นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 941 เขย่า
ตอนที่ 941 เขย่า
รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบ เดือนสอง
กองทัพ 300,000 นายโดยการนำของซู่ชินอ๋องจากแคว้นฝานถึงเป้าหมาย ณ เมืองเป่ยจวิ้น
ฝานอู๋เซียงหัวหน้านิกายฝูที่เดินทางมากับขบวนโลงศพก็เพิ่งได้รับรู้ว่า…ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้ออกทะเล !
และฟู่เสี่ยวกวนมิได้อยู่ในเมืองกวนหยุน !
ทว่าเขาอยู่ที่เมืองเปียนเฉิง !
หัวใจของฝานอู๋เซียงบีบรัดขึ้นมาทันใด หรือฟู่เสี่ยวกวนจะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของแคว้นฝานมาโดยตลอด ?
แล้วฟู่เสี่ยวกวนไปทำอันใดที่เมืองเปียนเฉิงกัน ?
เรื่องนี้มิได้เขียนไว้ในรายงานนี่ บัดนี้แม่ทัพใหญ่ก็ได้เคลื่อนพลขึ้นบกแล้ว ข้ายังจะทำอันใดได้อีกกัน ?
มิสามารถถอยกลับได้แล้ว ! จะเดินหน้าต่อไปก็อันตรายมากยิ่งนัก !
“จะทำเยี่ยงไรดี ? ”
“เรียนหัวหน้านิกายและซู่ชินอ๋อง เจ้านายของข้าเอ่ยว่านี่ต่างหากคือแผนการชุนเหลย แผนการชุนเหลยจะดำเนินการขั้นสุดท้ายโดยที่ท่านหัวหน้านิกายจะต้องเดินทางไปยังเมืองเปียนเฉิง ! ”
เป้าหมายคือสังหารฟู่เสี่ยวกวน !
หลังจากที่ได้ทำการหารือกับซู่ชินอ๋อง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะวางโลงศพไว้ตรงนี้ จากนั้นจะพาพระนักรบและทหารทั้งหมดตรงไปยังเมืองเปียนเฉิง…เพราะการสังหารฟู่เสี่ยวกวนคือชัยชนะของสงครามครานี้ !
สวี่หยุนชิงตกตะลึงขึ้นมาทันใด ยามที่ได้เห็นโจวถงถง… !
เกิดอันใดขึ้นกัน หรือทุกสิ่งที่บุตรชายวางแผนไว้ที่เมืองกวนหยุนจะพังทลายลงไปทั้งอย่างนี้ ?
แล้วเสี่ยวกวนไปทำอันใดที่เมืองเปียนเฉิงกัน ?
เจ้าโจวถงถงสมควรตาย เกรงว่าบุตรชายจะพาผู้ติดตามไปเมืองเปียนเฉิงด้วยมิมาก ทว่าพวกเขามีปรมาจารย์ถึง 5 รูป ทั้งยังมีพระนักรบอีก 3,000 รูป มิได้การ ! มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องรั้งพวกเขาเอาไว้ให้ได้ หวังว่าจะมีคนส่งข่าวถึงบุตรชายที่อยู่เมืองเปียนเฉิงให้เตรียมการรับมือเอาไว้ด้วย
“เจ้าลาโง่ศีรษะล้าน จงรับกระบี่ของข้า… ! ”
……
ซื่อโถวนำทหารเรือ 50,000 นายดักซุ่มอยู่ในสุสานที่อยู่ห่างจากเมืองเป่ยจวิ้นราว 30 ลี้ เขารั้งรออยู่ที่นี่ได้ 3 วันแล้ว
“มีรายงาน…”
ผู้สอดแนมนายหนึ่งถลาเข้ามา ซื่อโถวผุดลุกขึ้นพร้อมใบหน้าแย้มยิ้ม “มาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าศึกใกล้เข้ามาแล้ว อีกราว 1 ชั่วยามจะมาถึงที่นี่ขอรับ”
ซื่อโถวอ้าปากหัวเราะลั่น “เจ้าสุนัขเฮ้อซานเตาและเว่ยอู๋ปิ้ง ครานี้ข้าคงสามารถขึ้นเป็นผู้บัญชาการได้หากกวาดล้างศัตรูทั้งสามแสนนายนี้ได้อย่างราบคาบ”
ผู้บัญชาการทั้งสิบกองพลที่อยู่รอบกายเขาก็หัวเราะร่าขึ้นมาเช่นกัน “ท่านแม่ทัพ คุณงามความดีครานี้ย่อมใหญ่โตยิ่งกว่าเจ้าเฮ้อซานเตาอย่างแน่นอน พวกเราคือทหารเรือ ที่ท่านแม่ทัพใหญ่จัวผู้บัญชาการสามเหล่าทัพเลือกให้มารบบนบกเชียวนะ”
“ฮึ ๆ จงไปเตรียมการดันปืนใหญ่ออกมา พวกเราควรมอบของที่ระลึกให้พวกมันสักหน่อย ใช่ ! หน่วยสอดแนมจงจับตามองต่อไปและสังหารหน่วยสอดแนมของข้าศึกเสียให้สิ้น ! ”
สุริยาใกล้ลาลับขอบนภาเต็มที ซู่ชินอ๋องก็ได้มาถึงจุดหมายปลายทางพร้อมกับขบวนทัพ 300,000 นาย
พวกเขาย่อมมิตระหนักว่าภายในสุสานของป่ารกทึบริมถนนเส้นหลัก จะมีกองทัพมารอรับศัตรูที่แสนอ่อนล้าอยู่ที่นี่
ซื่อโถวหมอบลงกับพื้น ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมองด้วยความตื่นเต้น ยามที่ทัพหน้าของกองทัพใหญ่เดินทางมาถึง เขาก็ออกคำสั่งให้โจมตีทันที
“ตู้ม… ตู้ม…. ตู้ม… ! ’
เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นนภา ลูกกระสุนปืนใหญ่ตกลงไปที่กองทัพของซู่ชินอ๋องอย่างแม่นยำ เสียงระเบิดดังขึ้นมาพร้อมกับโลหิตที่สาดกระเซ็นไปทั่วสารทิศ แขนขาและชิ้นส่วนร่างกายบินลอยไปไกลในชั่วพริบตา
“ศัตรูโจมตีแล้ว… ! ”
ทหารฝ่ายศัตรูตกอยู่ในความโกลาหลทันใด ระหว่างคิ้วของซู่ชินอ๋องขมวดมุ่น ทว่าเขาก็ออกคำสั่งอย่างใจเย็นว่า “หมอบลง กองพันสายฟ้าจู่โจม แต่ละหน่วยออกตามหาที่กำบังและยิงตอบโต้ ! ”
‘ปังปังปังปัง…’ เสียงปืนคาบศิลาดังขึ้น กองพันสายฟ้าบินทะยานเข้าไปในป่าทึบทว่าก็ต้องถอยกลับในชั่วพริบตา เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตไปกว่าครึ่ง !
“โจมตี… ! ” ซื่อโถวตะโกนเสียงดังลั่น การโจมตีรอบแรกสามารถสังหารศัตรูไปได้มิน้อย จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากความตื่นตระหนกของศัตรู รีบออกไปกวาดล้างพวกมันเสียให้สิ้น !
ทหารในชุดเกราะสีเงินวาววับพุ่งออกมาจากป่าทึบ ราวกับเทพแห่งความตายก็มิปาน
“ผลัดกันยิงโจมตี กองพลที่สิบชักดาบออกมา ! ”
ทหารจากแคว้นฝานไหนเลยจะเคยเห็นการสู้รบเยี่ยงนี้มาก่อน พวกมันจึงยิงออกไปสะเปะสะปะท่ามกลางความอลหม่าน สุดท้ายก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามที่ถูกยิงเหมือนจะมิเป็นอันใดเลยสักนิด ผิดกับฝ่ายตน…หากผู้ใดถูกยิงก็เป็นอันต้องจบเห่
ให้ตายเถิด…แบบนี้จะสู้ได้เยี่ยงไร ?
ซู่ชินอ๋องพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ หรือว่าปืนที่ฟู่เสี่ยวกวนขายให้แคว้นฝานจะเป็นของปลอม ?
“จงบุกเข้าไป ชักดาบออกมาและฟันพวกมันทิ้งให้สิ้น ! ”
“ตูจวิน1 ตูจวินคอยตรวจตราให้ดี จงสังหารผู้ที่ถอยกลับมาแม้เพียงครึ่งก้าว… ! ”
สิ่งที่พวกเขาพยายามดูเหมือนจะไร้ประโยชน์มากยิ่งนัก
ท่ามกลางทหารเรือทั้งห้ากองพลที่สลับกันยิง มีทหารจากแคว้นฝานจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถบุกโจมตีไปถึงทัพหน้าของพวกเขาได้
นี่คือการรุมสังหารเพียงฝ่ายเดียว !
กองทัพของแคว้นฝานย่อมห่างไกลจากทหารดาบเทวะอยู่มากโข เมื่อรวมเข้ากับเกราะกระดองเต่าของทหารดาบเทวะแล้ว พวกมันจึงมิใช่คู่ต่อสู้ของทหารดาบเทวะแต่อย่างใด… เหมือนกับที่ฝานเทียนหนิงได้เอ่ยเอาไว้ว่า พวกท่านมิรู้อันใดเลยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของกองทัพราชวงศ์อู๋
ด้วยเนื้อแท้ของความกล้าหาญและความแกร่งของทหารแต่ละนายผสานกับเทคโนโลยีที่ก้าวไกล ส่งผลให้ศึกครานี้สิ้นสุดลงในกลางดึกวันเดียวกัน
เหลือทิ้งไว้เพียงซากศพของข้าศึกจำนวนสองแสนกว่านาย !
ซู่ชินอ๋องพากององครักษ์ส่วนพระองค์หนีตายโดยวิ่งจากเมืองเป่ยจวิ้นข้ามผ่านแม่น้ำหลานและกลับเข้าสู่รัฐหยุน
ซื่อโถวออกคำสั่งให้กองทัพใหญ่ซ่อมแซมสถานที่ หลังจากทำการสำรวจแล้วพบว่ามีทหารเรือเสียสละชีวิตไป 8,000นายจากจำนวน 50,000 นาย… พวกเขาทำลายล้างกองทัพสองแสนกว่านายของแคว้นฝานโดยสูญเสียกำลังทหารฝ่ายตนเองไปเพียง 8,000 นาย นี่ย่อมเป็นผลงานที่น่าตื่นตะลึงไปทั่วหล้า
วันรุ่งขึ้น ทัพของซื่อโถวมีการจัดระเบียบใหม่และได้เข้าสู่เมืองเป่ยจวิ้นเพื่อรุดขึ้นเรือของข้าศึก จากนั้นก็แล่นเรือเข้าสู่เมืองฉางจินของแคว้นฝาน
……
……
รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่ยี่สิบห้า เดือนสอง
ณ ที่ราบฮวาจ้งปรากฏฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
เดิมทีที่ราบอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตานี้ควรมีทัศนียภาพคือพื้นหญ้าเขียวขจี บุปผาบานสะพรั่ง ทว่าในตอนนี้…
ณ สถานที่แห่งนี้มีกองทัพของทั้งสองฝ่ายยืนเผชิญหน้ากัน ธงรบของทั้งสองฝ่ายถูกชักขึ้น ทั้งยังมีดาบ หอก ปืนชูกันสลอน
ปืนใหญ่หงอีรุ่นที่สองถูกดันออกมาวางไว้เบื้องหน้าแนวทัพของทหารดาบเทวะกองทัพที่สี่
หยูชุนชิวยืนอยู่บนรถม้าบริเวณใจกลางกองทัพ เขายกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา มองเห็นเว่ยอู๋ปิ้งผู้บัญชาการกองทัพที่สี่ของฝ่ายตรงข้าม
เขารู้จักเว่ยอู๋ปิ้ง แน่นอนว่าเว่ยอู๋ปิ้งก็รู้จักหยูชุนชิวเช่นกัน
เมื่อปีนั้น บนทางสายเก่าจินหนิว ณ ฉินหลิง เว่ยอู๋ปิ้งยังเคยอยู่ในกระโจมของเขาอยู่เลย
ใช่แล้ว ! ยังมีชายหนุ่มนามจงสือจี้ผู้นั้นและสตรีนามเว่ยเซียงหานอีกคน
ตอนนั้นเว่ยอู๋ปิ้งยังเป็นเพียงนายพรานคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 4 ปี เขาก็กลายมาเป็นผู้บัญชาการกองทหารรราบที่สี่ของราชวงศ์อู๋เสียแล้ว
เมื่อหันมามองตนเอง เขายังคงเป็นเพียงแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพชายแดนใต้ที่ธรรมดาและไร้ซึ่งพลังดังเดิม
ได้ยินว่าจงสือจี้ก็ไปยังราชวงศ์อู๋แล้วเช่นกัน มิทราบว่าได้แต่งงานกับสตรีนามเว่ยเซียงหานผู้นั้นแล้วหรือยัง มิใช่ ! เหตุใดข้าจึงนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาเล่า ?
หยูชุนชิวรวบรวมสติ ชักกระบี่ที่เหน็บบริเวณเอวออกมา เขาตวัดกระบี่ท่ามกลางสายฝนฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังราวกับเสียงฟ้าร้องว่า “บุก… ! ”
ทันใดนั้นฝนฤดูใบไม้ผลิก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันพลัน ดวงตาของเว่ยอู๋ปิ้งแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมาพลางเอ่ยว่า… “ทหารปืนใหญ่ เตรียมยิง ! ”
ทหารปืนใหญ่ทุกหน่วยของหยูชุนชิวก็ดันปืนใหญ่หงอีหนึ่งร้อยกว่ากระบอกไปยังทัพหน้าแล้วเช่นกัน ในยามที่ระยะห่างระหว่างฝ่ายตรงข้ามเหลือเพียง 80 จั้ง ทันใดนั้นดวงตาของหยูชุนชิวก็เบิกโพลง…
เขามองเห็นฝ่ายตรงข้ามกำลังจุดไฟเพื่อยิงปืนใหญ่ผ่านกล้องส่องทางไกล !
ระยะหวังผลไกลที่สุดของปืนใหญ่หงอีอยู่ที่ 70 จั้ง ทว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงรีบจุดไฟกัน นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?
ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของเขา ปากกระบอกปืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามก็ได้พ่นไฟออกมาเป็นที่เรียบร้อย เขาเห็นกระสุนปืนใหญ่ถูกยิงออกมาเป็นแถว หลังจากนั้นก็ตกลงสู่พื้นธรณี…
“ตู้ม ตู้ม…” เสียงกระสุนปืนใหญ่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หยูชุนชิวสูญเสียปืนใหญ่ไปถึงครึ่งหนึ่งจากการยิงในคราเดียว !
ปืนใหญ่ของราชวงศ์อู๋ยิงได้ไกลถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
หยูชุนชิวตื่นตระหนกขึ้นทันใด “ถอยทัพ ! ถอยหลังมาให้ไว ! ”
หัวใจของเขากำลังหลั่งโลหิต เช่นนี้จะสู้ต่อไปได้เยี่ยงไร ?
ระยะหวังผลของปืนใหญ่ฝ่ายตรงข้ามยิงได้ไกลกว่าของตนถึง 10 จั้ง หากรอให้ดันปืนใหญ่เหล่านี้ไปจนถึงระยะที่ยิงได้ก็เกรงว่ากลุ่มทหารปืนใหญ่จะถูกกวาดล้างจนสิ้นเสียก่อน
เว่ยอู๋ปิ้งวางกล้องส่องทางไกลลง ส่ายศีรษะเบา ๆ อีกครา เฮ้อ…ปืนใหญ่แข็งแกร่งจนเกินไป
ว่ากันว่าปืนใหญ่หงอีรุ่นที่สามยิงได้ไกลและแม่นยำยิ่งกว่านี้เสียอีก เฮ้อ…เหมือนว่าในใต้หล้านี้จะมิมีผู้ใดเป็นคู่มือกับฝ่าบาทได้แล้ว
พระองค์จะโดดเดี่ยวหรือไม่ ?
1ตูจวิน คือ สารวัตรทหาร