นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 869 แผนตื่นจากจำศีล
ตอนที่ 869 แผนตื่นจากจำศีล
บริเวณด้านหน้าท้องพระโรงซวนเต๋อ ฉินเฉิงเย่จ้องมองภาพร่างในมือด้วยสีหน้าตะลึงงัน
“มิถูก ! ฝ่าบาท การที่พระองค์จะเปลี่ยนท้องพระโรงเยี่ยงนี้มิเหมาะสมต่อหลักพิธีการพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“หลักพิธีการบ้าบออันใดกัน เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็ถือว่าถูกต้องแล้ว”
ฉินเฉิงเย่เม้มปากจนเป็นเส้นตรง นี่มันเหมือนกับหลุม… “ทูลฝ่าบาท การเปลี่ยนแปลงเยี่ยงนี้ควรเป็นหน้าที่ของกรมโยธาธิการมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“นี่เป็นวันหยุดมิใช่หรือ ? มิต้องยืดยาดหรอกน่า ไปเรียกคนของสำนักวิทยาศาสตร์มาทำงานล่วงเวลาให้ข้าประเดี๋ยวนี้ จำเอาไว้ว่าต้องให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่แปดนี้ด้วย”
วันนี้ก็วันที่สี่แล้ว พระองค์รับสั่งให้กระหม่อมทำให้สำเร็จในวันที่แปด… ฉินเฉิงเย่เดินเข้าไปในท้องพระโรง จากนั้นก็สำรวจโดยละเอียด เอ่ยได้มิเต็มปากว่าเป็นโครงการใหญ่ มีคนจำนวนมากกว่า 500 คนที่อยู่ข้ามปีที่สำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ด้านวัสดุที่ใช้ก็มิพ้นหินและไม้ซึ่งสำนักวิทยาศาสตร์มีสิ่งของเหล่านี้เป็นจำนวนมาก
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าพระประสงค์ของพระองค์ต้องผ่านสำนักเสมียนกลางและผ่านการตรวจสอบจากสำนักตรวจสอบพระราชโองการเสียก่อน หรือว่า…”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องฉินเฉิงเย่ตาเขม็ง “ข้าต่างหากคือจักรพรรดิ อันใดกัน ? คำเอ่ยของข้าใช้การมิได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อ่า หามิได้…กระหม่อมจะรีบไปจัดการประเดี๋ยวนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ”
ทำถูกแล้ว… ฟู่เสี่ยวกวนทำหน้าระรื่นแต่ปากกลับเอ่ยอย่างเคร่งเครียดว่า “บัดนี้ไปเรียกคนมาทุบข้างในให้ข้าก่อน ! ”
นอกจากราชองครักษ์ในเขตวังหลวงแล้วก็มิมีผู้ใดทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้อำนาจข่มขู่ให้คนของสำนักวิทยาศาสตร์ปรับปรุงแก้ไขท้องพระโรงซวนเต๋อ
ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมาในทันใด ครุ่นคิดไปถึงวันที่เปิดประชุมราชสำนัก ใบหน้าของขุนนางนับร้อยที่เดินเข้ามาในท้องพระโรงซวนเต๋อจะเป็นเยี่ยงไรกัน ?
เขากลับถึงตำหนักหยางซินและทันทีที่หย่อนกายลงนั่ง ขันทีเจี่ยก็ได้ถือรายงานฉบับหนึ่งเดินเข้ามา
“ทูลฝ่าบาท มีข่าวจากราชวงศ์หยูพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาอ่าน
‘ทูลฝ่าบาท นี่คือความเป็นไปล่าสุดของแผนตื่นจากจำศีลพ่ะย่ะค่ะ !
เหมืองเกลือที่รับซื้อเมื่อปีกลายได้ขายให้กับตระกูลเฉินตามแผนที่วางเอาไว้แล้ว บัดนี้เฉินฉือบุตรชายคนโตของเฉินตงเซิงหัวหน้าตระกูลเฉินอยู่ที่ราชวงศ์หยูแล้ว
วิธีกลั่นเกลือขาวถูกถ่ายทอดให้เฉินฉือแล้ว เรื่องผลกำไรยังเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาทคือแบ่งให้ตระกูลเฉินครึ่งหนึ่ง ส่วนกำไรที่เหลือจะตกสู่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน
เรือนตระกูลเฉินในจินหลิง ตกอยู่ภายใต้การจับตามองของฝูงมดเช่นกัน
ตระกูลหวางซุนแห่งราชวงศ์หยูได้เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลโจว ผลลัพธ์การเจรจาก็ได้ออกมาแล้วว่าตระกูลโจวจะร่วมมือกับตระกูลหวางซุนครอบครองทรัพยากรแร่ทั้งหมดในราชวงศ์หยู ยกเว้นแร่เหล็กที่ราชวงศ์หยูเป็นผู้ถือครองอยู่
ตระกูลหลู่ได้ซื้อท่าเรือเขตเหยาและอู่ต่อเรือที่หลินเจียงแล้ว ซึ่งบัดนี้อยู่ในระหว่างการขยับขยาย ถานเหล่าเกินเดินทางมาถึงเขตเหยาและได้ชี้แนะตระกูลหลู่ในการสร้างเรือโดยสารและขนสินค้าลำใหม่แล้ว
ตระกูลโจวและตระกูลหลู่ล้วนหาซื้อเรือนที่จินหลิง พวกเขาได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้หยูเวิ่นเต้าเป็นอย่างมาก คล้ายจะกลายเป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ของเมืองหลวงไปเสียแล้ว
ตามการคาดการณ์ของผู้นำทั้งสามตระกูลคือ อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึง 2 ปีจึงจะสามารถผูกขาดกิจการเหล่านี้ได้ หวังว่าฝ่าบาทจะสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเช่นกัน
นอกจากนี้ ตระกูลเฉิน ตระกูลโจวรวมถึงตระกูลหลู่ได้จดทะเบียนบริษัทกับกรมการค้าของราชวงศ์หยูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาได้ทำการขายหุ้นมากกว่า 10 ล้านหุ้นที่ธนาคารซื่อทงสาขาเมืองจินหลิง ซึ่งมีผู้ซื้อจำนวนมากเลยทีเดียว ปลากินเหยื่อแล้ว มิจำเป็นต้องตื่นตระหนกแต่อย่างใด เพียงแค่รอเวลาก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ’
หมากกระดานใหม่นี้มีนามว่า ตื่นจากจำศีล นอกจากฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ผู้ที่ทราบก็มีเพียงโจวถงถงเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนใช้วิธีทางการค้าบีบบังคับทั้งสามตระกูลจนหมดหนทาง ทว่าเมื่อเดือนหกเมื่อปีที่แล้ว ก็ได้ลอบไปพบหัวหน้าของทั้งสามตระกูลใหญ่แล้วเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนมอบหนทางรอดชีวิตให้แก่พวกเขา ทว่าหนทางนี้คือการมอบความตายให้แก่ทุกชีวิตในตระกูลหากยังดึงดันที่จะอยู่ในราชวงศ์อู๋ต่อไป !
ถ้าอยู่ที่ราชวงศ์อู๋ต้องตาย หากไปยังราชวงศ์หยู ฟู่เสี่ยวกวนสัญญาว่าจะสนับสนุนด้านกลยุทธ์ให้แก่พวกเขาอย่างสุดกำลัง
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สุดท้ายผู้นำของทั้งสามตระกูลก็ทำได้เพียงตอบรับข้อเสนอของฟู่เสี่ยวกวนและทำการอพยพไปยังราชวงศ์หยูเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนจำต้องยืมพลังจากพวกเขาเพื่อยึดครองกิจการขนาดใหญ่ทั้งสามในตลาดของราชวงศ์หยู
เกลือ แร่เหล็ก และการขนส่งทางน้ำคือเศรษฐกิจสำคัญของราชวงศ์หยู !
หลังจากที่เขาได้ครอบครองชะตาชีวิตนี้ไว้ในมืออย่างสมบูรณ์แล้ว หมากสำคัญของกระดานนี้ก็จะตกลงมา
นอกจากฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีผู้ใดทราบว่าหมากตัวสุดท้ายนี้จะตกลงที่ใด
“ข้าเคยเอ่ยไปแล้วว่าราชวงศ์หยูคือบ้านเกิดของข้า ดังนั้นข้าย่อมรู้สึกผูกพันกับสถานที่แห่งนั้นและคำนึงถึงมากอยู่แล้ว…”
เขาเก็บรายงานฉบับนี้ลง จ้องมองไปยังเจี่ยหนานซิง พลางเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าการแต่งตั้งจินหลิงเป็นเมืองหลวงร่วมก็มิเลวเช่นกัน”
“ท่านเคยเอ่ยกับข้าว่าอากาศของจินหลิงอบอุ่นเหมาะแก่การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ”
เจี่ยหนานซิงจึงแย้มยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุขในทันใด
……
……
รัชศกเทียนเต๋อปีที่สอง วันที่แปด เดือนหนึ่ง
หลังสิ้นสุดช่วงเวลาพักผ่อน เหล่าขุนนางก็ได้เข้าร่วมการประชุมราชสำนักอีกครา แน่นอนว่าถึงเวลาเริ่มต้นความวุ่นวายของปีนี้แล้ว
จัวอี้สิงลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จก็ได้ทานบะหมี่หนึ่งชาม จากนั้นก็ขึ้นรถม้าตรงมายังประตูทางเข้าวังหลวง
ระฆังยามเช้ายังมิดังขึ้นมา เขาจึงเดินไปยังทางเดินกำบังลมดังเดิม
ด้านในทางเดินกำบังลมมีขุนนางมาถึงแล้วจำนวนมาก พวกเขาเดินเข้ามาคำนับจัวอี้สิงคนแล้วคนเล่าพลางกล่าวอวยพรปีใหม่
จัวอี้สิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางอย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในพบว่าหนานกงอี้หยู่ เมิ่งฉางผิงรวมถึงเสนาบดีทั้งหกกรมได้มากันครบแล้ว
“เฮ้อ…ข้าคงชรามากแล้วจริง ๆ ขนาดเร่งรีบไล่ตาม ก็ยังช้ากว่าทุกท่านตั้งหลายก้าว”
“ท่านราชเลขาจัวเอ่ยเยี่ยงนี้มิถูก ในความเห็นของข้า ท่านยังสามารถอยู่ช่วยฝ่าบาทปกครองแคว้นได้อีก 30 ปี ! ”
จัวอี้สิงหัวเราะร่าพลางชี้ไปทางเมิ่งฉางผิง “ข้าคิดว่าแคว้นที่รุ่งเรืองและสงบสุขใกล้จะมาเยือนในเร็ววันนี้แล้ว ข้ากังวลว่าจะอยู่มิถึงวันนั้น”
“ตาเฒ่านี่เอ่ยอันใดออกมากัน ? หรือเจ้ากล้าตายต่อหน้าข้าในยามที่ข้ายังมิตายเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หนานกงอี้หยู่ลูบเครายาวพลางหันไปจ้องจัวอี้สิงเขม็ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยความขมขื่น
“ดีดีดี พวกเราต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มาอยู่ชมด้วยกันว่าแคว้นที่รุ่งโรจน์จะมีหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ! ”
“นี่ถึงจะเหมือนคำเอ่ยของมนุษย์หน่อย… ข้าขอบอกเจ้าตามตรงว่าช่วงข้ามปี ข้าได้ครุ่นคิดถึงปัญหานี้อยู่ตลอดเวลา โครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของฝ่าบาทต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ แต่เจ้าและข้ายังมีเรื่องสำคัญยิ่งอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องทำ”
จัวอี้สิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าเตาผิง หันไปมองหนานกงอี้หยู่ด้วยสายตาประหลาดใจ “ยังมีเรื่องสำคัญอันใดอยู่อีกหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่ถอนหายใจ “ข้าและเจ้าก็ชรามากแล้วเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ แต่ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ พระองค์ร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกฉบับนี้ขึ้นมา ย่อมต้องมีแผนพัฒนาฉบับที่สองและฉบับที่สามตามมา ท้ายที่สุดพวกเราก็จะไร้เรี่ยวแรงที่จะวิ่งตามพระองค์ไปได้ไกล ดังนั้นพวกเราต้องค้นหาเยาวชนที่มีความสามารถจำนวนหนึ่งแล้วแหกกฎเลื่อนระดับขึ้นมา อาศัยตอนที่พวกเรายังเคลื่อนไหวได้นี่แหละ ถึงเวลาเลี้ยงดูสั่งสอนกำลังหลักรุ่นใหม่ให้แก่ฝ่าบาทแล้ว”
คำเอ่ยนี้ได้เอ่ยต่อหน้าเสนาบดีทั้งหกกรมและเมิ่งฉางผิง ทั้งเจ็ดคนอายุอานามราว 40 ปี เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยพละกำลัง หนานกงอี้หยู่มิได้หลีกเลี่ยงแต่อย่างใด เนื่องจากตำแหน่งผู้นำของสำนักเสมียนกลางและสำนักตรวจสอบพระราชโองการมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะตกสู่เสนาบดีจากสองในหกกรมนี้
“หวนนึกถึงปีนั้นขึ้นมา ในยามที่ฝ่าบาทอยู่ว่อเฟิงเต้าและเริ่มใช้บัณฑิตที่เรียนจบใหม่โดยตรง ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าเอ่ยสมเหตุสมผลยิ่ง ! ”
เสียงระฆังยามเช้าดังขึ้น ทว่าคำเอ่ยของจัวอี้สิงดังกังวานยิ่งกว่าเสียงระฆังเสียอีก เพราะเขาหวังจะได้เลี้ยงดูสั่งสอนขุนนางอายุน้อยสักกลุ่มหนึ่ง
หนานกงอี้หยู่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาล้ำลึก แต่มิได้แสดงท่าทีอันใดออกไป
“ไปเถิด ได้เวลาประชุมแล้ว”