชวงศ์อู๋ได้เช่นกัน !
เยี่ยนซือเต้ายกมือขึ้นลูบเครายาวแล้วพยักหน้ากับตนเอง ต่งคังผิงที่มิได้เอ่ยความคิดเห็นใดออกมาเลย ในครานี้ก็ได้พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“เยี่ยงนี้ ข้าจะมีราชโองการออกไปในวันพรุ่งนี้ ให้ผู้ค้าขายในราชวงศ์หยูใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีทั้งสองแห่งนี้ให้มากที่สุด ! ”
……
……
นี่คือรูปแบบการค้าระหว่างแคว้นในช่วงแรกเริ่ม ซึ่งยังมิมีผู้ใดตระหนักได้ว่าการแข่งขันด้านการค้านี้ จะกลายมาเป็นการแข่งขันระดับแคว้น
ฟู่เสี่ยวกวนรู้ดีว่าวันนี้ย่อมมาถึง เดิมทีเขาคิดว่าตามการคิดอ่านของผู้คนในยุคนี้ อีกทั้งความรู้ของบรรดาพ่อค้ามีขีดจำกัด คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองหรือสามปีถึงจะเกิดการแย่งชิงตำแหน่งทางการค้าขึ้นมา
คาดมิถึงจริง ๆ ว่าจัวหลิวหวิน นายอำเภอตกอับที่เขาแนะนำให้หยูเวิ่นเต้าในตอนนั้น จะเป็นผู้เปิดตลาดการแข่งขันอันโหดร้ายขึ้นก่อนเป็นคนแรก
บัดนี้ ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในตำหนักหยางซิน ซึ่งกำลังจ้องตากับฟู่ต้ากวนมิลดละ
“ว่าเยี่ยงไรนะ ? เมื่อครู่ท่านพ่อเอ่ยว่าเยี่ยงไร ? ”
บิดาอ้วนฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พ่อถามว่า…เจ้าต้องการเงินมิใช่หรือ ? ด้านล่างของจายซิงถายเต็มไปด้วยทองเชียวล่ะ ! ”
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนพลันเบิกกว้าง จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงคอ “ทองเหล่านั้นได้มาจากที่ใด ? ”
บิดาอ้วนยกยิ้มออกมาอย่างเขินอายเล็กน้อย แล้วตอบว่า “เอ่อคือ…เรื่องนี้เจ้ามิต้องใส่ใจหรอก เอาเป็นว่าทองเหล่านั้นเป็นของเจ้า ! ส่วนการที่เจ้าจะนำทองไปใช้ในราชอาณาจักรหรือเก็บไว้ในคลังส่วนตัว พ่อมิขอยุ่งเกี่ยว”
“มีมากเท่าใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พ่อเองก็มิทราบ รู้เพียงแค่ว่ามีมากมายมหาศาล เพราะพ่อใช้เวลาขนย้ายถึงสามปีกว่าจะขนหมด”
“…”
“ลูกพ่อ วันพรุ่งนี้พ่อจะไปแล้ว”
“ไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? กลับโม่โจวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ใบหน้าของบิดาอ้วนแปรเปลี่ยนเป็นเก้อเขิน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้จากนั้นก็แกว่งขาไปมา
“ยังมิกลับโม่โจวหรอก”
“เช่นนั้นท่านจะไปที่ใดกัน ? ”
“ไปราชวงศ์หยู…จวนเจิ้นกั๋วกงของเจ้ายังว่างอยู่มิใช่หรือ ? พ่อจะไปพักผ่อนที่นั่นสักระยะหนึ่ง”
“อ้อ ! แล้วก็ราชลัญจกรนั่น เฮ้อ…ช่างมันเถิด เจ้าสิ่งนั้นมิจำเป็นอีกต่อไปแล้ว”