นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 891 โอกาสทางธุรกิจ
ตอนที่ 891 โอกาสทางธุรกิจ
ณ หอซื่อฟางสาขาเมืองกวนหยุน
ซือหม่าเทา หวางซุนอู๋หยา และคนอื่น ๆ ได้มารวมตัวกันที่นี่
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ? ท่านราชเลขาจัวและท่านที่ปรึกษาหนานกงเดินทางไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียวแล้ว ! ”
หยูซิ๋งเจี่ยนใช้นิ้วเคาะโต๊ะพลางเอ่ยออกมาว่า “ข้ายังได้ยินมาอีกว่า คนจากสำนักวิทยาศาสตร์หลายพันคนกำลังเดินทางไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียวด้วยเช่นกัน”
“ทหารดาบเทวะกองทัพที่สามจำนวน 100,000 นายก็ได้เดินทัพไปยังหกรัฐแห่งเป่ยเซียวแล้ว ! ”
“ได้ยินมาว่าฝ่าบาทเสด็จประพาสไปถึงเขตซื่อหยางแห่งหยู่โจวแล้ว หรือจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นกัน ? ”
“เหลวไหล ! ประเดี๋ยวหยุนซีเหยียนและจงสือจี้มาค่อยเอ่ยถามพวกเขาเถิด”
ชายหนุ่มทั้งห้าต่างเฝ้ารออยู่อย่างเงียบ ๆ เพียงมินานหยุนซีเหยียนและจงสือจี้ก็ได้มาถึงชั้นสองของหอซื่อฟาง
ในจังหวะที่ทั้งสองเพิ่งทรุดกายลงนั่ง ซือหม่าเทาก็ได้เอ่ยถามเรื่องที่สงสัยทันทีว่า “พี่หยุน พี่จง ฝ่าบาท…ทรงเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือไม่ ? ”
“เรื่องใหญ่กับผีสิ ! อืม…จะเอ่ยว่ามิใช่เรื่องใหญ่ก็มิถูกต้องนัก เพราะก็เหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ” หยุนซีเหยียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก เดิมทีฝ่าบาททรงปลดพวกขุนนางทั้งหมดที่อยู่ในเขตซื่อหยาง หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ทรงออกราชโองการสองฉบับกลับมาที่ราชสำนัก โดยกล่าวว่าพระองค์จะทรงดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอของเขตซื่อหยาง ! ”
หยุนซีเหยียนยกยิ้ม “ฝ่าบาทของพวกเราเป็นเช่นไรพวกเจ้าก็ใช่ว่าจะมิทราบ ทันทีที่ราชโองการมาถึงเมืองหลวง ขุนนางอาวุโสทั้งหลายต่างก็เต้นเร่า จากนั้นก็เรียกรวมขุนนางนับร้อยมาประชุม ทั้งยังจัดการสยบต้วนชูเหวินชื่อหลางกรมขุนนางลงที่ท้องพระโรงซวนเต๋อ”
“พวกเจ้าก็ทราบว่าฝ่าบาททรงเข้มงวดในเรื่องการปกครองท้องถิ่นมากเพียงใด มิเช่นนั้นจะมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการค้าให้พวกเจ้าเยี่ยงนี้หรือ ? เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่เขตซื่อหยาง ท่านราชเลขาจัวและท่านที่ปรึกษาหนานกงย่อมนั่งมิติดไปโดยปริยาย พวกเขาจึงพาขุนนางสองสามคนออกเดินทางไปยังเขตซื่อหยาง บัดนี้จึงเหลือเพียงเสนาบดีฝ่ายบริหารเท่านั้นที่คอยดูแลราชสำนักอยู่”
หยุนซีเหยียนยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พลางสบสายตากับทุกคนที่จ้องมองมา จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “นี่มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะที่น่าแปลกใจคือเจ้าหน้าที่จากสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติและทหารดาบเทวะกองทัพที่สามกำลังเดินทางไปยังเขตซื่อหยางต่างหาก”
เขาชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็วิเคราะห์ขึ้นมาอีกว่า “หากจะเอ่ยว่าเกิดเรื่องกับฝ่าบาท เช่นนั้นก็ให้ทหารดาบเทวะไปก็พอแล้วมิใช่หรือ ? ทว่าฝ่าบาทกลับเรียกหาสำนักวิทยาศาสตร์ ทั้งยังเป็นทุกคนในสำนักวิทยาศาสตร์พร้อมกับอุปกรณ์ครบครัน”
“พวกเจ้าคงมิทราบว่าสำนักวิทยาศาสตร์แห่งชาติมีเจ้าหน้าที่สามพันกว่าคนเท่านั้น ทว่ารถม้าที่ลากอุปกรณ์และเครื่องมือแทบจะเป็นขบวนที่ยาวมากกว่าสิบลี้ ตามความเข้าใจที่ข้ามีต่อฝ่าบาทคือพระองค์ประสงค์จะสร้างฐานอุตสาหกรรมหนักขึ้นที่หกรัฐแห่งเป่ยเซียว พระองค์จึงย้ายที่ตั้งของสำนักวิทยาศาสตร์ไปด้วย เพื่อสร้างงานวิจัยและการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น”
“ทว่าเรื่องนี้กะทันหันจนเกินไป จากที่ข้าตริตรองดูก็มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือฝ่าบาทพบเจอสิ่งที่มิธรรมดาที่เขตซื่อหยาง บางที…หกรัฐแห่งเป่ยเซียวอาจจะเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจก็เป็นได้”
คำวิเคราะห์ของหยุนซีเหยียนถือว่ามีความแม่นยำเป็นอย่างมาก ซือหม่าเทาและคนอื่น ๆ ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยกันถ้วนทั่ว
“โดยเฉพาะการที่ฝ่าบาทบัญชาโยกย้ายทหารดาบเทวะกองทัพที่สามก็เห็นได้ชัดแล้วว่าสถานที่แห่งนั้นมีของที่ยอดเยี่ยมอยู่อย่างแน่นอน ฝ่าบาทถึงได้ประสงค์ให้ทหารดาบเทวะไปคุ้มกัน ! ”
ด้วยประโยคที่หยุนซีเหยียนเอ่ยเสริมขึ้นมา ทำให้หวางซุนอู๋หยาตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม “หรือจะเป็นเหมืองแร่ทองคำ ? ”
หยุนซีเหยียนส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่ามันล้ำค่าเสียยิ่งกว่าเหมืองแร่ทองคำ ! ”
ล้ำค่ายิ่งกว่าเหมืองแร่ทองคำเยี่ยงนั้นหรือ ?
แล้วมันคือสิ่งใดกันเล่า ?
มิมีผู้ใดสามารถตอบคำถามนี้ได้
ในตอนนั้นเองจงสือจี้ก็ได้เอ่ยด้วยท่าทีจริงจังเป็นอย่างมากว่า “ฝ่าบาททรงสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมามิรู้จบ นาเกลือมู่หยางที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนมีทหารคอยคุ้มกันเพียงแค่ 3,000 นายเท่านั้น แต่ครานี้ใช้ทหารถึง 100,000 นาย ! ดังนั้นข้าจึงคิดว่าของสิ่งนั้นที่เขตซื่อหยางต้องมีความหมายเชิงกลยุทธ์มากเป็นแน่”
“พี่หยุนเอ่ยว่าหกรัฐแห่งเป่ยเซียวจะเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจซึ่งข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง พวกเจ้าลองคิดดูเถิดว่าสถานที่ทรุดโทรมเยี่ยงนั้นยากจนมากเพียงใด เมื่อทัพใหญ่ 100,000 นายเข้าไปประจำการ ความต้องการเรื่องปากท้องของคนและม้าคิดเป็นจำนวนเท่าใด ? ”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเรายังมิทราบว่าเป็นของสิ่งใด แต่ฝ่าบาทต้องสร้างโรงงานขึ้นมาเป็นแน่ พวกเจ้าอย่าคิดยื่นมือเข้าไปยุ่งกับโรงงานนั้นเลยเพราะมันย่อมเป็นอุตสาหกรรมหลวงอย่างมิต้องสงสัย ทันทีที่โรงงานถูกสร้างจนเสร็จ ฝ่าบาทย่อมต้องการคนงานไปทำงานในโรงงาน เมื่อคนงานได้รับค่าจ้างก็ย่อมนำไปจับจ่ายใช้สอย… ทุกท่าน การค้าขาย ณ สถานที่แห่งนั้นยังคงว่างเปล่า แม้แต่สำนักงานการค้าก็ยังมิไปตั้งที่หยู่โจวเลย หากพวกเจ้ามีเวลาว่างก็ควรไปดูสักหน่อย”
คำเอ่ยนี้สมเหตุสมผลยิ่ง !
ซือหม่าเทาออกความคิดเห็นขึ้นมาทันใด “พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไปสำรวจเขตซื่อหยางสักหน่อย พวกเจ้าสนใจจะไปด้วยกันหรือไม่ ? ”
บัดนี้กิจการของแต่ละตระกูลก็อยู่ตัวกันแล้ว พวกเขามีความสงสัยต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ละคนจึงตกลงออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น
อาหารและสุราถูกนำขึ้นโต๊ะ ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งสนทนาและร่ำสุรากันอย่างสนุกสนาน
“น้องซือหม่า ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงอนุญาตเรื่องงานสมรสระหว่างเจ้าและหานเยียนเอ๋อร์จากตระกูลหานแล้ว พวกเจ้าได้ฤกษ์แต่งงานเมื่อใด ? ” หยุนซีเหยียนเอ่ยถามขึ้นมา
ซือหม่าเทาหัวเราะน้อย ๆ “กำหนดเป็นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เมื่อถึงเวลานั้นพวกท่านสามารถมาร่วมดื่มด้วยกันได้”
“เรื่องงานสมรสต้องจัดที่เมืองกวนหยุน เพราะข้าและพี่จงมิสามารถปลีกตัวไปข้างนอกได้เลย ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ พี่สาวของข้าก็ประสงค์ให้จัดงานที่เมืองกวนหยุนเช่นกัน”
“ถือเป็นความสัมพันธ์ที่ดี แล้วจะกลับไปจัดที่หยิงชิวแห่งราชวงศ์หยูด้วยหรือไม่ ? ”
ซือหม่าเทาส่ายหน้า “พวกเรารับซื้อกิจการผ้าไหมของตระกูลหานมาแล้ว กิจการส่วนมากของตระกูลของข้าก็อยู่ที่ราชวงศ์อู๋ ส่วนที่เหลืออยู่ในราชวงศ์หยูก็มีเพียงโรงงานที่ว่อเฟิงเต้า ตรงนั้นมีพ่อบ้านใหญ่คอยอยู่จัดการ…”
เอ่ยจบเขาก็ถอนหายใจยาวออกมา “เพิ่งมาอยู่ราชวงศ์อู๋ได้เพียงหนึ่งปีกว่าเท่านั้น บางคราข้าก็ลืมไปแล้วว่าตนเป็นคนจากราชวงศ์หยู เฮ้อ… ! ”
“ถอนหายใจด้วยเหตุอันใด ชาวหยูแตกต่างจากชาวอู๋เยี่ยงไร ? ข้าจะบอกเจ้าว่าจากสถิติล่าสุดของกรมการค้า ผู้ค้าขายชาวหยูที่มาตั้งรกรากในราชวงศ์อู๋มีมากกว่า 10,000 รายแล้ว ! ในหมู่คนเหล่านี้มีจำนวนมากที่แยกตัวออกมาจากกิจการของตระกูล ถึงแม้ว่าจำนวนคนจะมิเท่าตระกูลเฉิน ตระกูลโจวและตระกูลหลู่ที่ย้ายออกไป ทว่าพวกเขาเหล่านี้ก็มีความกระตือรือร้นมากยิ่งนัก”
“พวกเขามองมิเห็นอนาคตของราชวงศ์หยู แต่พวกเขาเชื่อมั่นในองค์จักรพรรดิของพวกเรา ! พวกเจ้ายังจำเหอเชิงอันผู้นั้นได้หรือไม่ ? คนที่สอบได้อันดับสองของเอินเคอครานั้น เขาถูกฮ่องเต้โยนไปเป็นนายอำเภอที่หลานหลิงแล้ว หลายวันก่อนหน้านี้เขาส่งจดหมายมาหาข้าหนึ่งฉบับ ข้อความในจดหมายแสดงให้เห็นถึงความทุกข์จนเอ่ยมิออก ! ”
“ทันทีที่ฝ่าบาทจากมา เศรษฐกิจของว่อเฟิงเต้าก็แทบจะเรียกได้ว่าซบเซา แม่น้ำขนาดใหญ่จากเหนือจรดใต้ที่ขุดได้ช่วงหนึ่งนั้นก็ไร้ประโยชน์ไปแล้วเพราะไร้เงินสนับสนุนที่มากพอ แม้แต่ฐานการขนส่งที่เขตหลานหลิงก็สร้างได้เพียงสองส่วนจากแผนที่วางเอาไว้เท่านั้น ทุกแผนดำเนินงานต้องหยุดลงเพราะมิมีเงินเหลืออยู่ในคลังแล้ว”
“เฮ้อ…” หยุนซีเหยียนส่ายหน้าไปมา “พวกเขาล้วนเป็นคนที่ชื่นชอบในความสามารถของฝ่าบาท มิมีผู้ใดคาดคิดว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับมายังราชวงศ์อู๋ บัดนี้พวกเขาที่ยังอยู่ในราชวงศ์หยูรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาได้รับการคัดเลือกจากฝ่าบาทโดยตรง ทว่ามิได้ถูกวางไว้ในหน้าที่สำคัญจากหยูเวิ่นเต้า หากมิใช่เพราะเต้าถายหนิงหยู่ชุนคอยปกครอง ก็เกรงว่าหยูเวิ่นเต้าจะปลดพวกเขาออกทั้งหมด”
หวางซุนอู๋หยาหัวเราะร่า เขาลดเสียงลง จากนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าจะแจ้งข่าวกับพวกท่านหนึ่งเรื่อง พวกของน้องชายข้าหวางซุนอู๋จี้ล้วนเป็นชายหนุ่มของกรมการค้าที่ฝ่าบาททรงคัดเลือกด้วยตนเองเมื่อปีนั้น หรือแม้แต่รองหัวหน้ากรมหลี่ฉาย บัดนี้พวกเขากำลังตรงมายังราชวงศ์อู๋ ! ”
หยุนซีเหยียนมิได้ส่งเสียงอันใด เพราะเดิมทีก็เป็นเรื่องที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว
ในตอนนี้หยุนซีเหยียนกำลังครุ่นคิดเรื่องอื่นอยู่ เขาต้องทำเยี่ยงไรถึงจะสามารถพาเหอเชิงอันมายังราชวงศ์อู๋ได้
เขาส่งจดหมายไปหากงซุนเซ่อแล้ว อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาแล้วเช่นกัน ทว่าบุรุษผู้นี้ควรมาถึงเมืองกวนหยุนเนิ่นนานแล้ว แต่บัดนี้เขาหายไปอยู่ที่ใดแล้วเล่า ?