นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 886 นายอำเภอจักรพรรดิ
ตอนที่ 886 นายอำเภอจักรพรรดิ
“นี่คือนายอำเภอของเจิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นายอำเภอเช่นนี้ เจิ้นจะมีไว้เพื่ออันใดกัน ? ”
“หากให้คนเยี่ยงเจ้ามาเป็นนายอำเภอปกครองราษฎร สู้นำสุนัขไปวางไว้บนตำแหน่งมิดีกว่าหรือ ! เพราะมิว่าจะถามเยี่ยงไรสุนัขก็ตอบมิได้เยี่ยงเจ้าในตอนนี้เลย แต่ข้อดีของสุนัขคือมันมิสามารถขูดเลือดขูดเนื้อราษฎรได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกโมโหมากยิ่งนัก แน่นอนว่าผลออกมาร้ายแรงกว่าที่คิด
เขาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะดัง ปึง ! จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนในทันใด เขาเตะป๋ายชิวเชิงกลิ้งไปบนพื้นหลายตลบ
ป๋ายชิวเชิงหน้าซีดเผือด ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผง เขารีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็เอาหน้าผากโขกพื้นดัง ‘ปึงปึงปึง…’ อยู่หลายครา ร่างของเขาสั่นสะท้านราวกับลูกนก พลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อม กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าสมควรตายอยู่แล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาพยายามระงับอารมณ์ให้กลับมาเป็นดังเดิม เขาผิดหวังกับนายอำเภอเยี่ยงนี้เสียเหลือเกิน เหตุใดกรมขุนนางจึงตรวจมิพบกัน ! แม้แต่ฝ่ายตรวจการก็มิทราบเรื่องเยี่ยงนั้นหรือ !
ปัญหานี้ร้ายแรงยิ่งนัก
มันคือความบกพร่องของกรมขุนนางและฝ่ายตรวจการ หรือพวกเขารู้แต่ปิดบังเอาไว้และมิยอมรายงานต่อข้ากัน ?
“สำหรับพวกเจ้าทั้งสองคน เจิ้นย่อมมิปล่อยไปเป็นแน่ ! ”
“ขันทีเจี่ย จงเขียนพระราชโองการส่งถึงเหวินซือหยวนเสนาบดีกรมขุนนางและโจวถงถงฝ่ายตรวจการ บอกพวกเขาว่าเจิ้นจะเป็นนายอำเภอเขตซื่อหยางนี้เอง ! ”
ขันทีเจี่ยชะงักงันชั่วครู่ เขาเข้าใจความหมายของฝ่าบาทได้ในทันที จึงทูลออกไปว่า “กระหม่อมจะรีบจัดการประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
บัดนี้ป๋ายชิวเชิงและหม่าจี๋ตื่นตกใจเสียจนเป็นลมล้มพับไปแล้ว
หนิงซือเหยียนเดินตรงเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนกำชับเขาว่า “จงแบกสองคนนี้ออกไป จากนั้นก็โยนพวกมันทิ้งที่กลางถนน ! ”
ต่อมาฟู่เสี่ยวกวนก็ได้อาศัยอยู่ที่เขตซื่อหยางจริง ๆ
เขาเดินทางไปยังสำนักงานเขต และได้ส่งทั้งสองคนไปยังคุก อีกทั้งยังขับไล่ขุนนางทุกคนในสำนักงานเขตออกจนสิ้น
ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปเป็นวงกว้าง ทำให้ชาวบ้านในเขตซื่อหยางแตกตื่นขึ้นมา
“เจ้ารู้หรือไม่ ? ฝ่าบาทเสด็จมายังสถานที่แห่งนี้ ! ”
“ได้ยินมาว่านายอำเภอและแม่ทัพหม่าถูกฝ่าบาทจัดการเข้าให้แล้ว ! ”
“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ญาติของข้าผู้นั้นทำงานอยู่ในสำนักงานเขตมิใช่หรือ ? เมื่อวานตอนที่เขากลับบ้านก็ได้เล่าให้ข้าฟังด้วยสีหน้าปลื้มปีติ เอ่ยว่าฝ่าบาททรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ทั้งยังจะทรงดำรงตำแหน่งนายอำเภอของเขตซื่อหยางไปก่อนอีกด้วย ! ”
“พวกเจ้ามิเห็นหรือ ? ในเช้าวันนี้ที่ด้านหน้าสำนักงานเขตได้ติดประกาศ มิว่าชาวบ้านผู้ใดมีเรื่องร้องเรียนหรือมีข้อคิดเห็นในการร่วมพัฒนาเขตซื่อหยางก็สามารถเข้าไปทูลต่อฝ่าบาทได้โดยตรง ! ”
“ไอหยา…สวรรค์ ! องค์จักรพรรดิทรงดำรงตำแหน่งนายอำเภอ…มีเรื่องประหลาดเช่นนี้อยู่จริง ๆ หรือนี่ ? ”
“องค์จักรพรรดิของพวกเรามิธรรมดา ! หากจะให้เอ่ยถึงเรื่องราวของพระองค์ เล่าสามวันสามคืนก็ยังมิจบมิสิ้น จริงสิ ! ผู้อาวุโสเจียง หลานชายจากหอป๋อเสวียของท่านมีการศึกษามิใช่หรือ ? ลองให้เขาเข้าเฝ้าฝ่าบาทดูสิ มิแน่ว่าความสามารถอาจจะเข้าพระเนตรก็เป็นได้”
ผู้ที่โดนเรียกว่าผู้อาวุโสเจียงยกมือขึ้นลูบเคราขาวโพลนของตนเอง จากนั้นก็ยิ้มออกมาน้อย ๆ “หลานชายข้าได้ไปยังสำนักงานเขตตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”
……
……
ณ สำนักงานเขตซื่อหยาง
ฟู่เสี่ยวกวนและเจียงซั่งนั่งจ้องหน้ากันไปมา ทั้งสองล้วนมีอาการตกตะลึง
สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกแปลกใจก็คือชายหนุ่มผู้นี้หาได้มีความเกรงกลัวเขาแต่อย่างใด บัดนี้เขาเป็นถึงองค์จักรพรรดิ มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า แต่ชายหนุ่มผู้นี้เมื่อเดินเข้ามาก็ทำเพียงยกมือขึ้นคารวะ มิได้แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือถ่อมตนแต่อย่างใด
สิ่งที่เจียงซั่งรู้สึกประหลาดใจก็คือองค์จักรพรรดิที่ตนเคยได้ยินเรื่องราวมามากมายกลับเป็นชายหนุ่มอายุเพียงเท่านี้ อีกทั้งยังสวมเพียงอาภรณ์ผ้าไหมธรรมดา หาได้มีวี่แววเหมือนองค์จักรพรรดิไม่
“กระหม่อมเจียงซั่งเป็นบุตรหลานของตระกูลเจียงในเขตซื่อหยาง ขอถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะคารวะมิเป็นเสียอีก”
เจียงซั่งเงยหน้าขึ้น “ทูลฝ่าบาท ถึงเยี่ยงไรพระองค์ก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
“หรือต่อให้ฝ่าบาทมิใช่องค์จักรพรรดิ หากกระหม่อมพบเจออยู่ข้างถนนก็จะทำความเคารพเช่นกัน”
“เพราะเหตุใด ? ”
“เนื่องจากกระหม่อมได้ฟังเรื่องราวของฝ่าบาทมามากมายนับมิถ้วน และพระองค์คู่ควรต่อการที่กระหม่อมจะนับถือพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มกว้าง พลางคิดไปว่าชื่อเสียงของข้าก็คงมิเลวสักเท่าใด
“กอปรกับที่ฝ่าบาทได้จัดการขุนนางผู้โกงกินทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมจึงต้องทำความเคารพจากใจจริงพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เจียงซั่งก็ถอยหลังไป 3 ก้าว จากนั้นก็คุกเข่าลงที่พื้นแล้วก้มหน้าคารวะ “กระหม่อมเจียงซั่งถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เจ้าหมอนี่น่าสนใจเลยทีเดียว ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าพลางเดินตรงเข้าไป จากนั้นก็ช่วยพยุงเขาขึ้นมา “เจ้ากำลังยกยอข้าอยู่”
“ฝ่าบาททรงตรัสเยี่ยงนี้ก็มิถูกนัก เพราะกระหม่อมทำความเคารพฝ่าบาทจากใจจริง ทำความเคารพแทนชาวบ้านในเขตซื่อหยางทุกคนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเรียนหนังสือมามากน้อยเพียงใด ? ”
“ศึกษาสืบทอดมาจากบรรพบุรุษพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“อ้อ…เจ้าเคยเข้าร่วมการสอบเคอจี่ที่เมืองกวนหยุนตอนชิวเหวยมาก่อนหรือไม่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ระยะทางช่างยาวไกลมากยิ่งนัก กระหม่อมมิอาจเดินทางไปได้ทันพ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญนั่งก่อนเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“หากต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของเขตซื่อหยางให้รุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นต้องใช้วิธีการใด ? ”
บัดนี้หัวข้อสนทนาของทั้งสองคนดูเป็นพิธีการมากยิ่งขึ้น มองดูแล้วเจียงซั่งก็ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นว่าพื้นที่ของเขตซื่อหยางค่อนข้างพิเศษกว่าที่อื่น หากต้องการใช้ที่แห่งนี้ในการเพาะปลูก ต่อให้เป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวและมันเทศของฝ่าบาทก็เกรงว่าจะเพียงพอต่อประชากรในเขตซื่อหยางเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เขตซื่อหยางมีทั้งสิ้น 3 เมืองและ 12 ตำบลภายใต้การปกครอง โดยมีประชากรมากกว่า 200,000 คน ส่วนที่เมืองซื่อหยางแห่งนี้มีประชากรเพียง 50,000 คนเท่านั้น มิอาจเทียบกับแปดรัฐแห่งหนานชางได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทว่าเขตซื่อหยางมีพื้นที่กว้างใหญ่ ฝ่าบาทเคยตรัสว่าทั้งหกรัฐแห่งเป่ยเซียวควรได้รับการจัดตั้งเป็นฐานอุตสาหกรรมหนักในแผนพัฒนาห้าปีแรกมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? กระหม่อมคิดว่าเขตซื่อหยางสามารถรับผิดชอบส่วนหนึ่งเอาไว้ได้ เนื่องจากที่เขตนี้มีน้ำมันพิเศษชนิดหนึ่ง แม้กระหม่อมจะมิรู้ว่าของสิ่งนี้สามารถทำอันใดได้บ้างนอกจากการเผาไหม้ แต่ก็คิดว่าสามารถส่งมอบให้กับทางสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติทำการวิจัยได้ คาดว่ามันจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก หากพวกเรารู้จักใช้มันพ่ะย่ะค่ะ”
“น้ำมันเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าเล่ามาสิว่ามันมีลักษณะเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“มันคือน้ำมันสีดำที่มีกลิ่นฉุนแสบจมูกพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “มีกลิ่นเหม็นเหมือนไข่เน่าใช่หรือไม่ ? ”
เจียงซั่งตกตะลึงงันขึ้นมาทันใด “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรู้จักของสิ่งนี้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
สวรรค์ !
น้ำมันปิโตรเลียม !
อีกทั้งยังเป็นแหล่งน้ำมันแบบกลางแจ้ง !
“ของสิ่งนี้อยู่ที่ใด ? ”
“มันอยู่ที่บึงดำในเขตซื่อหยางพ่ะย่ะค่ะ สถานที่แห่งนั้นมิมีผู้คนอาศัยอยู่เลย เนื่องจากน้ำมันจะเผาไหม้เป็นควันดำและมีกลิ่นมิพึงประสงค์ แต่กระหม่อมคิดว่าหากสร้างโรงงานอิฐและปูนซีเมนต์ในเขตซื่อหยาง เจ้าสิ่งนี้อาจจะใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าสิ่งนั้นมีมากมายจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ เป็นวัสดุที่มิต้องลงทุนสักอีแปะเดียว กระหม่อมจึงคิดว่าน่าจะมีพ่อค้าเต็มใจมาลงทุนและสร้างโรงงานที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อรู้สึกว่าความคิดเห็นของตนเองสมบูรณ์แบบยิ่ง แต่เมื่อประโยคเหล่านี้เข้าไปในหูของฟู่เสี่ยวกวน เขาก็แทบจะระเบิดโทสะออกมา
เจ้าจะใช้น้ำมันปิโตรเลียมในการเผาไหม้เยี่ยงนั้นหรือ !
ต่อให้ฟุ่มเฟือยเพียงใดก็มิควรทำเยี่ยงนี้ !
วิธีใช้น้ำมันปิโตรเลียมนั้นกว้างขวางมากยิ่งนัก อาทิเช่นการหล่อลื่นทางอุตสาหกรรม ใช้เป็นพลังงานบริสุทธิ์ หากมีสิ่งนี้ก็จะสามารถศึกษาเครื่องยนต์สันดาปภายใน1 ได้
ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน การแก้ไขปัญหาการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมคงทำได้มิยากจนเกินไป แม้มิสามารถทำให้บริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง แต่คาดว่าน้ำมันที่กลั่นออกมาจะใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินมากที่สุด
แม้ว่าเครื่องจักรไอน้ำยังมิได้นำมาใช้งานในหมู่ราษฎร แต่ของสิ่งนี้มิได้ส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในที่จะศึกษาโดยสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติ แน่นอนว่าคงมิสามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน เพราะมันมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น วัสดุ การหล่อและกระบวนการต่าง ๆ
“บึงดำแห่งนั้นอยู่ไกลจากที่นี่มากหรือไม่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ราว 300 กว่าลี้พ่ะย่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงมาหาข้าที่สำนักงานเขต แล้วพาข้าไปดูสักหน่อย”
เดิมทีเจียงซั่งคาดว่ากลยุทธ์ของตนจะมิถูกฝ่าบาทยอมรับ เขาย่อมมิรู้ว่าคำเอ่ยของตนจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ราชวงศ์อู๋ได้เยี่ยงไร
1เครื่องยนต์สันดาปภายใน หมายถึง เครื่องยนต์ที่การสันดาปเกิดขึ้นไม่ต่อเนื่อง เช่น เครื่องยนต์ลูกสูบสี่จังหวะและสองจังหวะ