นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 930 ผลของการตัดสินใจ
ตอนที่ 930 ผลของการตัดสินใจ
ทันใดนั้นก็มีสายลมยามเช้าพัดพาสายฝนเย็นยะเยือกให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นธรณี
ฝานเทียนหนิงเดินไปยังห้องที่มีเตาผิงให้ความอบอุ่น
ท่านนายอำเภอและพ่อบ้านใหญ่เดินตามเข้ามา เมื่อเซวี๋ยหยู่เยียนพระชายาชินอ๋องเห็นเช่นนี้ก็พลันตกตะลึงเล็กน้อย นางจ้องมองไปยังใบหน้าของสามี…ฝานเทียนหนิงมิค่อยแสดงสีหน้าท่าทางเยี่ยงนี้ให้เห็นบ่อยเท่าใดนัก อีกทั้งเขามิเคยคิดต่อสู้เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ ดังนั้นในสายตาขององค์จักรพรรดิและรัชทายาทจึงมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาอยู่มากโข
บรรดาองศ์ชายที่เหลือก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเขาเช่นเดียวกัน
เนื่องจากเขาเป็นคนนิ่งเงียบ อดทนและมิโต้เถียงเรื่องไร้สาระ จึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ทั้งยังเป็นชินอ๋องผู้สูงศักดิ์ในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างสบายใจ นี่คือชีวิตในอุดมคติของเขาและยังเป็นชีวิตที่เขาชื่นชอบอีกด้วย
เกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดใบหน้าของเขาถึงดูหนักอึ้งเยี่ยงนี้ ?
“ข้าทราบแล้ว จงทำในสิ่งที่เจ้าต้องทำเถิดเพราะในปีนี้ฝ้ายของรัฐหยุนสามารถส่งเสริมให้ขยายวงกว้างออกไปได้แล้ว ราชวงศ์อู๋ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและราคาดี ส่วนเซียงจูอวี๋ห้าวที่นำเข้ามาก็จะได้รับการส่งเสริมเช่นเดียวกัน”
“ส่วนสถานที่แห้งแล้งเยี่ยงเขตฮวงเหลียง เขตชัง เขตหลินและสถานที่อื่น ๆ ต้องปลูกมันเทศเพื่อเปลี่ยนสภาพดินในปีนี้ เมื่อมันเทศพร้อมเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก็ให้พวกเขาเริ่มเลี้ยงหมูเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ราษฎร”
“เมื่อปีที่แล้วมีการสั่งซื้อปืนคาบศิลา 200,000 กระบอกและปืนใหญ่หงอี 1,000 กระบอกจากราชวงศ์อู๋ บัญชีนี้ควรได้รับการชำระเพราะมันเป็นเงินจากกรมคลัง แน่นอนว่าพวกเราจะทำเงินได้มิน้อยเพื่อใช้ในการพัฒนารัฐหยุนต่อไป”
ฝานเทียนหนิงเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็มองไปยังนายอำเภอหลิน “จงใช้เงินในบัญชีคงคลังของรัฐหยุนสั่งซื้อปืนใหญ่อีก 500 กระบอกและปืนคาบศิลาอีก 10,000 กระบอกจากราชวงศ์อู๋ เมื่อสินค้ามาถึงแล้วให้ส่งมอบให้แก่จ้าวฉานจวินโดยสั่งให้เขาใช้อาวุธเหล่านี้เพื่อเสริมสร้างการป้องกันรัฐหยุน”
เมื่อนายอำเภอหลินได้ยินดังนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน “ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นภัยต่อพวกเราเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฝานเทียนหนิงส่ายศีรษะ “ไปเถิด…แค่เตรียมการป้องกันไว้ให้ดี”
“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในใจของซุนซูซิ่นพ่อบ้านใหญ่รู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก เพราะในฐานะที่อยู่กับองค์ชายหกมานานจึงเข้าใจในการเตรียมการของเจ้านายอย่างดี
องค์ชายมิจำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้แก่นายอำเภอหลินอย่างละเอียดก็สามารถเข้าใจได้ทันที เพราะการปลูกฝ้ายจะดำเนินอยู่ในช่วงเดือนสี่และต้นกล้ามันเทศจะปลูกในเดือนสามและเดือนสี่ ทว่านี่เพิ่งต้นเดือนหนึ่ง…
“พระองค์จะเสด็จกลับฉางจินเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
เซวี๋ยหยู่เยียนตื่นตกใจขึ้นมาทันใด องค์จักรพรรดิมิมีราชโองการให้กลับ แล้วสามีจะกลับไปยังเมืองฉางจินด้วยเหตุอันใดกัน ?
ฝานเทียนหนิงครุ่นคิดเป็นเวลานาน ความกังวลทำให้ระหว่างคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเรื่อย ๆ
“นี่คือการเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เจ้าลองคิดดูสิ ! เสบียงอาหารของกองทัพ 300,000 นายถูกส่งผ่านแปดรัฐ เพื่อมากักตุนไว้ในรัฐหยุนของพวกเรา รัฐหยุนมีระยะทางใกล้กว่ารัฐอื่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ปัญหานี้มิต้องเอ่ยออกมาก็ชัดเจนอยู่แล้ว ซุนซูซิ่นและเซวี๋ยหยู่เยียนต่างก็ตกตะลึงมากยิ่งนัก ฝานเทียนหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำต่อว่า “ข้ามิรู้ว่าเสด็จพ่อทรงดำริสิ่งใดอยู่เพราะกว่าจะทำให้รัฐหยุนเกิดความเป็นระเบียบเยี่ยงตอนนี้ได้ มันมิง่ายเลยสักนิด บัดนี้เพิ่งเริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางการค้าขายกับราชวงศ์อู๋”
“เสด็จพ่อมิมีเหตุผลที่ต้องสู้รบกับราชวงศ์อู๋ ! ระหว่างราชวงศ์อู๋และแคว้นฝานก็ไร้ซึ่งความขัดแย้งมาโดยตลอด และยิ่งไปกว่านั้นคืออาวุธที่พวกเราซื้อมาจากราชวงศ์อู๋ก็เพื่อป้องกันสุนัขจนตรอกเยี่ยงราชวงศ์หยู…”
ซุนซูซิ่นพ่อบ้านใหญ่ขมวดคิ้วมุ่น พลางส่ายหน้าช้า ๆ “องค์ชาย มิสมเหตุสมผลเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอาจจะเข้าพระทัยผิด”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเพียงการเข้าพระทัยผิดเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงต้องกลับไปยังเมืองฉางจินแล้วทูลถามเสด็จพ่อด้วยตนเอง ข้ามิอยากเป็นศัตรูกับฟู่เสี่ยวกวน หากมิทำให้เรื่องนี้กระจ่าง จิตใจของข้าก็คงมิคลายกังวล”
“ท่านพี่ พวกเรามิมีราชโองการให้กลับ”
“แต่มิมีเวลาแล้ว…พวกเจ้าจงฟังให้ดีว่าหากข้ามิกลับมาในวันแรกของเดือนสอง”
ฝานเทียนหนิงจ้องไปยังใบหน้าของซุนซูซิ่น “เจ้าต้องรีบพาหยู่เยียนเดินทางไปพบฟู่เสี่ยวกวนที่ราชวงศ์อู๋ทันที ! ”
“ท่านพี่… ! ”
“มิต้องห่วงหรอก” ฝานเทียนหนิงจับมือของเซวี๋ยหยู่เยียนเอาไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าจะกลับไปยังฉางจิน เสด็จพ่อมิตำหนิข้าหรอก ข้าเพียงแค่อยากทูลถามให้แน่ชัดก็เท่านั้น หากมิมีอันใดเกิดขึ้น ข้าจะรีบกลับมาโดยเร็ว”
“พ่อบ้านซุน เตรียมเรือให้พร้อม”
“ท่านพี่ต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
“ข้าจะรีบไปรีบกลับ จำเป็นต้องออกเดินทางเลย”
……
……
ฝานเทียนหนิงอยู่ทานมื้อกลางวันกับพระชายา จากนั้นก็เดินทางออกจากรัฐหยุน
ใบหน้าของเขาหม่นหมองยิ่งกว่าฝนที่ตกลงมาเหมือนหมอกควันเสียอีก
แคว้นฝานและราชวงศ์อู๋ไร้ซึ่งความขัดแย้งต่อกัน หากเอ่ยถึงเรื่องสงครามจึงมิมีทางเกิดขึ้น
ทว่า !
เสด็จพ่อทรงชราภาพมากแล้ว บางคนเมื่อชราแล้วจะมีไหวพริบที่ดี ทว่าบางคนเมื่อชราแล้ว มักจะหลงเชื่อผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อมีคนคอยยุยงให้หาผลประโยชน์บางอย่าง
เรื่องเชื่อคนง่ายอาจจะทำให้อายุขัยสั้นลงโดยมิรู้ตัว !
หรือถึงขั้นทำให้สูญเสียเอกราชก็เป็นได้ !
หากในแคว้นฝานมิมีผู้ใดฉลาด ทว่าก็ยังมีฝานเทียนหนิงที่รู้ถึงอำนาจยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู๋ อำนาจเยี่ยงนั้นมาจากเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ รวมทั้งอำนาจทางการทหาร ระบบเศรษฐกิจ และการเมือง !
ภายใต้การปกครองของฟู่เสี่ยวกวนในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้ราชวงศ์อู๋พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ราษฎรมีความสามัคคี ทำให้ราชอาณาจักรแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเสด็จพ่อที่อยู่แต่ในวังหลวงทั้งวัน จะไปเข้าพระทัยสถานการณ์นี้ได้เยี่ยงไร
หากเหตุการณ์นี้มุ่งเป้าไปที่ราชวงศ์อู๋จริง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน !
บัดนี้ราชวงศ์หยูสู้จนหลังชนฝา ฝานเทียนหนิงเชื่อและเฝ้ามองมาตลอดว่าฟู่เสี่ยวกวนย่อมจะหวนกลับไปยังราชวงศ์หยู แต่เขามิทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหวนกลับไปด้วยวิธีการใด
ฟู่เสี่ยวกวนสามารถใช้อำนาจทางทหารบุกเข้าไปทำลายได้ นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วที่สุด ทว่าสุดท้ายก็มิได้ใช้กลยุทธ์นี้
แต่เขาใช้นโยบายใหม่ของราชวงศ์อู๋ที่เปิดกว้างในทุกด้านเพื่อดึงดูดการลงทุนมากมายเข้ามา จากนั้นก็ค่อย ๆ ทำให้ระบบเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูล่มสลายแทน
เป็นแผนการที่จะทำให้หยูเวิ่นเต้าเฝ้ามองผู้ค้าขายในราชวงศ์จากไปทีละคน และเฝ้ามองการค้าขายในผืนปฐพีของตนตกต่ำลงโดยทำอันใดมิได้เลย
ในท้ายที่สุดหยูเวิ่นเต้าย่อมไร้กำลังต่อต้าน
หยูเวิ่นเต้ามิสามารถทนความเจ็บปวดจากการถูกต้มอยู่ในน้ำร้อนได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นมาต่อสู้กับราชวงศ์อู๋ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของราชวงศ์หยูทั้งสิ้น แล้วเหตุใดเจ้าต้องดึงแคว้นฝานเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วยเล่า !
หยูเวิ่นเต้ารู้ดีว่ามิสามารถเอาชนะราชวงศ์อู๋ได้และมิรู้ว่าได้รับปากสิ่งใดเอาไว้กับเสด็จพ่อบ้าง
ในมุมมองของฝานเทียนหนิง แม้ว่าจะมอบราชวงศ์อู๋ให้แคว้นฝาน ทว่าแคว้นฝานก็มิสามารถปกครองได้… มันมิได้ต่างอันใดกับมันเผาร้อน ๆ ที่ลวกมือเลยสักนิด หากยอมรับเงื่อนไขของราชวงศ์หยูก็เกรงว่าแคว้นฝานจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่มิเป็นแคว้นอีกต่อไป
ฝานเทียนหนิงจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายขณะรีบเดินทางไปยังเมืองฉางจิน ทว่าอีกด้านฟู่เสี่ยวกวนและเจี่ยหนานซิงเดินทางไปยังกวนหยุนถายอย่างมิรีบร้อน
มีชายชราผู้หนึ่งรอเขาอยู่ในกวนหยุนถาย แน่นอนว่าชายชราผู้นี้คือชุยเยว่หมิง
สภาพอากาศแจ่มใสเพราะหิมะหยุดตกแล้ว
ต้นสนเก่าแก่ยังยืนต้นอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน หิมะที่ตกหนักมิได้ทำให้กิ่งก้านของต้นสนหักงอ เมื่อหิมะต้องแสงสุริยาจึงเกิดเป็นประกายแวววาวราวกับคริสตัล
“กระหม่อมชุยเยว่หมิงถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ลุกขึ้นเถิด เชิญนั่ง”
“กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”
“มีเรื่องหนึ่งที่ท่านต้องไปจัดการด้วยตนเอง”
“เชิญฝ่าบาทรับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ประเดี๋ยวท่านจงเดินทางไปยังว่อเฟิงเต้าแล้วสั่งให้คนของท่านปักหลักอยู่ที่นั่นสักสองสามคนเพื่อคอยจับตาดูฮ่องเต้ของราชวงศ์หยูและจักรพรรดิแคว้นอี๋อย่างใกล้ชิด รวมทั้งผู้นำตระกูลเฉิน ตระกูลโจว และตระกูลหลู่ที่ไปยังว่อเฟิงเต้าด้วย”
ชุยเยว่หมิงตกตะลึงขึ้นมาทันใดเพราะรับสั่งนี้มีความหมายซ่อนอยู่ จากนั้นเขาก็ทำความเคารพแล้วทูลว่า “กระหม่อมจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ ! ”
สายตาที่ฟู่เสี่ยวกวนมองชุยเยว่หมิงนั้นมีความหมายที่มิอาจอธิบายได้ “ท่านคืออาวุโสที่อยู่ภายใต้บัญชาของบิดาข้าใช่หรือไม่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจิ้นสามารถเชื่อใจท่านได้หรือไม่ ? ”
ชุยเยว่หมิงผงะ จากนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมซื่อสัตย์ต่อพระองค์เฉกเช่นซื่อสัตย์ต่อองค์จักรพรรดิพระเจ้าหลวงพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ดี ! หลังจากท่านเดินทางไปยังว่อเฟิงเต้าแล้ว ให้ตรงไปยังจินหลิงทันทีเพื่อนำจดหมายฉบับนี้มอบให้โหยวเป่ยโต้ว… นอกจากนี้ท่านจงนำราชโองการลับของข้าเข้าควบคุมฝูงมดที่อยู่ในจินหลิง หากมีผู้ใดมิฟังคำสั่ง…ให้โหยวเป่ยโต้วและท่านสังหารมันทิ้งเสีย ! ”