นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 871 นอนต่อ
ตอนที่ 871 นอนต่อ
ฟู่เสี่ยวกวนละทิ้งบรรดาขุนนางพลางเดินออกจากท้องพระโรงซวนเต๋อด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข บัดนี้ท้องนภายังคงเป็นสีเข้มไปทั้งผืน
“กลับตำหนัก”
“กลับ…ตำหนักใดพ่ะย่ะค่ะ ? ” สีหน้าของเจี่ยหนานซิงสับสนเล็กน้อย ฝ่าบาททรงสะบัดพระหัตถ์อย่างเด็ดขาดเยี่ยงนี้ พระองค์ประสงค์จะทำอันใดกันแน่ ?
“แน่นอนว่ากลับไปยังตำหนักหยางซิน”
“……”
“ไปไปไป ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว กลับไปนอนต่อเถิด”
“มิใช่ ! ฝ่าบาท มิได้ตรัสว่าวันนี้จะไปธนาคารซื่อทงหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักเพราะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
มิเพียงต้องไปธนาคารซื่อทงเท่านั้น แต่ต้องไปกรมการค้าด้วย
กฎหมายบริษัทจำต้องปรับปรุงขึ้นอีกขั้น ด้านหุ้นก็ต้องเพิ่มมาตรฐานใหม่ก่อนออกขายโดยธนาคารซื่อทง
ในหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาระงับความคิดเรื่องการออกหุ้นของราชวงศ์อู๋เนื่องจากประการที่หนึ่งคืออยากเห็นระดับความกระเตื้องของเศรษฐกิจราชวงศ์อู๋ ประการที่สองเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มากจนเกินไปของเจ้าสิ่งนี้
แม้ธนาคารซื่อทงจะสร้างระดับการตรวจสอบกิจการไว้อย่างเข้มงวด ทว่าจากมุมมองของฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิเพียงพอ
วางไว้ก่อน รอให้เศรษฐกิจของราชวงศ์อู๋สูงขึ้นอีกสักระดับ และรอให้พวกเขาผ่านการอบรมเฉพาะด้านก่อนดีกว่า
“มิไปแล้ว ไป ! กลับตำหนักหยางซิน”
ด้านท้องพระโรงซวนเต๋อบังเกิดความเงียบสงัดขึ้นมาในทันใด
เสนาบดีอาวุโสทั้งสามมองหน้ากันไปมา พวกตนเป็นขุนนางมาหลายสิบปี นี่เป็นคราแรกที่ได้เผชิญกับเหตุการณ์เยี่ยงนี้
ต่อให้เป็นจักรพรรดิอู๋ที่เกียจคร้านที่สุด พระองค์ก็ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์มังกรจนการประชุมเช้าราชวงศ์จบสิ้นลง บัดนี้ฝ่าบาทหมายความว่าเยี่ยงไรกันแน่ ?
พระองค์รับสั่งให้เสนาบดีทั้งสามสำนักดำรงตำแหน่งประธานในการประชุม มองจากท่าทีแล้วเหมือนจะวางมือมิสนใจอีก หรือพระองค์จะมิเข้าร่วมการประชุมในภายภาคหน้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหตุใดคนผู้นี้ทนรับการสรรเสริญมิได้เล่า ?
ทั้งยังเอ่ยได้ว่าปีที่ผ่านมาพระองค์ทรงงานอย่างหนัก ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ทำให้ภาษีของราชวงศ์อู๋เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว พระองค์จะสะบัดทิ้งมิทำแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ใช้ได้ที่ไหนกันเล่า !
ในยามที่เหล่าขุนนางได้สติกลับคืนมา พวกเขาต่างก็สนทนากันเสียงดังจอแจ
……
……
จวบจนยามซื่อ ฟู่เสี่ยวกวนตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นภายใต้การปรนนิบัติของชุนซิ่ว
“ท่านพี่ ขันทีเจี่ยรออยู่ด้านนอกตลอดเวลาเลยเพคะ เอ่ยว่า… เอ่ยว่าพวกท่านราชเลขาจัวยังคงรออยู่ที่ห้องทรงพระอักษรเพคะ”
ชุนซิ่วจัดระเบียบอาภรณ์ของฟู่เสี่ยวกวนพลางเหลือบสายตามองเขา “บัดนี้พระองค์มิใช่นายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงอีกแล้ว พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิ แม้หม่อมฉันมิทราบว่าจักรพรรดิต้องทำอันใดบ้าง แต่หม่อมฉันก็ทราบว่าอย่างน้อยจักรพรรดิมิสามารถนอนตื่นสายอยู่บนเตียงได้นะเพคะ”
“ท่านพี่…ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้านไปเสียแล้ว”
“…” แม้แต่ชุนซิ่วก็ยังเอ่ยเยี่ยงนี้ เฮ้อ…จะมีชีวิตเอ้อระเหยนอนพักผ่อนสักครึ่งวันมิได้เลยหรือเยี่ยงไรกัน !
“ซิ่วเอ๋อร์”
“เพคะ”
“ข้าอยากกลับหลินเจียงเหลือเกิน”
“…หม่อมฉันก็อยากกลับเพคะ” ซิ่วเอ๋อร์ก้มหน้าลง จากนั้นก็ลูบหน้าท้องที่ป่องนูนออกมา “แต่กลับมิได้แล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาว “ใช่ ! บัดนี้กลับไปมิได้แล้ว…” เขาลูบศีรษะของซิ่วเอ๋อร์ จากนั้นก็ฉีกยิ้มสดใส “รออีกหน่อยเถิด อีกมินานพวกเราย่อมได้กลับไปเป็นแน่ ตอนนี้ข้าไปก่อนล่ะ”
“โอ้…”
ชุนซิ่วจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนจนลับตาไป แววตาค่อนข้างงุนงง มิเข้าใจว่าเหตุใดท่านพี่ถึงเอ่ยว่าอีกมินานพวกเราย่อมได้กลับไป
มินานนี่กี่ปีเยี่ยงนั้นหรือ ถึงจะสามารถกลับไปได้ ?
ในตอนนี้เขาเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋ แบกรับความรุ่งเรืองของราชวงศ์และความสงบสุขของราษฎรเอาไว้บนบ่า เขาจะปล่อยวางได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งพระเกี้ยวขนาดเล็กมาถึงห้องทรงพระอักษรในยามเว่ย
จัวอี้สิง หนานกงอี้หยู่ และเมิ่งฉางผิงนั่งตัวตรงราวกับรูปปั้นสามองค์
ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ทว่าทั้งสามมิได้แสดงความเคารพ ทำเพียงเงยหน้ามองเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงฝั่งตรงข้ามพวกเขาทั้งสามคน ต้มชาหนึ่งกา จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยว่า “ในหนึ่งบริษัทจะมีผู้รับผิดชอบการผลิต ผู้รับผิดชอบการขาย ผู้จัดซื้อและด้านอื่น ๆ ที่เถ้าแก่จ้างมา เถ้าแก่เป็นผู้ตัดสินใจแนวทางการพัฒนาของบริษัทและการสร้างวัฒนธรรมขององค์กร ทว่ารายละเอียดของการวางแผนและการปฏิบัติจริงของกิจการทั้งหมดนั้น พวกท่านรู้สึกว่าเถ้าแก่ควรลงมาจัดการด้วยตนเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เหตุใดข้าต้องปรับเปลี่ยนเป็นระบบสามสำนักหกกรมเยี่ยงนี้ ? ”
“พวกท่านคิดว่าข้าต้องการอู้งาน ต้องการนอนต่อเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พวกท่านคิดผิดแล้ว ผิดอย่างมหันต์ ! ”
“ราชวงศ์อู๋ต้องพัฒนาและข้ามีเรื่องมากมายต้องจัดการ ข้าต้องไปทั่วทั้งราชอาณาจักรเพื่อทำความเข้าใจในสถานการณ์ทุกจุด ข้าต้องเข้าใจข้อดีของทรัพยากรในแต่ละสถานที่อย่างชัดแจ้ง ข้าต้องเข้าใจความเป็นอยู่ของราษฎรในแต่ละเขตแต่ละรัฐ ! ”
“บริษัทที่ประสบความสำเร็จมิใช่เพราะมีเถ้าแก่ที่เก่งกาจหรอกนะ แต่เพราะเขาใช้คนได้เก่งต่างหากเล่า มิมีผู้ใดทำได้ทุกด้านหรอก มิมีพลังงานของผู้ใดที่ไร้ขีดจำกัด ข้าก็เป็นมนุษย์และมิได้รับการยกเว้น”
“การสร้างบ้านหนึ่งหลัง มิใช่อาศัยไม้หนึ่งเสาค้ำจุนขึ้นมาได้ มันต้องการเสาหลายต้นและอิฐจำนวนมากจึงจะสามารถสร้างได้สำเร็จ”
“พวกท่านคือขุนนางที่เป็นกระดูกสันหลังของราชวงศ์อู๋ พวกท่านคือเสาหลักที่ใหญ่ที่สุดของอาคารที่ชื่อว่าราชวงศ์อู๋หลังนี้ ! ”
“วันนี้ข้าขอเอ่ยกับพวกท่านให้กระจ่าง หากการบริหารราชสำนักของราชวงศ์อู๋ปราศจากข้ามิได้ นั่นคือความล้มเหลวของข้าและเป็นความล้มเหลวเรื่องการใช้คนของข้าด้วย ! ”
“ที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนเคยเป็นราชวงศ์หนึ่งมาก่อนเช่นกัน ข้าผละออกมาและมอบทุกเรื่องให้ผู้ว่าการเขตที่เป็นชาวฮวงผู้หนึ่งจัดการ เขาสามารถบริหารชื่อเล่อชวนได้อย่างเหมาะสมโดยที่ข้าสามารถออกเดินทางกลับมาราชวงศ์อู๋ได้ นั่นก็เป็นเพราะแผนพัฒนาเศรษฐกิจของชื่อเล่อชวนที่กำหนดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นเยี่ยงไรเล่า”
“พวกท่านรู้สึกว่าการจัดวางจักรพรรดิไว้ที่ท้องพระโรงนั้นคือระบบถูกต้องแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้ากลับรู้สึกว่าพวกท่านต้องการจับจักรพรรดิขังใส่กรงเสียมากกว่า ! ”
“การประชุมนั้นสำคัญจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ในสายตาของข้าคือมิจำเป็น เพราะประสิทธิภาพของมันต่ำทั้งยังเสียเวลามากอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าสามารถนอนต่อได้อีกสักพัก แต่เพราะการประชุมแสนน่าเบื่อนั่นทำให้ต้องตื่นก่อนเวลาอย่างเลี่ยงมิได้”
“แล้วผลลัพธ์เล่า ? เวลาเข้างานแต่ละคนดูกระสับกระส่าย มิมีกะจิตกะใจจัดการหรือบริหารงานเลยด้วยซ้ำ นี่หมายถึงอันใดน่ะหรือ ? ก็หมายถึงการทำให้เสียงานเพราะกดดันมากจนเกินไปเยี่ยงไรเล่า ! ”
“ข้าขอบอกพวกท่านตามตรงว่าการประชุมโดยเฉพาะการประชุมที่น่าเบื่อเยี่ยงนี้มิจำเป็นเลยสักนิด ! ทั้งสามสำนักมีราชกฤษฎีกาอันใดก็สามารถออกคำสั่งไปยังหกกรมได้โดยตรง จากนั้นก็ให้ทั้งหกกรมถ่ายทอดงานไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละท้องที่ก็ยังได้”
“สิ่งที่ข้าต้องการคือราชสำนักที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ! ข้ามิต้องการให้ขุนนางหมดแรงอ่อนล้าเยี่ยงนี้ ! ”
“เหตุใดข้าจึงคัดค้านที่จะให้อำนาจรัฐเข้าไปควบคุมกิจการน่ะหรือ ? เหตุใดต้องผลักดันภาคเอกชนอย่างจริงจัง ? นั่นก็เพื่อประสิทธิภาพเยี่ยงไรเล่า ! ”
“เหตุใดภาคเอกชนจึงสามารถทำออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ? ก็เพราะโครงสร้างของมันนั้นแสนเรียบง่าย การลงมือปฏิบัติจึงแข็งแกร่งมากกว่า แล้วทางราชสำนักเล่า ? ต้องประชุมแลกเปลี่ยนความคิด ต้องพินิจข้อดีข้อเสียทั้งยังต้องดูแลทุกระดับความสัมพันธ์ในทุกระดับชั้นขุนนางอีก”
“ขอบอกพวกท่านอย่างมิเกรงกลัวว่า ข้าผิดหวังในสามสำนักหกกรมเป็นอย่างมาก พวกท่านควรไปเรียนรู้งานจากกรมการค้า ! ”
“กรมการค้ามิต้องเข้างานแบบลงนามในสมุดรายชื่อทุกเช้า หากพวกเขาต้องการกระทำการใดก็จะส่งหนังสือมาถึงข้าเพื่อขอคำชี้แนะ ข้าให้อำนาจแก่พวกท่านอย่างเต็มที่ พวกท่านก็ควรรับผิดชอบหน้าที่ให้ดี แต่พวกท่านกลับคิดว่าควรรายงานทุกเรื่องมาถึงข้าและให้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจ พวกท่านคิดว่าการทำเยี่ยงนี้คือการรักษาศักดิ์ศรีของจักรพรรดิ แต่ในสายตาของข้า… มิเพียงเป็นแค่การถอดกางเกงผายลม ข้าคิดว่ามันเกินจำเป็นอีกด้วย ! ”
เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามเดินทางมาเพื่อเกลี้ยกล่อมองค์จักรพรรดิ แต่คาดมิถึงว่าพวกเขาจะมิได้เอ่ยอันใดเลยสักคำ ทั้งยังถูกองค์จักรพรรดิต่อว่าใส่หน้าเข้าอย่างจังอีกด้วย
แต่เมื่อใคร่ครวญตามคำต่อว่าเหล่านี้อย่างตั้งใจแล้ว ก็จะพบว่าสมเหตุสมผลมากยิ่งนัก ใบหน้าชราภาพของแต่ละคนขึ้นสีแดงก่ำทันพลัน จนถึงขั้นเอ่ยอันใดมิออกเลยทีเดียว
“ยกเลิกการประชุมราชสำนักในภายภาคหน้าไปเสีย จากนี้แต่ละกรมมีเรื่องอันใดก็ให้เปิดการประชุมเพื่อตัดสินใจร่วมกัน จากนั้นก็ให้ทั้งสามสำนักเป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้าย หากมีเรื่องใหญ่เช่นสงคราม โรคระบาด ภัยพิบัติหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของราชอาณาจักรค่อยมาหาข้า… นอกเหนือจากนี้อย่ามายุ่งกับข้า ! ”