นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 898 การตัดสินใจของศิษย์พี่ใหญ่
ตอนที่ 898 การตัดสินใจของศิษย์พี่ใหญ่
ณ อีกฟากฝั่งของทะเลอันไกลโพ้น
ท่ามกลางแสงสุริยาเจิดจ้า ใบหน้าของหลิวจิ่นได้ปรากฎรอยยิ้มกว้าง
สถานที่รกร้างแห่งนี้เดิมทีเขาคิดว่ามิมีผู้ใดอาศัยอยู่ คาดมิถึงว่าเมื่อข้ามผ่านภูเขาลูกหนึ่งมาจะพบเข้ากับชาวพื้นเมืองจำนวนมากมาย
ชาวพื้นเมืองเหล่านี้มีวิถีการดำรงชีวิตเป็นชนเผ่าและมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันขึ้นเป็นหมู่บ้าน
แน่นอนว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้มิใช่คู่ต่อสู้ของกองนาวิกโยธิน เนื่องจากอาวุธที่พวกเขาใช้ยังเป็นหอกที่บริเวณหัวหอกทำมาจากกระดูกแบบโบราณ กองนาวิกโยธินจำนวน 1,000 นายระดมยิงเพียงรอบเดียวก็สามารถกำจัดชาวพื้นเมืองเหล่านี้ได้สิ้นซาก
น่าเสียดายมากยิ่งนักที่ภาษาในการสื่อสารแตกต่างกัน ทว่าจากท่าทางที่พวกเขาคุกเข่าลงพื้น คาดว่าคงจะยอมแพ้แล้ว ในเมื่อพวกเขายอมแพ้ หลิวจิ่นจึงจดจำคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นอย่างดีว่าอย่าสังหารอีกฝ่ายจนสิ้นซาก เพราะมิแน่ว่าในอนาคตพวกเขาเหล่านั้นอาจมีประโยชน์
หัวหน้าเผ่าของชาวพื้นเมืองส่งมอบทองคำจำนวนนับมิถ้วนรวมไปถึงเพชรพลอย แต่สิ่งที่หลิวจิ่นคิดว่ามีค่ามากที่สุดก็คือสิ่งที่ใส่อยู่ในกล่องจำนวนหลายสิบใบนี้…พวกมันคือเมล็ดพันธุ์พืชนั่นเอง !
แท้ที่จริงตัวเขาเองก็มิทราบว่าอันใดคือเมล็ดพันธุ์พืช รู้เพียงแค่ว่าฝ่าบาททรงกำชับหนักหนาว่าให้รวบรวมสิ่งเหล่านี้เอาไว้
จากการข่มขู่ของหลิวจิ่น หัวหน้าเผ่าจึงสร้างเรือบรรทุกสัมภาระให้หลิวจิ่นอีก 3 ลำเพราะเรือที่เดินทางออกทะเลมาด้วยกัน จวบจนบัดนี้ก็ยังคงไร้ร่องรอย คาดว่าคงอับปางท่ามกลางพายุงวงช้างนั่นเสียแล้ว
เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกตนได้เข้ายึดครองพื้นที่แห่งนี้แล้ว หลิวจิ่นจึงปักธงมังกรผืนใหญ่ไว้บนสุดของพื้นที่ในหมู่บ้านแห่งนี้
พวกหลิวจิ่นอยู่บนเกาะนี้ราว 1 เดือนเศษ ดูเหมือนสิ่งใดที่สามารถแย่งชิงมาได้ก็แย่งชิงมาจนหมดสิ้นแล้ว บัดนี้เรือบรรทุกสัมภาระก็ได้สร้างเสร็จแล้ว จึงได้เวลาออกเดินทางเสียที
แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับปัญหาอีกครา
“ข้าขอยืนกรานให้หันหัวเรือกลับ ! ” จิ่งเปียนสงเอ้อจ้องมองหลิวจิ่นแล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น “หนทางข้างหน้าพวกเรามิรู้อันใดเกี่ยวกับมันเลยด้วยซ้ำ บัดนี้ก็ล่วงเลยมาถึงเดือนหกแล้ว เป็นช่วงที่ทะเลมีมรสุมร้ายแรงที่สุด ดีมิดีพวกเราอาจจะพบกับพายุลูกใหญ่อีกคราและเกรงว่าพวกเราจะมิโชคดีเหมือนเดิม ! ”
หลิวจิ่นทำท่าทางมิพอใจเพราะบัดนี้เสบียงต่าง ๆ ก็มีครบแล้ว เรือ 3 ลำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ลำหนึ่งใช้บรรทุกเงินทองเพชรพลอยที่ปล้นมาได้ ส่วนอีก 2 ลำยังคงว่างเปล่า… ดูเหมือนว่ายังมิคุ้มค่าสักเท่าใดนัก !
“ความเห็นของข้าคือพวกเราควรเดินหน้าต่อไปตามเส้นทางเลียบชายฝั่ง สถานที่แห่งนี้วัฒนธรรมยังคงล้าหลัง บางทีพวกเราอาจจะได้พบกับชนพื้นเมืองเยี่ยงนี้อีก”
“มีแนวปะการังซ่อนอยู่มากมายในน่านน้ำ พวกเรามิรู้สถานการณ์ในน่านน้ำชายฝั่งเลยสักนิด หากเรือกระทบกับโขดหินเข้า…แม้แต่หลิวจิ่นห้าวก็มิสามารถถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย ! ” จิ่งเปียนสงเอ้อพยายามโต้เถียงด้วยเหตุผลและเอ่ยเสริมว่า “ใต้เท้าหลิวลองคิดเยี่ยงนี้เถิด หากเราเดินทางออกจากราชวงศ์อู๋และล่องเรืออยู่ในทะเลเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม ! นี่เป็นระยะทางที่ยาวไกลมากแล้ว ! จากแคว้นหลิวเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ใช้เวลาเพียง 1 เดือน พวกเรามายังสถานที่แห่งนี้โดยมิรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีนามว่าเยี่ยงไร หากพวกเราเดินหน้าต่อและมีอันใดเกิดขึ้นก็เกรงว่าจะมิสามารถย้อนกลับไปได้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จะล้มเหลวและขาดทุนมิใช่หรือ ? ”
พอหลิวจิ่นได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลมากยิ่งนัก
เมื่อเดือนสามพวกเขาได้ออกทะเลมา หากเดินทางกลับไปยังราชวงศ์อู๋ในเวลานี้ ก็คาดว่าจะถึงเดือนสิบพอดิบพอดี
คาดว่าฝ่าบาททรงกำลังรอข่าวจากพวกเขาอยู่เช่นกัน ฝ่าบาทจะต้องเป็นกังวลว่าเขาจะอยู่หรือตายเป็นแน่ คาดว่าฝ่าบาทคงเสวยมิได้บรรทมมิหลับ… จะให้ฝ่าบาททรงกังวลแทนเขามิได้เป็นอันขาด
“ตกลง เช่นนั้นก็กลับไปยังราชวงศ์อู๋ ! ”
ในที่สุดจิ่งเปียนสงเอ้อก็ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก เขานึกกลัวเสียเหลือเกินว่าเจ้าขันทีผู้นี้จะเดินหน้าต่อ ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเส้นทางที่ไร้วันย้อนกลับ !
แต่ทันใดนั้นเอง ศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้เอ่ยออกมาว่า
“แผนที่ในการเดินเรือมายังสถานที่แห่งนี้ข้าได้วาดจนสมบูรณ์แล้ว ข้าฟังจากน้ำเสียงและภาษาของชนเผ่าเหล่านั้นจึงตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่าอะแลสกา ส่วนเกาะรอบนอกนี้เรียกว่าหมู่เกาะอะลูเชียน”
“แผนที่นี้มีสำเนาเหมือนกัน 2 ฉบับ พวกเจ้าจงนำฉบับหนึ่งกลับไปยังราชวงศ์อู๋เถิด”
ซูม่อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน “ศิษย์พี่ใหญ่… หรือว่าท่านต้องการอยู่ต่อกัน ? ”
ซูเจวี๋ยยกมือทั้งสองข้างขึ้นจัดแจงหมวกให้เรียบร้อย “ข้ามิได้อยากอยู่ต่อที่นี่หรอก ทว่าศิษย์น้องเล็กเคยเอ่ยว่าใต้หล้านี้เป็นทรงกลม ข้าจึงต้องการเดินทางมาโดยเรือและเดินทางกลับทางบก หากใต้หล้านี้เป็นทรงกลมจริง ข้าย่อมเดินทางกลับไปถึงราชวงศ์อู๋ได้อย่างแน่นอน”
“แล้วถ้าใต้หล้านี้มิได้กลมเล่า ? ”
“…เช่นนั้นข้าก็อยากดูว่าจะสามารถเดินทางไปได้ไกลสักเท่าใด”
เกาหยวนหยวนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันใด “เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ข้าจะร่วมเดินทางกับศิษย์พี่ใหญ่ ! ”
ซูม่อรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา “เมื่อข้าเดินทางกลับไปถึงราชวงศ์อู๋แล้ว ข้าจะบอกกับศิษย์พี่สามว่าเยี่ยงไรเล่า ? ”
ซูเจวี๋ยหยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋าหนึ่งฉบับ “จงมอบจดหมายนี้ให้ศิษย์พี่สามของเจ้า แล้วนางจะเข้าใจความคิดของข้าเอง”
ซูม่อลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอื้อมมือไปรับจดหมาย เขามองไปทางเกาหยวนหยวน “ศิษย์พี่รอง ท่านมิเขียนจดหมายถึงเหมยหลี่เสวี่ยหงสักหน่อยหรือ ? นางยังรอท่านอยู่ที่สำนักเต๋า ! ”
เกาหยวนหยวนถูมือไปมา “ข้าเพิ่งตัดสินใจมิใช่หรือ ข้าจะลงมือเขียนประเดี๋ยวนี้แหละ นางคงเข้าใจข้าเช่นกัน”
ทว่าหลิวจิ่นและจิ่งเปียนสงเอ้อมิอาจเข้าใจได้
โลกกลมเยี่ยงนั้นหรือ ?
แล้วเหตุใดทะเลถึงเรียบแบนเล่า ?
ณ สถานที่แห่งนี้มิรู้เลยว่าอยู่ห่างจากราชวงศ์อู๋เท่าใด พวกเขาตั้งใจจะเดินเท้ากลับ… ต่อให้สามารถเดินเท้ากลับไปได้ ทว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกันกว่าจะไปถึงราชวงศ์อู๋ ?
มิมีผู้ใดทราบว่าเกาหยวนหยวนและซูเจวี๋ยจะใช้เวลานานเท่าใดในการเดินเท้ากลับไปถึงราชวงศ์อู๋ ยิ่งไปกว่านั้นมิมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า เมื่อพวกเขาข้ามผ่านช่องแคบเบริงนี้ไปแล้วจะได้พบเจอกับสิ่งใด
เช้าวันต่อมา ชาวพื้นเมืองนับพันคนร่วมส่งหลิวจิ่นและคณะขึ้นสู่หลิวจิ่นห้าว จากนั้นเขาก็พาเรือขนสัมภาระทั้งสามลำเดินทางออกสู่ทะเลเพื่อกลับไปยังราชวงศ์อู๋
หัวหน้าเผ่าเหล่านั้นยืนโบกมืออำลาหลิวจิ่นและคณะ รอจนมิเห็นเงาของเรือพวกเขาแล้ว จึงกลับไปยังชนเผ่าของตนแล้วลูบคลำผ้าไหมที่หลิวจิ่นมอบให้ พลันรู้สึกว่าคนบนเรือช่างโง่เขลามากยิ่งนัก !
พวกนั้นมิรู้หรือว่าเจ้าสิ่งนี้คือผ้าไหม สัมผัสของมันอ่อนนุ่มละมุน หากนำมาสวมใส่จะให้ความรู้สึกสบายดุจอยู่บนสรวงสวรรค์
ของดีเยี่ยงนี้ พวกนั้นกลับนำมาแลกกับเพชรนิลจินดาไร้ค่า !
นี่มิเรียกว่าโง่แล้วเรียกว่าอันใดเล่า ?
ชาวพื้นเมืองจึงพากันหัวเราะออกมา
และหวังว่าคนเหล่านั้นจะเดินทางกลับมาอีกครา ต้องให้ลูกน้องขุดหาเงินทองเพชรพลอยเตรียมไว้มากกว่านี้สักหน่อยแล้ว เพราะคราหน้าจะได้แลกผ้าไหมได้มากกว่าเดิม
ในเช้าวันเดียวกันนี้ ซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนก็ได้พายเรือลำหนึ่งไปตามชายฝั่งเพื่อไปยังช่องแคบเบริง
สามวันต่อมาพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย ช่องแคบสองฝั่งของสถานที่แห่งนี้อยู่มิไกลกันมากนัก และอีกหนึ่งวันต่อมาทั้งสองก็ได้มาถึงฝั่งตรงข้าม จากนั้นอีกสองสามวันพวกเขาก็ค้นพบว่ายังมีชนเผ่าที่คล้ายคลึงกับเผ่าฝั่งตรงข้ามอยู่อีก
“ใต้หล้าฟ้าเขียวนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเสียจริง ! ”
ซูเจวี๋ยเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจ “ในตอนนั้นศิษย์น้องเล็กเคยเอ่ยว่า ใต้หล้านี้แบ่งออกเป็นเจ็ดทวีปสี่มหาสมุทร อีกฝั่งของท้องทะเลกว้างใหญ่จะมีผู้คนสีผิวต่างกันอาศัยอยู่บนผืนปฐพีนี้ด้วย… มันเป็นเยี่ยงนั้นจริง ๆ ด้วย แม้ว่าพวกเราจะยังเดินทางไปมิถึงจุดที่ศิษย์น้องเล็กเอ่ยถึง แต่ก็เริ่มพบผู้คนที่แตกต่างกันแล้ว คาดว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเล็กเอ่ยถึงจะเป็นเรื่องจริง ! ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดศิษย์น้องเล็กผู้มิเคยเดินทางออกทะเลสักครา ถึงทราบเรื่องราวเหล่านี้ได้กัน ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้าไปมา “ท่านอาจารย์เคยบอกไว้แล้วมิใช่หรือ ? ท่านเอ่ยว่าศิษย์น้องเล็กเป็นผู้มีความรู้มาแต่กำเนิด ข้าคิดว่าบางทีศิษย์น้องเล็กอาจจะล่วงรู้ทุกสรรพสิ่งก็เป็นได้”
เกาหยวนหยวนครุ่นคิดและรู้สึกว่าเป็นจริงดังนั้น
“พวกเราจะไปแย่งชิงสมบัติของชนเผ่าเหล่านั้นหรือไม่ ? ”
“ไว้ก่อน… รอให้กลับมาคราหน้าดีกว่า บัดนี้มุ่งหน้าไปก่อนเถิด ! ”
ทั้งสองจึงเดินทางไกลออกไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่พวกเขามิรู้ก็คือหลังจากนั้น 2 เดือน ได้มีกองเรือจากทวีปยุโรปเข้าสู่หมู่เกาะอะลูเชียนและได้ขึ้นบกในผืนปฐพีเดียวกัน