นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 939 ระแวง
ตอนที่ 939 ระแวง
ในที่สุดจดหมายก็มาถึงมือของเผิงยวี๋เยี่ยนแม้จะล่าช้าไปสักเล็กน้อย
รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบ เดือนสอง ทหารกองทัพชายแดนใต้จำนวน 300,000 นายโดยการนำของหยูชุนชิวก็ได้เดินทางมาถึงเมืองเปียนเฉิง จากนั้นก็เข้าสู่ทางเดินฉีซาน
ส่งผลให้บรรยากาศบริเวณชายแดนตึงเครียดขึ้นมาทันใด
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเปียนเฉิงหรือผู้ค้าขายที่ทำธุรกิจในแถบชายแดนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม
“เจ้าพวกเสียสติเหล่านี้จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมิได้เลยหรือ ? ”
เจ้าของโรงเตี้ยมเฟิงหลินจ้องมองกองทัพใหญ่เดินจากไปพร้อมด้วยสีหน้าหม่นหมองราวกับสีของท้องนภายามราตรี
“เกรงว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นแล้ว” โจ่งจี้ถังพึมพำขณะที่นั่งอยู่ในโรงเตี้ยม
“ธงนี้เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพชายแดนใต้ พวกเขามุ่งหน้าไปยังทางเดินฉีซานนี้…หรือพวกเขาจะสู้รบกับราชวงศ์อู๋กัน ? ก่อนจะมาก็มิได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามเลยนี่ ! ”
“กองกำลังทหารขนาดใหญ่เดินทางผ่านไปอย่างโจ่งแจ้ง ราชวงศ์อู๋ย่อมได้รับข่าวนี้อย่างแน่นอน ทว่าทหารดาบเทวะกองทัพที่สี่กำลังฝึกฝนอยู่ในที่ราบฮวาจ้งมิใช่หรือ ? มิแน่ว่าต้องเป็นเรื่องสงครามเสมอไปเพราะบางทีทั้งสองแคว้นอาจจะร่วมฝึกด้วยกันก็เป็นได้”
เมื่อเฟิงหลินได้ยินดังนั้น จึงหันไปเอ่ยว่า “หากร่วมฝึกด้วยกันก็คงดี เนื่องจากการปกครองของฝ่าบาททำให้กิจการโรงเตี้ยมของตระกูลข้าทำเงินได้น้อยมากยิ่งนักในช่วงตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ ขออย่าให้มีสงครามอีกเลย หากมีการสู้รบเกิดขึ้น…พวกเขาจะพ่ายแพ้แล้วถูกขับไล่กลับมา หากฝ่ายตรงข้ามสังหารทหารเหล่านี้ทิ้งเสียตั้งแต่ในสนามรบก็ดี เพราะข้ากลัวว่าพวกเขาจะกลับมาแล้วกลายเป็นโจรไล่ปล้นฆ่าไปทั่ว หากเป็นเช่นนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านคงจะลำบากมิน้อย”
“ข้าเพิ่งย้ายมาทำกิจการที่เมืองเปียนเฉิงเป็นคราแรก หากเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ กิจการนี้จะยังดำเนินต่อไปได้อยู่หรือ ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ พี่หลินมิต้องกังวลไปหรอก พี่ชายท่านนั้นเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว ข้าคิดว่าคงจะมาร่วมฝึกกันมากกว่า พวกเราเป็นคนของราชวงศ์หยู ทั้งยังรู้สถานการณ์ในราชวงศ์หยูเป็นอย่างดี เฮ้อ…” บุรุษผู้นั้นส่ายศีรษะ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พวกเราจะเอาสิ่งใดไปสู้กับราชวงศ์อู๋กัน ! ”
“ฝ่าบาทของเราก็ทรงพระเยาว์เฉกเช่นท่านผู้นั้น ทว่าเหตุใดการปกครองถึงแตกต่างกันเช่นนี้เล่า ? ”
“ระวังวาจาด้วย ! มิทราบว่าที่พี่หลินมาในครานี้ จะทำกิจการอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“บิดาของข้าคาดว่าราคาธัญพืชของราชวงศ์หยูจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ เมื่อปีที่แล้วราชวงศ์อู๋เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดีมิใช่หรือ ? ข้ามาที่นี่เพื่อจะดูราคาธัญพืชแล้วซื้อบางส่วนตามความเหมาะสม”
“…”
แขกที่อยู่ในโรงเตี้ยมแห่งนี้ต่างจับกลุ่มสนทนากันเสียงดังเซ็งแซ่ ทว่ามุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมมีชายผู้หนึ่งนิ่งฟังอยู่ตลอดเวลา เขาดื่มสุราโดยมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าดวงตาคู่นั้นฉายแวววาวตื่นเต้นเล็กน้อย… เขาคือซูเตี่ยนเตี่ยนศิษย์พี่ห้าแห่งสำนักเต๋านั่นเอง
หยูซิ๋งเจี่ยนนั่งฟังอยู่เนิ่นนาน ทว่าก็มิพบมูลเหตุอันใดเลย เขาขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “จี้ถัง พวกเราออกไปดูกันเถิด”
“อืม…”
ทั้งสองเดินทางมาจากเมืองกวนหยุนและเพิ่งมาถึงเมืองเปียนเฉิงแห่งนี้ได้เพียง 2 วัน เดิมทีพวกเขาคิดจะซื้อร้านค้าสักสองสามแห่งที่นี่เพื่อเป็นช่องทางการขายสินค้าจากโรงงานของตระกูล พวกเขายังมิทันได้ซื้อร้านค้าเลยด้วยซ้ำ กลับพบกองทัพจากราชวงศ์หยูเดินทางเข้ามายังทางเดินฉีซานแห่งนี้เสียก่อน
มิอาจรับรู้ได้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าในฐานะพ่อค้า สิ่งที่พวกตนต้องการมากที่สุดก็คือความวางใจ
ทั้งสองเดินไปตามถนนในเมืองเปียนเฉิงนี้ หลังจากที่กองทัพผ่านไปทั้งหมดแล้ว ท้องถนนแห่งนี้ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครา
ผู้คนเริ่มเบียดเสียดกัน ใบหน้าของทุกคนยังคงมีความกังวลอยู่และส่วนใหญ่กำลังถกเถียงถึงสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างออกรส ทว่าหยูซิ๋งเจี่ยนและโจ่งจี้ถังก็ยังเห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้ได้วางแผนรับมือเอาไว้แล้ว บางคนถึงกับเอ่ยว่าจะทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด
พวกเขามาถึงตลาดการค้าที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ ที่นี่คึกคักมากยิ่งนัก ตลาดเต็มไปด้วยผู้คน เสียงตะโกนต่อรองราคาสินค้ามิแตกต่างจากที่อื่น
ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน พลันบังเกิดความรู้สึกสองจิตสองใจว่าควรซื้อหรือหยุดเรื่องซื้อร้านเอาไว้ก่อนดี
ทางด้านโรงเตี้ยมเฟิงหลิน ซูเตี่ยนเตี่ยนก็ได้เดินออกมาแล้วเช่นกัน เขายืดเอวและมองไปรอบ ๆ พลางเดินไปที่ตรอกเจ็ดก้าวทะลุเข้าไปในสวนท้อ จากนั้นก็เดินหายเข้าไปทางด้านหลังของภูเขา
……
……
ณ จวนผู้บัญชาการกองทัพชายแดนใต้
เบื้องหน้าของหยูเวิ่นเต้าคือชายสูงวัยผิวสีเข้ม หากฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่ด้วย เขามองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือ…เฟ่ยอัน !
แม่ทัพใหญ่เฟ่ยอันที่เคยทำการเกษตรอยู่ในเขตหนานหลิงที่นอกเมืองจินหลิง !
“กองทัพสวรรค์ฆาตจำนวน 300,000 นายเหล่านี้ ข้าจะให้ท่านเป็นผู้บัญชา”
“กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงไว้วางพระทัย ! ”
“ข้าได้อธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ให้ท่านฟังอย่างละเอียดแล้ว คาดว่าท่านราชครูแห่งแคว้นฝานจะนำโลงศพของจักรพรรดิเหวินมาถึงเมืองกวนหยุนราววันที่ยี่สิบห้าเดือนสอง กองทัพ 300,000 นายของแคว้นฝานคาดว่าจะขึ้นฝั่งในรัฐเหอซีราววันที่ยี่สิบเดือนสอง ส่วนกองทัพอาฆาต 100,000 นายจากแคว้นอี๋จะมาถึงเมืองกวนหยุนในเวลาเดียวกัน”
“สิ่งที่กองทัพของเราต้องทำคือเอาชนะทหารดาบเทวะกองทัพที่สี่ของราชวงศ์อู๋ในที่ราบฮวาจ้ง จากนั้นให้รวมกำลังกับอีกสองกองทัพ ณ ที่ราบหลีลั่ว เผด็จศึกให้ราบเป็นหน้ากลอง!”
เฟ่ยอันจ้องมองแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างรอบคอบ นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเป็นห่วงอยู่สองสิ่งและสองสิ่งที่กังวลนั้นมิใช่สนามรบในราชวงศ์อู๋ ทว่าเป็นที่นี่…”
นิ้วของเฟ่ยอันชี้ไปที่ว่อเฟิงเต้า “ฝ่าบาท ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งของฟู่เสี่ยวกวนแข็งแกร่งมากยิ่งนัก กองกำลังหลักของราชวงศ์หยู แม้ว่าจะทำการต่อสู้อย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ถ้าฟู่เสี่ยวกวนส่งกองทัพที่หนึ่งไปโจมตีชายแดนตะวันออก…แม้ว่าองค์ชายใหญ่จะมีปืนใหญ่หลายพันกระบอกประจำการอยู่ แต่กระหม่อมกังวลว่าจะมิอาจคุ้มกันเอาไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทันทีที่กองทัพที่หนึ่งเข้ามาในว่อเฟิงเต้าจะมิมีสิ่งกีดขวางพวกเขาบนถนนทางทิศตะวันออกจรดฝั่งตะวันตก พวกเขาสามารถบุกทะลวงเข้าไปถึงเจียงหนานเต้าเพื่อไปยังจินหลิงได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
มุมปากของหยูเวิ่นเต้ากระตุกขึ้น จากนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าได้สั่งการเสด็จพี่ไปแล้ว ว่าหากทหารดาบกองทัพที่หนึ่งกล้าบุกเข้ามาทางตะวันตก…ให้แบ่งกองทัพชายแดนตะวันออกเป็นกองทัพย่อยแล้วบุกโจมตีเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนทันที ! ”
เมื่อเฟ่ยอันได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด ทรงละทิ้งความสัมพันธ์เก่าก่อนเชียวหรือ ?
นี่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเด็ดขาดที่จะสู้ให้ถึงที่สุดแล้วหรือ ?
เมื่อทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งออกจากชื่อเล่อชวน เขตปกครองตนเองก็จะไร้กำลังทหารคอยปกป้อง นี่เป็นกลยุทธ์ที่เฉียบแหลมของราชวงศ์หยูเพื่อเอาชนะและสามารถยึดครองชื่อเล่อชวนเอาไว้
“อีกจุดหนึ่งก็คือที่แม่น้ำแยงซี แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะออกทะเลพร้อมเรือรบ 6 ลำ ทว่าจำนวนทหารเรือที่เขาพาไปด้วยยังมิเป็นที่ทราบแน่ชัด”
เฟ่ยอันมองไปที่เส้นทางของแม่น้ำแยงซีแล้วเอ่ยว่า “ราชวงศ์อู๋มีเรือจำนวนมากก็จริงทว่ามิใช่เรือรบ หากเขาส่งเรือโดยสารบรรทุกทหารเรือหลายแสนคนไปยังแม่น้ำฉินหวาย…”
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความกังวล เพราะนี่คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญของราชวงศ์หยู !
หยูเวิ่นเต้าตื่นตกใจขึ้นมาทันใดเพราะนี่คือสิ่งที่ตนมิเคยคาดคิดมาก่อน สายตาของเขาจ้องมองไปยังแผนที่ หลังจากครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก็ได้เอ่ยออกมาว่า “ข้าจะมอบราชโองการลับให้แก่ฮั่วหวยจิ่น ให้เขาเข้าบัญชาการกองทัพชายแดนตะวันตก จากนั้นให้สั่งเคลื่อนพลมายังจินหลิงทันที”
“ต้องรีบจัดการโดยด่วน กองทัพชายแดนตะวันตกอยู่ไกลจากจินหลิงมากเกินไป ฮั่วหวยจิ่นต้องใช้เวลาเดินทางจากจินหลิงไปยังกองทัพชายแดนตะวันตกอีก…”
“ไม่สิ ! บัดนี้ฮั่วหวยจิ่นอยู่ที่เจี้ยนหนานเต้า”
เฟ่ยอันตกตะลึงขึ้นมาอีกครา หยูเวิ่นเต้ามิได้เอ่ยว่าฮั่วหวยจิ่นลาออกจากราชการแล้วเดินทางท่องเที่ยวในเจี้ยนหนานเต้า ทว่าเขามองไปยังเฟ่ยอันแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “การต่อสู้ครานี้คือชะตากรรมของราชวงศ์หยู ชัยชนะในครานี้จะทำให้ราชวงศ์หยูก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต หากแพ้…ก็หมายความว่าราชวงศ์หยูจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของข้า ! ”
“ท่านไปเถิด ข้าจะรอฟังข่าวดีจากท่านอยู่ที่นี่ ! ”
เฟ่ยอันทำความเคารพแล้วเดินออกไปทันที
การจัดระเบียบกองทัพสวรรค์ฆาตจำนวน 300,000 นายสำเร็จลุล่วงในยามพลบค่ำ ทว่าพวกเขามิได้เดินทางออกจากค่ายทันที
เฟ่นอันส่งสายลับออกไปหลายร้อยนายและสั่งให้พวกเขาจัดการความเรียบร้อยที่ฉีซาน…เขาบังเกิดความสงสัยอยู่ในใจมาโดยตลอดว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับข่าวสารอันใดเกี่ยวกับสงครามแม้แต่น้อยเลยหรือ ?
โจวถงถงสามารถปิดกั้นข่าวสารได้ทั้งหมดแล้วทำให้ฟู่เสี่ยวกวนกลายเป็นคนตาบอดและหูหนวกได้จริงหรือ ?