นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 926 เยาวชนรุ่นก่อน
ตอนที่ 926 เยาวชนรุ่นก่อน
จัวหลิวหวินและเยี่ยนซีเหวินร่วมรำลึกถึงเยาวชนที่แยกย้ายกันไปคนละทิศละทางผ่านหินเชียนเปยสือ ณ หลานถิงจี๋ รวมถึงสหายเก่าที่บัดนี้กลายเป็นศัตรูและยากที่จะหวนกลับมาพบกันอีกครา
มีหลากหลายอารมณ์อยู่ในนั้นและรู้สึกว่าเหมือนบทกวีซีเจียงเยว่ที่อยู่บนหินเชียนเปยสือมิมีผิดเพี้ยน
“โลกนี้ราวกับความฝัน ชีวิตมนุษย์จะผ่านหนาวได้สักกี่ครา
ลมโชย ใบไม้ร่วงตามทางเดิน
มองไปยังไรผมที่เริ่มหงอกขาว
เมื่อสิ้นสุราชั้นเลิศ แขกเหลือน้อยจนปวดอุรา จันทราถูกเมฆาบดบัง
ค่ำคืนไหว้พระจันทร์ผู้ใดเดียวดายเยี่ยงข้า
ทำได้เพียงมองไปทางเหนือพร้อมสุราอย่างเดียวดาย”
“บัดนี้เขาอยู่ในเมืองกวนหยุนทางใต้ ข้ามิรู้ว่าในเมืองกวนหยุนหิมะกำลังตกอยู่หรือไม่ แล้วก็มิรู้ว่าสถานะของเขาในตอนนี้ ยังสามารถถือจอกสุรามองมาทางเหนือพร้อมกับความโดดเดี่ยวเดียวดายได้อยู่หรือไม่ ! ”
จัวหลิวหวินเผยรอยยิ้มเจือความเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา ในใจพลางนึกถึงแผนการที่ฮ่องเต้หยูเวิ่นเต้าวางไว้อย่างลับ ๆ ก็คือในเดือนสองหรือเดือนสามของปีหน้าที่จะถึงนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะออกทะเล ทว่ากองทัพสวรรค์ฆาต 300,000 นายแห่งราชวงศ์หยูนั้นจะเดินทางผ่านภูเขาฉีชาน
ฟู่เสี่ยวกวนได้ซ่อมแซมถนนบนที่ราบฮวาจ้งที่มุ่งตรงไปยังเมืองกวนหยุนเสร็จสิ้นแล้ว แน่นอนว่ากองทัพอาชาแห่งราชวงศ์หยูก็จะมุ่งหน้าไปยังเมืองกวนหยุนโดยต้องใช้เวลามิเกิน 10 วันในการเดินทางให้ถึงจุดหมาย
เมื่อถึงตอนนั้นพรรคพวกในเมืองกวนหยุนก็จะหนุนหลังช่วยทำลายประตูเมืองอย่างง่ายดาย… กว่าฟู่เสี่ยวกวนจะได้ทราบข่าวนี้ก็เกรงว่ากองทัพของราชวงศ์หยูจะกวาดล้างทหารดาบเทวะที่เขาต้องพึ่งพาจนหมดสิ้น แล้วยึดภูเขาทองคำที่แต่เดิมควรเป็นของราชวงศ์หยูกลับคืนมายังจินหลิง
ฟู่เสี่ยวกวนจะโกรธหรือไม่ ?
เขาจะสูญเสียกองทัพ สูญเสียภูเขาทองคำและสามตระกูลใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋จะถือโอกาสเข้าผสมโรงฉกฉวยผลประโยชน์ เกรงว่าเขายากจะได้หวนคืนไปยังเมืองกวนหยุนเสียด้วยซ้ำ
ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขาคือที่เขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน คาดว่าเขาจะสถาปนาราชวงศ์ขึ้นใหม่และหวนมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครา
ทว่าหยูเวิ่นเต้า เยียนหานยวี่ หรือแม้แต่ตระกูลใหญ่ทั้งสามแห่งราชวงศ์อู๋จะให้โอกาสฟู่เสี่ยวกวนได้ตั้งตัวอีกคราหรือไม่ ?
ย่อมเป็นไปมิได้อย่างแน่นอน
พวกเขาจำเป็นต้อง…กำจัดทิ้งให้สิ้นซาก !
นั่นคือจุดจบของวีรบุรุษที่มีความทะเยอทะยาน ยุคสมัยที่ควรจะสดใสก็พลันสิ้นสุดลง ใต้หล้านี้จะหวนคืนสู่สถานการณ์ปกติที่ไร้ชีวิตชีวาอีกครา ทั้งยังไร้สิ้นลูกคลื่นที่ทำให้ทะเลเกิดความปั่นป่วนอีกด้วย
จัวหลิวหวินมิได้เป็นผู้ที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพราะตนเป็นเจ้านายของตนเอง ผู้ชนะคือราชา เมื่อถึงวันนั้นสิ่งที่จัวหลิวหวินสามารถทำได้ก็คงเป็นการจัดอาหาร 1 โต๊ะให้อีกฝ่ายแล้วดื่มสุราซีซานเทียนฉุน 2 ขวด จากนั้นก็ส่งฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปยังสถานที่ไกลแสนไกล
เช่นเดียวกับเมื่อคราของอดีตองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูที่ร่างถูกฝังไว้ ณ ภูเขาหนานซาน บัดนี้ได้เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คนตามกาลเวลา
“ในบทกวีที่เขาประพันธ์นั้นมีบทที่ข้าชื่นชอบยิ่ง นั่นก็คือสงบซึ่งคลื่นลม”
ทั้งสองเดินมาถึงเบื้องหน้าของหินเชียนเปยสือ จากนั้นจัวหลินหวินก็ใช้นิ้วมือสัมผัสตัวอักษรที่อยู่ในแถวแรก
“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า วันที่ยี่สิบหก เดือนสอง ฝนกระหน่ำตกในเมืองแถบชายแดน ผู้ที่มีเสื้อกันฝนพากันล่วงหน้าไปก่อน ส่วนที่เหลือก็เดินทางอย่างยากลำบาก ข้ามิเคยตระหนักถึงความหมายจนเมื่อเขาได้ประพันธ์กวีนี้ขึ้นมา
จงละเลยเสียงฝนกระทบใบไม้ในพงไพร เหตุใดเจ้าจึงมิโห่ร้องทำนองเพลงแล้วเดินให้ช้าลง
ก้านไผ่แลรองเท้าฟางว่องไวกว่าการขี่ม้าไป มีสิ่งใดน่าหวาดกลัว
ชุดฝนนั้นโดนลมพัดปลิว คงมิต่างอันใดกับชีวิตข้า
สายลมเย็นแห่งวสันตฤดู พาฤทธิ์สุราในตัวข้าให้หายไป ความหนาวเหน็บทักทายแสงสุริยาอันแจ่มใส
หันหน้าไปมองทางสายฝนที่เดินผ่านมา จงกลับไปเถิด
หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมไร้แสงสุริยา”
“นี่คือบทกวีที่เขาประพันธ์ตอนเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวงศ์อู๋ พริบตาเดียวก็ผ่านมาแล้ว 5 ปีและนี่เป็นบทกวีที่ไพเราะยิ่งนัก โดยเฉพาะประโยคนี้ ไม้เท้าไผ่ ก้านไผ่แลรองเท้าฟางว่องไวกว่าการขี่ม้าไป มีสิ่งใดน่าหวาดกลัว ? ”
จัวหลิวหวินยิ้มพลางส่ายศีรษะเบา ๆ “เมื่อเอ่ยถึงเจ้าหมอนั่นแล้ว ก็เป็นผู้ที่มิเกรงกลัวอันใดเลยจริง ๆ ชีวิตของเขาตั้งแต่หลินเจียงจนมาถึงจินหลิง มิว่าการหลั่งโลหิตทุ่มกำลังสู้ในสนามรบตะวันตกเฉียงใต้ การปฏิรูปว่อเฟิงเต้าหรือเรื่องที่กำราบแคว้นฮวง เขาอาจจะมิรู้จักคำว่าเกรงกลัวเลยด้วยซ้ำ”
“นี่คือจิตวิญญาณแห่งการก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น ภายใต้การชี้นำของจิตวิญญาณที่แสนมุ่งมั่น จึงทำให้ทหารดาบเทวะเป็นตำนาน และสืบทอดราชบัลลังก์จากบรรพชนพร้อมบุกเบิกเส้นทางอันรุ่งเรืองแห่งอนาคต ราชวงศ์อู๋ก็ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้แล้ว เจ้านั่น…เป็นผู้ที่น่ากลัวยิ่งนัก ! ”
เยี่ยนซีเหวินก็มองบทกวีนี้อยู่เช่นกัน พลางพึมพำประโยคนี้ในใจว่า ‘หันหน้าไปมองทางสายฝนที่เดินผ่านมา จงกลับไปเถิด หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมย่อมไร้แสงสุริยา’ !
ตอนที่เขาไปจากราชวงศ์หยู เขาจะรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวนั้นบ้างหรือไม่ ?
เขาชอบที่ได้อยู่ในราชวงศ์หยูแห่งนี้ เกรงว่าเขาคงมิอยากเห็นสถานการณ์เปล่าเปลี่ยวในราชวงศ์หยูหรอก
จงกลับไปเถิด…ไปที่ใดเล่า ?
หากคำเอ่ยของท่านปู่เป็นเรื่องจริงก็เกรงว่าสถานที่ที่เขาจะกลับไปคาดว่าจะเป็นที่นี่
หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมย่อมไร้แสงสุริยา… นั่นก็คือกลับมาอย่างปล่อยวาง
เขาจะทำได้จริงหรือ ?
“พี่จัว เป็นไปได้หรือไม่ที่ฟู่เสี่ยวกวนจะกลับมาอีกครา ? ”
จัวหลิวหวินตื่นตกใจขึ้นทันพลัน จากนั้นก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เขาจะกลับมาได้เยี่ยงไร ? ”
……
……
หอซื่อฟางสาขาเมืองกวนหยุนมิได้ปิดร้านในวันส่งท้ายปีเก่า เนื่องจากเศรษฐกิจในเมืองนี้ดีมากยิ่งนัก
ดังนั้นในหอซื่อฟางแห่งเมืองกวนหยุนจึงปรากฏหยุนซีเหยียน จงสือจี้ ชืออีหมิงและเหล่าเยาวชนมากกว่าสิบคนนั่งล้อมอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ในขณะที่หวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ก็ได้ตั้งตามองเรื่องราวในอนาคตไปด้วย
“ข้าจะเอ่ยกับพวกเจ้าว่าผู้ที่มีเงินจงรีบไปซื้อเรือนที่เมืองกวนหยุนเถิด เพราะราคาเรือนในเมืองกวนหยุนจะเพิ่มขึ้นสามในสิบส่วนและจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ! ”
หยุนซีเหยียนถือจอกสุราไว้ในมือพลางคิดไปว่า ผู้คนเหล่านี้เคยอยู่ที่ว่อเฟิงเต้า ทว่าบัดนี้กลายเป็นเยาวชนประจำราชสำนักแห่งราชวงศ์อู๋ทั้งหมดแล้ว “เชื่อข้าเถิด เพราะข้าเป็นหัวหน้ากรมการค้าและเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจในตอนนี้อย่างชัดแจ้ง ! ”
“นี่คือปีที่สามของการดำเนินการตามแผนพัฒนาระยะห้าปีแรก มีผู้ค้าขายจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาค้าขายในเมืองกวนหยุน มิเพียงแต่ราชวงศ์หยูเท่านั้น พ่อค้าในแคว้นอี๋ที่มิสามารถแบกรับสถานการณ์ในปัจจุบันได้อีก ในครึ่งปีหลังนี้พ่อค้าจากแคว้นอี๋มีจำนวนเพิ่มขึ้น และมีพ่อค้าจากแคว้นอี๋ที่ไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกรมการค้าเพิ่มขึ้นอีกนับพันราย ! ”
“นอกจากนี้ก็มีแคว้นฝาน พ่อค้าจากแคว้นฝานมาตั้งถิ่นฐานในต่างแคว้นน้อยกว่าก็จริง ทว่าบริษัทที่จดทะเบียนก็มีมากถึงสี่ร้อยกว่าแห่งแล้ว ซึ่งผู้ค้าขายจากแคว้นฝานมาซื้อร้านค้าในกวนหยุนมากกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย”
“นี่ก็คือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผู้คนทั่วใต้หล้าต่างก็รับรู้ได้ถึงโอกาสทางการค้าในราชวงศ์อู๋ พวกเจ้าก็เข้าใจระบบเศรษฐกิจนี้ดีอยู่แล้ว มาเถิด…พวกเรามาดื่มอีกสามจอก ! ”
เยาวชนทุกคนพร้อมใจกันรินสุรา จากนั้นก็ดื่มเข้าไปอีกสามจอก
ชืออีหมิงและคนอื่น ๆ ก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
ชืออีหมิงเอ่ยว่า “พวกเราช่างโชคดียิ่งนักที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงจากฝ่าบาท ยามอยู่ที่ราชวงศ์หยูเพราะตระกูลได้กระทำความผิด พวกเราจึงถูกจับขัง คิดว่าตนเองต้องถูกตัดศีรษะเป็นแน่ แต่มิคิดเลยว่าพระองค์จะพาพวกเราออกมาจากที่นั่น… เจ้าคงยังมิรู้ว่าตอนอยู่ในจินหลิง ข้ามิได้ทำดีกับพระองค์เลยสักนิด ! ”
หยุนซีเหยียนหัวเราะร่าออกมา พลางเอ่ยว่า “ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าติดตามอยู่ข้างวรกายของพระองค์ ฝ่าบาทเปี่ยมไปด้วยน้ำพระทัย ข้ามั่นใจได้ว่าพระองค์ทรงลืมเรื่องเลวร้ายนี้ไปแล้ว บัดนี้ทั้งวันทั้งคืนพระองค์ทรงนึกถึงแต่เรื่องของราษฎรในราชวงศ์อู๋และสิ่งที่กำลังลุ่มหลงอยู่ก็คือทะเล”
“เยี่ยงไรเสีย แต่ก่อนข้าก็มิเคยร่วมงานเลี้ยงกับพวกเจ้าที่ราชวงศ์หยูเลยสักครา บัดนี้เมื่อพวกเรามารวมตัวกันอยู่ที่ราชวงศ์อู๋แล้ว ก็จงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีเถิด ฝ่าบาทและพวกเราต่างก็ยังเป็นเยาวชนอยู่”
“วันหนึ่งเมื่อต้าเผิงเริ่มโบยบิน ขี่พายุหมุนโผทะยานเก้าหมื่นลี้… มา ๆ ๆ ทุกท่าน เพื่อความปรารถนาอันแรงกล้าในใจและเพื่ออนาคตที่ก้าวไกลของพวกเรา จงชูจอกสุราแล้วดื่มให้ฝ่าบาทของพวกเรา ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ! ”
จากนั้นก็มีเสียงดังกึกก้องขึ้นมา ความสุขที่เต็มไปด้วยความจริงใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของสมาชิกในวงสุรานี้ พวกเขาปล่อยวางภาระหน้าที่อันหนักอึ้งที่เคยแบกรับไว้ พวกเขากางปีกออกและพร้อมโบยบินเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในดินแดนอันกว้างใหญ่
“ราตรีนี้ข้าได้จองห้องที่หลิวหยุนถายเอาไว้หลายห้อง พวกเรามาร่วมดื่มเพื่อต้อนรับปีใหม่กันเถิด ! ”