นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 874 ดอกท้อเบ่งบาน
ตอนที่ 874 ดอกท้อเบ่งบาน
ณ บริเวณแปลงนาและพื้นที่ไร่หลวงแห่งโม่โจว
ที่แห่งนี้มีหมู่บ้านเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่หนึ่งแห่ง มีนามว่าหมู่บ้านหวังเจียชุน
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนเป็นราษฎรที่เดินทางมาจากภูเขาซีซานแห่งราชวงศ์หยูทั้งสิ้น พวกเขาสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาใหม่และลงหลักปักฐานกันอยู่ที่นี่
เรือนของหวางเอ้อก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน บัดนี้เขากลายเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหวังเจียชุนแห่งนี้ไปแล้ว
ทั่วทั้งสี่ทิศของหมู่บ้านเป็นเทือกเขาไร่นากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแน่นอนว่ายังเป็นผู้เช่านาของคุณชายฟู่ดังเดิม พวกเขามิได้ใช้ชีวิตต่างไปจากตอนที่อยู่ในภูเขาซีซานเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงเฝ้าดูแลผืนนาของคุณชายฟู่มิเปลี่ยนแปลง
เมื่อเวลาดำเนินมาถึงเดือนสาม ดอกท้อในหมู่บ้านหวังเจียชุนก็เริ่มผลิดอกเบ่งบาน
หวางเอ้อนั่งอยู่ที่ธรณีประตูเรือน ในมือคีบยาสูบ สายตาทอดยาวออกไปยังทุ่งนาไกลสุดลูกหูลูกตา จากนั้นก็เอ่ยกับหวางเฉียงที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “นายน้อยเขียนจดหมายมา ท่านกล่าวว่าจะเดินทางมายังหมู่บ้านหวังเจียชุนและพักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน… เฮ้อ ! ที่นี่มิมีเรือนซีซาน พ่อว่าจะจัดการเก็บกวาดเรือนให้เรียบร้อย เมื่อนายน้อยมาถึงก็ให้พักอยู่ที่เรือนนี้ไปก่อน ส่วนพ่อและมารดาของเจ้าคงต้องไปพักที่เรือนเจ้าสักสองสามวัน”
ในมือของหวางเฉียงถือกรรไกรไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งถือกิ่งแอปเปิลป่า เขาเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นว่า “นายน้อยจะเดินทางมาเยี่ยงนั้นหรือ ? จะมาถึงเมื่อใดหรือขอรับ ? ”
“บัดนี้ได้ออกเดินทางมาแล้ว คาดว่าปลายเดือนคงมาถึง อย่าเอ่ยเสียงดังไปเพราะนายน้อยเอ่ยว่าเรื่องนี้ให้เก็บเป็นความลับ ! ”
“ดียิ่งนัก ! พวกเราต้องเตรียมสิ่งใดบ้างหรือท่านพ่อ ? ข้าจะได้ไปหาซื้อมาจากชุมชนป่านเฉียว”
หวางเอ้อสูบยาสูบฟอดใหญ่ จากนั้นก็พ่นควันสีเทาออกมา “พ่อเองก็มิทราบ บัดนี้นายน้อยเป็นถึงองค์จักรพรรดิ อืม…จักรพรรดิประพาสทางไกลทั้งที เยี่ยงนั้นก็จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ดีหรือไม่ ? ”
“…” หวางเฉียงชะงักงัน เขาเองก็มิเคยเห็นจักรพรรดิเสด็จไปที่ใดมาก่อนเช่นกัน เคยแต่อ่านจากในตำราวรรณกรรม “เยี่ยงนั้นก็ให้ท่านแม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนหมอนมุ้งเสียใหม่ อ่า…แล้วขุนนางที่ติดตามมาด้วยจะทำเยี่ยงไรขอรับ ? ”
“เรือนในหมู่บ้านหวังเจียชุนของเรามี 100 หลัง เมื่อถึงเวลาก็ให้พวกเขาเบียด ๆ กันอยู่ไปก่อน หากมิได้จริง ๆ ก็ค่อยจัดหาที่พักในหมู่บ้านหลี่ที่อยู่ถัดไป ประเดี๋ยวพ่อจะไปเจรจากับหัวหน้าหมู่บ้านหลี่สักหน่อย”
หมู่บ้านหลี่ใหญ่โตกว่าหมู่บ้านหวังเจียชุนหลายสิบเท่า !
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหลี่เคยเป็นผู้ประสบภัยจากอุทกภัยแม่น้ำต้าหลิงราชวงศ์อู๋เมื่อสองปีก่อน พวกเขาถูกสั่งให้อพยพจากที่ราบสือจ้างและที่ราบเหยหั่วตามพระราชโองการของจักรพรรดิอู๋
จำนวนผู้อพยพในครานั้นมากถึง 400,000 คน !
ส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหลี่มีเพียง 50,000 คนเท่านั้น ที่เหลืออีก 350,000 คนได้กระจายตัวอาศัยอยู่ตามไร่หลวงของแปดรัฐแห่งหนานชาง
ทุกคนถือเป็นผู้เช่าที่ดินของคุณชายฟู่เช่นกัน หวางเอ้อได้ทำความรู้จักกับหัวหน้าหมู่บ้านและลูกบ้านเหล่านี้เป็นอย่างดีแล้ว เนื่องจากเขาได้เป็นหัวหน้า ‘ช่างเทคนิค’ คนแรก มีหน้าที่เพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวฟู่ ชื่อนี้ฟังดูแล้วช่างแปลกประหลาดเสียจริง แต่หวางเอ้อก็ชื่นชอบมันมากยิ่งนัก เพราะเขาได้เป็นช่างเทคนิคที่องค์จักรพรรดิทรงแต่งตั้งให้อย่างเป็นทางการ ทั้งยังมีเบี้ยหวัดที่แน่นอนในแต่ละเดือนอีกด้วย
อย่าว่าแต่หัวหน้าหมู่บ้านเลย แม้แต่นายอำเภอในแต่ละอำเภอ หากพบเขาก็ยังต้องแสดงท่าทีอ่อนน้อมและระมัดระวัง
“ท่านพ่อ หากเดินทางไปที่หมู่บ้านหลี่ก็ช่วยยกเลิกเรื่องที่หัวหน้าหมู่บ้านหลี่เอ่ยขึ้นในคราก่อนได้หรือไม่ บัดนี้น้องชายได้เป็นถึงผู้บัญชาการทหารดาบเทวะกองพลที่สามของกองทัพที่หนึ่งแล้ว บุตรสาวตระกูลหลี่ผู้นั้นจะมีฐานะคู่ควรกับเสี่ยวจ้วงได้เยี่ยงไรขอรับ ? ”
หวางเอ้อเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็หรี่ตามองหวางเฉียง “ฐานะเยี่ยงนั้นหรือ ? เป็นผู้บัญชาการแล้วเยี่ยงไร ? เกิดมาท่ามกลางดินโคลนเหมือนกันมิใช่หรือ ? ความคิดนี้เป็นความคิดของเจ้าหรือของเขากันแน่ ? ”
หวังเฉียงเบ้ปาก จากนั้นก็ตอบกลับว่า “เสี่ยวจ้วงเขียนจดหมายถึงข้า เขาบอกว่าเขาได้พบกับแม่นางหยูรั่วซิงที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน และเขาก็ชื่นชอบนางมากยิ่งนัก ทั้งยังได้ไปพบมารดาของนางแล้วด้วย ด้านมารดาของนางมิได้แสดงท่าทีคัดค้านแต่อย่างใด คาดว่าคงมิมีปัญหาอันใดขอรับ”
หวางเอ้อนิ่งเงียบมิได้กล่าวอันใดออกมาอีก จากนั้นก็สูบยาสูบเข้าไปอีกหลายที แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “แม่นางผู้นั้นมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งหรือไม่ ? ”
“มิใช่ขอรับท่านพ่อ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ทว่านางมิใช่ชาวฮวงแต่เป็นชาวหยูที่อาศัยอยู่ในชนเผ่าของเขตปกครองตนเอง เกรงว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติเช่นกันขอรับ”
หวางเอ้อพยักหน้าตอบรับ “เยี่ยงนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย เจ้าเขียนจดหมายไปบอกเสี่ยวจ้วงว่าตระกูลของเราเป็นชาวนาผู้รับใช้นายน้อยตลอดไป จงอย่าข้องเกี่ยวกับผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์และอย่าได้นำเรื่องเดือดร้อนมาสู่นายน้อย ! ”
“อ้อ ! อีกเรื่องหนึ่ง…เจ้าลองเอ่ยถามเขาสักหน่อยเถิดว่าเขาจะได้หยุดเมื่อใด หากมีเวลาว่างตรงกัน พวกเราก็ควรเดินทางไปเยี่ยมเยียนฝ่ายหญิงสักหน่อย”
“แล้วก็เรื่องของเจ้าและซิ่วเหมย…รอให้ลงต้นกล้าเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว เจ้าก็รีบกลับไปที่เขตปกครองตนเองเถิด หากซิ่วเหมยมิตั้งครรภ์ก็อย่ากลับมาให้พ่อเห็นหน้าอีก ! พ่ออยากอุ้มหลานเต็มทนแล้ว ! ”
หวางเอ้อขยี้ยาสูบด้วยรองเท้าก่อนจะลุกขึ้นยืน หวางเฉียงเอ่ยด้วยใบหน้าติดตลกว่า “ท่านพ่อ ข้าเลี้ยงหมูไว้ตั้ง 10 ตัว”
หวางเอ้อรีบถอดรองเท้าแล้วโยนไปทางหวางเฉียง “เจ้าลูกคนนี้นี่ เลี้ยงหมูกับมีลูกมีเมีย สิ่งใดมีความสุขมากกว่ากันเล่า ? ”
หวางเฉียงรีบหลบอย่างรวดเร็ว เขาคิดในใจว่า อืม…ดูเหมือนมีลูกมีเมียจะมีความสุขกว่าเล็กน้อย
……
……
“เดือนสาม วันที่สามเวียนว่ายมาบรรจบ ดอกท้อเบ่งบานอีกครา”
ผู้ร่วมเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนมี…เจี่ยหนานซิง เป่ยหวังฉวน ต่งชูหลานและเสี่ยวฉีสาวใช้ของนางรวมทั้งสิ้น 5 คน พวกเขาเดินทางออกจากเมืองกวนหยุนเมื่อวันที่หนึ่งเดือนสาม และได้มุ่งหน้าไปยังแปดรัฐแห่งหนานชาง
บัดนี้เป็นเวลาย่ำค่ำ พวกเขาจึงหยุดอยู่บริเวณเชิงเขาแห่งหนึ่ง ณ เชิงเขาแห่งนี้มีกระท่อมเก่า ๆ ตั้งอยู่หนึ่งหลัง
ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขากำลังซ่อมแซมกระท่อมฟางกับเจี่ยหนานซิงและเป่ยหวังฉวนซึ่งบัดนี้ใกล้เสร็จแล้ว
ที่แห่งนี้เรียกว่าหมู่บ้านหลินเจีย ตั้งอยู่ห่างจากเมืองฝานหนิงเพียงแค่ 100 ลี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยมาที่นี่ ทว่ามองดูแล้วค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากยิ่งนัก
สิ่งที่ต่งชูหลานมิทราบก็คือ หลังจากเกิดเหตุหิมะถล่มคราใหญ่ในปีนั้น อู๋หลิงเอ๋อร์ได้พาฟู่เสี่ยวกวนมายังที่แห่งนี้และเขาเคยอาศัยอยู่ที่นี่นานถึง 3 เดือน
หยุนเหนียงและเสี้ยวเสี้ยวตกเป็นเหยื่อจากการที่ไทเฮาซีก่อกบฏ สุดท้ายเด็กผู้หญิงตัวเล็กน่ารักที่เรียกเขาว่าท่านพ่อก็มิมีโอกาสได้เดินทางไปยังภูเขาซีซานแล้วตะโกนคำว่าฟู่เอ้อต้ายเป็นคราที่สอง
นอกจากอู๋หลิงเอ๋อร์ก็มิมีผู้ใดทราบถึงความลับนั้นเลยสักคน
ฟู่เสี่ยวกวนเก็บความลับนี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ และมิได้อธิบายให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเหตุใดตนถึงรู้จักสถานที่อันห่างไกลเยี่ยงนี้
หลังจากที่กระท่อมฟางถูกสร้างจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป่ยหวังฉวนจึงออกไปล่าสัตว์ ส่วนเจี่ยหนานซิงทำการก่อกองไฟภายในลานกว้าง ฟู่เสี่ยวกวนจูงมือต่งชูหลานเดินชมดอกท้อบานท่ามกลางหุบเขาอย่างสบายอารมณ์
“เหนื่อยหรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานส่ายหน้าแล้วยิ้มตอบ “การที่ข้าได้ออกมาเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนัก ข้ามิได้บอบบางเยี่ยงที่ท่านคิดหรอก”
“ก่อนหน้านี้ซิ่วเอ๋อร์บอกข้าว่า ดอกท้อที่ภูเขาซีซานก็เริ่มเบ่งบานแล้วเช่นกัน ทว่าในระยะนี้เรายังกลับไปมิได้ แต่หากเจ้าชื่นชอบ ณ ลานดอกไม้หลังตำหนักของเรามีพื้นที่กว้างขวาง เจ้าหาเวลาว่างปลูกมันได้ตามต้องการ”
สองสามีภรรยาเดินไปพลางสนทนากันไปพลางจนมาถึงเชิงเขา ที่แห่งนี้คือผืนนาที่ถูกปล่อยรกร้าง ก่อนหน้านี้ฟู่เสี่ยวกวนเคยปลูกต้นกล้าไว้ที่นี่
เขาย่อตัวลง จากนั้นก็พิจารณาอย่างละเอียด ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิฝนตกน้อยยิ่งนัก ส่งผลให้ในนามิมีน้ำอยู่เลย แม้พื้นดินจะยังชุ่มชื้นอยู่บ้างแต่ก็เห็นได้ชัดว่ามิอาจปลูกต้นกล้าได้
สภาพแวดล้อมช่างเลวร้ายเสียจริง เดิมทีทรัพยากรทางน้ำก็มีมิมากอยู่แล้ว ต้องพึ่งพาอาศัยแม่น้ำบนภูเขา มองดูแล้วแม่น้ำบนภูเขาก็คงเหลือปริมาณน้ำมิมากนัก คงมิสามารถปลูกต้นกล้าได้อย่างแท้จริง
“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากเอ่ยกับเจ้า” อยู่ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นจากพื้นพลางปัดมือที่เปื้อนเศษดิน “ท่านพ่อตายังอยู่ในราชวงศ์หยู…และเนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกเราทำให้ท่านดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังอย่างอึดอัดใจ”
“เรื่องนี้มิโทษหยูเวิ่นเต้าหรอก เนื่องจากกรมคลังเป็นเสมือนชีวิตของแคว้น ตำแหน่งค่อนข้างพิเศษกว่าผู้ใด ในปัจจุบันหยูเวิ่นเต้าจึงใช้คนชื่อฉางฮวนชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลังอย่างเปิดเผย แม้จะยังคงดำรงตำแหน่งเดิมทว่าอำนาจในการจัดการได้ตกเป็นของชื่อหลางฝ่ายขวาแล้ว เอ่ยได้ว่าเขาควบคุมอำนาจของกรมคลังไว้ทั้งหมดแล้ว”
“ข้าหมายความว่า…จะให้ท่านพ่อตาออกจากตำแหน่งขุนนางที่นั่นแล้วมาเป็นขุนนางในราชวงศ์อู๋ หรือไม่ก็มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่ ครอบครัวเราจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”