นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 944 พบกันคราแรก
ตอนที่ 944 พบกันคราแรก
ฝ่ายตรงข้ามมีปรมาจารย์ถึง 5 คนและพระนักรบอีกหลายพันรูป
ส่วนฝ่ายตนมีปรมาจารย์เพียง 2 คนและหนึ่งในนั้นยังอยู่ไกลแสนไกล
ทหารดาบเทวะจำนวน 10,000 นายต่อกรกับพระนักรบหลายพันรูปมิได้เกินความสามารถของพวกเขาหรอก ทว่าปัญหาคือปรมาจารย์ทั้งห้านี้ต่างหาก
คำเอ่ยของสตรีนางนั้น นางเอ่ยกับข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
หากใช่…นางก็คือสวี่หยุนชิงเยี่ยงนั้นหรือ ?
แล้วบัดนี้อาการของนางเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนทอดยาวไปยังสนามรบ เขาเห็นสวี่หยุนชิงอยู่ทางซ้าย นางใช้กระบี่ยันพื้นเอาไว้ เนื่องจากมิสามารถลุกขึ้นมาได้
นางกระอักโลหิตสีแดงสดออกมา จากนั้นก็ใช้ชายเสื้อเช็ดเลือดทิ้งพลางสะบัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผาก
ทว่าต่อมาฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นพระอาจารย์ชรารูปนั้นกระโดดไปทางสวี่หยุนชิงอีกครา “ยิงมัน… ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนสั่งเสียงดังลั่น เป่ยหวังฉวนจึงเล็งธนูไปยังเป้าหมาย
“ขอปืนด้วย ! ”
สวี่ซินเหยียนวางกล่องสีดำจากหลังลง ฟู่เสี่ยวกวนรีบเปิดกล่องดำนั้นออกมา “เป่ยหวังฉวน อย่าหยุดยิงมัน ! ”
ลูกธนูของเป่ยหวังฉวนจึงถูกยิงออกไปดอกแล้วดอกเล่า
หลวงพี่ชุดแดงใช้วิชาตัวเบาบินมาทางพวกเขา สวี่ซินเหยียนกำกระบี่เอาไว้ กำลังจะเข้าต่อสู้ แต่นางกลับได้ยินเสียงของฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนว่า “อย่าขยับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบปืนยาวออกมาก็จริง ทว่ามืออีกข้างหนึ่งยังถือปืนกระบอกเล็กเอาไว้อยู่
เป่ยหวังฉวนมิได้มองไปยังนักบวชระดับปรมาจารย์ผู้นั้น เนื่องจากเขากำลังจับจ้องและยิงลูกศรไปยังหัวหน้านิกายฝูรูปนั้นอยู่
ด้านเจี่ยหนานซิงก็อาบโลหิตไปทั้งร่าง เขาสกัดกั้นหลวงพี่ชุดแดงเอาไว้ได้สองรูป ทว่าก็ได้รับบาดเจ็บมากมายหลายจุด
หลวงพี่ชุดแดงรูปนั้นได้ตรงเข้ามาทางฟู่เสี่ยวกวน กระบี่แหลมคมในมือยื่นเข้ามา ในขณะเดียวกันก็มีหลวงพี่ชุดแดงอีกรูปหนึ่งมาพร้อมดาบยาวซึ่งมีความเฉียบคมราวกับสามารถตัดแสงสุริยาให้ขาดได้
ฟู่เสี่ยวกวนกำปืนเล็กไว้ในมือ ดวงตาหรี่มองแล้วเล็งเป้าไปยังหลวงพี่ชุดแดงรูปนั้น
อยู่ ๆ หลวงพี่ชุดแดงก็รู้สึกราวกับว่ามีอันตรายรออยู่ นี่คือความรู้สึกที่ออกมาจากสัญชาตญาณของตน เขามิรู้หรอกว่าความรู้สึกอันตรายนี้มาจากที่ใด ทว่าเขาใช้พลังเพ่งไปที่กระบี่กว่าเจ็ดส่วน บัดนี้เขาอยู่ห่างจากฟู่เสี่ยวกวนเพียง 10 จั้งเท่านั้น
“ไปตายเสีย… ! ”
เขาเห็นท่าทางโหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ได้ยินเสียงก้องกังวานของปืน…
“ปัง ! ”
กระสุนเจาะเข้าระหว่างคิ้วของหลวงพี่ชุดแดงรูปนั้น
กลางอากาศราวกับมีบุปผาสีแดงสดผลิบาน
ทว่าอีกดาบหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในทันใด
ฟู่เสี่ยวกวนรีบยิงปืนนัดต่อไปทันที ทว่านัดนี้ยิงมิโดนเป้า
เขายิงปืนกระบอกเล็กหลายนัดติดต่อกัน แต่มีเพียงนัดเดียวเท่านั้นที่ยิงถูกขาของหลวงพี่ชุดแดงรูปนั้น
ดาบในมือของเขาชะงักลงครู่หนึ่ง
ธนูของเป่ยหวังฉวนยังคงพุ่งไปยังท้องนภา
พระอาจารย์ที่ถือไม้ขักขระไว้กระโดดลอยตัวมาอีกหนึ่งครา ในครานี้เขามิได้พุ่งไปหาสวี่หยุนชิง ทว่าเป็นฟู่เสี่ยวกวน !
เขากระโดดขึ้นจากพื้น กวัดแกว่งไม้ขักขระแล้วพุ่งเข้าหาฟู่เสี่ยวกวนทันใด !
ทันใดนั้นเอง มิรู้ว่าสวี่หยุนชิงเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด นางตะโกนออกมาดังก้องกังวาลว่า “เจ้าลาโง่ศีรษะล้าน ไปตายเสีย ! ” นางรีบแสดงความสามารถแล้วตามหัวหน้านิกายมาติด ๆ นางกัดฟันแล้วขว้างกระบี่ในมือออกไปทันใด
กระบี่แพรวพราวราวกับแสงจากฝนดาวตก มันพุ่งตรงไปที่แผ่นหลังของหัวหน้านิกาย !
หัวหน้านิกายฝูหันหลังกลับไป พลางโยนไม้ขักขระในมือออกไปขวางกระบี่ของสวี่หยุนชิง จากนั้นไม้ขักขระก็พุ่งเข้าไปทางสวี่หยุนชิงอย่างรุนแรง
สวี่หยุนชิงจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ลูกแม่…เจ้าโง่หรือเยี่ยงไร ? รีบหนีไปสิ… ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบปืนกระบอกยาวขึ้นมาอีกครา
เขาต้องยิงปืนนัดนี้เพื่อสตรีที่เพิ่งเคยพบหน้า และนางคือมารดาของร่างนี้ !
เขาเล็งปืนไปยังหัวหน้านิกายฟู แน่นอนว่าไม้ขักขระของพระชรารูปนั้นกำลังจะถึงตัวสวี่หยุนชิงแล้วเช่นกัน
เขาขบกรามแน่น จากนั้นก็เหนี่ยวไกปืนขึ้น
นี่คือกระสุนนัดสุดท้ายแล้ว
จังหวะที่เขาเหนี่ยวไกปืนออกไป เขารู้สึกกดดันมากยิ่งนัก
และชั่วอึดใจที่เขาเหนี่ยวไกปืนนั้น สวี่หยุนชิงก็กัดฟันปล่อยหมัดออกไปยังไม้ขักขระ
ชั่วพริบตาเดียวกันนั้น เจี่ยหนานซิงก็ถูกกระบี่แทงทะลุที่ช่องท้อง ทว่ากำปั้นของเขาก็ได้ชกเข้าที่ศีรษะของหลวงพี่ชุดแดงรูปหนึ่งจนแตกร้าว
“ปัง… ! ”
ขณะที่เสียงปืนดังขึ้นก็มีกระบี่เล่มหนึ่งพุ่งมาจากทางตะวันออก
กระบี่ที่พุ่งมาจากทางตะวันออกตัดดาบที่กำลังจะโจมตีสวี่ซินเหยียนจนขาดเป็นสองท่อน
ในจังหวะที่ดาบถูกตัด ทันใดนั้นร่างของผู้นำนิกายฝูก็ถูกลูกกระสุนอัดเข้าอย่างจัง โลหิตแตกกระจายราวกับดอกไม้สีเลือด
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้วางปืนลงทันที เขามองผ่านกล้องเล็งเป้าบนปืนและพบว่าพระชราถูกยิงบริเวณช่องท้อง ร่างของอีกฝ่ายถูกแรงอัดจากปืนจนกระเด็นออกไปไกล เจ้าสมควรตาย !
จากนั้นเขาก็พบว่าใบหน้าของหัวหน้านิกาย…กำลังยิ้ม !
ฟู่เสี่ยวกวนรีบหันกระบอกปืนแล้วมองผ่านกล้องเล็งเป้า เขาเห็นไม้ขักขระของหัวหน้านิกายฝูกระแทกเข้าที่ไหล่ของสวี่หยุนชิงอย่างรุนแรง !
บัดนี้สวี่หยุนชิงล้มลงกับพื้นแล้ว สายตาของนางยังคงมองมาทางฟู่เสี่ยวกวน นางกำลังแย้มยิ้ม ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยโลหิต
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด “ท่านแม่… ! ”
เขาตะโกนเสียงดังแล้วรีบวางปืนในมือลงทันใด จากนั้นก็วิ่งไปหามารดาอย่างสุดชีวิต
ร่างของสวี่หยุนชิงกองอยู่กับพื้น บนพื้นเต็มไปด้วยดอกท้อบานสะพรั่ง
ดอกท้อเพิ่งร่วงหล่นลงมาจากกิ่งก้านจึงมีสีสันที่สดใสมากยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าลงกับพื้น อุ้มสวี่หยุนชิงขึ้นมา เขาร้องตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ท่านแม่… ! ”
สวี่หยุนชิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย นางจ้องมองบุตรชายผ่านม่านขนตา พลางคิดไปว่าได้เห็นบุตรชายในระยะใกล้เสียที ลูกแม่เจ้าช่างหล่อเหลาเสียจริง รูปงามเหมือนแม่ในวัยแรกรุ่นมิมีผิด
นางพยายามยกมือขึ้น มือของนางสั่นคลอนมากยิ่งนัก และในท้ายที่สุดนางก็พบว่ามิสามารถทำได้
ฟู่เสี่ยวกวนเอื้อมมือไปจับมือนางมาสัมผัสกับใบหน้าของตน “ท่านแม่ อดทนอีกหน่อยเถิด ข้ามาช่วยท่านแล้ว ท่านต้องอดทนเอาไว้ ! ทหาร ! ทหาร… ! ”
“ลูกแม่…อย่าเสียเวลาไปเลย แม่…ลมหายใจใกล้หมดเต็มทีแล้ว หลังจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จงไปหาบิดาของเจ้า…โลงศพของบิดาเจ้า ยังอยู่… ยังอยู่ที่…เมืองเป่ย ! ”
ทันใดนั้นลำคอของสวี่หยุนชิงก็อ่อนแรงลงลง มือของนางพลันร่วงหล่นจากใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
นางหลับตาทั้งสองข้างลงช้า ๆ ทว่าบนใบหน้าดูเหมือนจะปรากฏรอยยิ้มอิ่มเอมขึ้นมา
ดอกท้อร่วงหล่นลงมา ตกกระทบกับใบหน้าของนาง พลันปรากฏแสงสุริยาเจิดจรัส
“อ๊าก… ! อ๊าก… ! อ๊าก… ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นพลางร้องตะโกนเสียงดัง บัดนี้เขามิต่างอันใดกับปิศาจร้ายเลยสักนิด
“จงสังหารพวกมันเสียให้สิ้น ! ข้าจะให้พวกมันทุกคนชดใช้ชีวิตให้แก่มารดาของข้า… ! ”
“ลูกศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงเอง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังไปมอง พบชายชราผู้หนึ่งสวมชุดผ้าลินินสีเขียวกำลังเดินลงมาจากท้องนภาทีละก้าว ๆ
ชายชราเดินอยู่กลางอากาศ ทว่ากระบี่ของเขากำลังบั่นหัวพระนักรบเหล่านั้นทีละรูป !
หลวงพี่ชุดแดงรูปนั้นยังคงถือดาบอยู่ในมือ ทว่าเป็นดาบที่มีเพียงครึ่งท่อนเท่านั้น
ส่วนร่างกายของเขามิต่างอันใดกับดาบเพราะมันเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ร่างสองท่อนนั้นร่วงหล่นลงพื้นธรณี ส่วนกระบี่เล่มนั้นยังคงตวัดไปยังป่าท้อจนต้นท้อล้มระเนระนาด กลีบใบของต้นท้อถูกพลังปราณของกระบี่สับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
กระบี่เล่มนั้นได้ปลิดชีพหลวงพี่ชุดแดงที่เผชิญหน้าอยู่กับเจี่ยหนานซิง จากนั้นก็ตัดร่างของพระนักรบอีกรูปหนึ่ง
แรงสูบฉีดของโลหิตพุ่งกระจายปกคลุมไปทั่วป่าท้อ
“ฝานอู๋เซียง ! เจ้าลาโง่ศีรษะล้าน กล้าดีเยี่ยงไรมาปลิดชีพศิษย์เอกของข้า ! ข้าจะทำลายล้างวัดของพวกเจ้าให้สิ้นซาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเหม่อมองไปยังเหตุการณ์เบื้องหน้า จากนั้นก็อุ้มร่างของสวี่หยุนชิงขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปด้านในลานอย่างเชื่องช้า ดวงตาของเขามิได้เปล่งประกายดังเดิม ในหูก็มิได้ยินเสียงคร่ำครวญเหล่านั้นแล้ว
สวี่หยุนชิงยังมีชีวิตอยู่ แต่นางก็ต้องมาตายจากไปอีกครา
ในเมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ แล้วเหตุใดหลายปีที่ผ่านมานี้ นางมิเคยมาหาข้าเลยเล่า ?
บัดนี้นางตายจากไปแล้วจริง ๆ อีกทั้งยังสิ้นใจในอ้อมอกของข้าด้วย
ข้ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่อยากเอ่ยถามนาง อยากรู้ว่าหลายปีมานี้นางทำอันใดและอยู่ที่ใด
เขาอยากรู้ว่ากวีอำลาเคมบริดจ์ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ไว้
เดิมทีเขาคิดว่าสวี่หยุนชิงมาจากอีกโลกหนึ่งเหมือนตน จนกระทั่งบัดนี้เขาก็คิดเช่นเดิมมิแปรเปลี่ยน ทว่านางมิมีโอกาสตอบคำถามของเขาอีกแล้ว
เขาอยากสนทนากับนางถึงเรื่องในโลกก่อน เขาคิดว่าอย่างน้อยในใต้หล้านี้ก็ยังมีใครสักคนที่สนทนาภาษาเดียวกันกับตนรู้เรื่อง
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้ความฝันกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา
การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว กระบี่ของท่านปรมาจารย์สำนักเต๋าได้ปลิดชีพศัตรูทุกคนรวมถึงตัดศีรษะของหัวหน้านิกายฝูด้วย
ลานกว้างแห่งนี้เงียบสงบอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งมีสายลมพัดพากลีบดอกท้อที่ขาดวิ่นมากระทบกับใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
เขาตื่นขึ้นมาจากภวังค์ จากนั้นก็จ้องมองไปยังใบหน้าอันงดงามของสตรีที่อยู่ในอ้อมกอด เขาพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหลลงมาอีก
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยหนานซิง สีหน้าของเขาซีดเผือด ทว่ายังยืนอยู่ข้าง ๆ
จากนั้นก็มองไปยังสวี่ซินเหยียนที่อาบโลหิตทั่วทั้งร่าง แล้วจากนั้นก็มองไปยังเป่ยหวังฉวนที่ก้มหน้าก้มตาด้วยอารามโศกเศร้าท้ายที่สุดสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังชายชราในชุดลินินสีเขียวผู้นั้น
“ท่าน…คืออาจารย์ของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูฉางเซิงรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งนัก เขากำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ มีเลือดไหลซิบออกมา จากนั้นก็หยดลงสู่พื้นธรณี
“ข้าคืออาจารย์ของเจ้าและข้ามาช้าจนเกินไป”
“…บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา” ฟู่เสี่ยวกวนมอบร่างของสวี่หยุนชิงให้สวี่ซินเหยียนประคองไว้ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกก่อนจะไปยืนอยู่ข้าง ๆ หยูเวิ่นเต้าที่เพิ่งตื่นขึ้นมา
หยูเวิ่นเต้ารีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ทว่าสิ่งที่เขาเห็นมิได้เป็นดั่งใจหวัง
แพ้หรือ ?
ยังแพ้อยู่อีกหรือ ?
มิอาจสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
บัดนี้หยูเวิ่นเต้ารู้สึกถึงความเย็นยะเยือก แผนการชุนเหลยที่พยายามคิดอย่างสุดความสามารถก็มิอาจปลิดชีพฟู่เสี่ยวกวนได้ !
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหยูเวิ่นเต้าด้วยสายตาโหดเหี้ยม แววตาเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง สหายที่ร่วมดื่มสุราและนั่งสนทนาด้วยกันอย่างมีความสุขเมื่อคราอดีต บัดนี้กลายเป็นดั่งร่างไร้ที่วิญญาณ
“เจ้าช่างโง่เขลามากยิ่งนัก ! ข้าต้องการราชวงศ์หยูก็จริง ทว่าเหตุผลมิใช่เพราะเสด็จพ่อของเจ้าเคยแทงข้างหลังข้า ทว่าเป็นเพราะข้ารักราชวงศ์หยูจากใจจริงต่างหาก”
“ข้ามิเคยคิดจะใช้กำลังเข้ายึดครองราชวงศ์หยู แต่เป็นเพราะความโง่เขลาของเจ้าเอง เพราะเจ้ามิรู้กำลังของตน ทำให้ข้าหมดสิ้นหนทางและจำต้องใช้วิธีนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าเข้าไปครึ่งก้าว
“ข้าเคยเอ่ยเอาไว้ว่า หากทำผิดก็ต้องชดใช้ ! ”
หยูเวิ่นเต้ามิเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน เขาจึงอดที่จะถอยหลังออกไปสองก้าวมิได้ “เจ้าคิดจะทำอันใดกัน ? ”
“เดิมทีข้าคิดจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งหลาย เนื่องจากต่อให้พวกเจ้าตกตายไปก็มิช่วยให้อันใดดีขึ้นมา สิ่งที่ข้าต้องการคือเอาชนะทหารของพวกเจ้าเท่านั้น จากนั้นก็ก่อตั้งอาณาจักรที่ใหญ่โตขึ้นมาใหม่…เนื่องจากพวกเจ้ามันไร้ความสามารถ ! ”
“พวกเจ้ามิอาจมอบความสงบสุขให้แก่ราษฎรได้”
“ในสมองของพวกเจ้าหาได้มีราษฎรอยู่ พวกเจ้ามองเห็นแต่ประโยชน์ของอำนาจที่แสนจะน่าขันของตน”
“เจ้ามิควรนำแคว้นฝานเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย และเจ้ามิควรนำนักบวชเหล่านี้เดินทางมาตายที่นี่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตวาดด้วยเสียงดังลั่น บัดนี้ใบหน้าของเขาดุดันมากยิ่งนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่า… เจ้าทำให้ท่านแม่ของข้าตาย ! ”
“เจ้า…ทำผิดจนมิอาจให้อภัยได้”
“จงจำเอาไว้ว่าหากทำผิดก็ต้องชดใช้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนชักกระบี่ของสวี่ซินเหยียนออกมา “อย่าพ่ะย่ะค่ะ… ! ” เจี่ยหนานซิงตะโกนห้ามออกมา แต่ก็มิอาจหยุดยั้งกระบี่ของฟู่เสี่ยวกวนได้
“ข้าจะบอกเจ้าว่าแคว้นที่ข้าปรารถนาสร้างให้แข็งแกร่งมีนามว่า…ต้าเซี่ย ! ”
“ตุ้บ… ! ”
ร่างของหยูเวิ่นเต้าล้มลงกับพื้น
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หันไปมองแต่อย่างใด เขาเอื้อมมือไปรับร่างของสวี่หยุนชิงคืนมา จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า
“กลับวัง ! ”
“เตรียมบุกยึดแคว้นฝาน ! ”