นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 967 ท่าเรือราชนาวีเซี่ยเย๋
ตอนที่ 967 ท่าเรือราชนาวีเซี่ยเย๋
“เสียงของเครื่องดนตรีพื้นเมืองดังแว่วมาตามลม…”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าการเต้นรำของชาวพื้นเมืองเหล่านี้เต็มไปด้วยความงดงามแบบดั้งเดิม
หัวหน้าชนเผ่าพื้นเมืองสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว ในแววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาคำรามเสียงดังลั่น การเต้นรำหยุดชะงักลงทันที หัวหน้าชนเผ่าเอ่ยบางอย่างขึ้นมาทว่าฟังมิได้ศัพท์ จากนั้นก็เห็นคนเหล่านั้นหยิบหอกกระดูกขึ้นมา แต่ละคนกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งและวิ่งตรงมาทางพวกเขา
“ปัง… ! ”
เสียงปืนดังขึ้นในดินแดนโบราณแห่งนี้ บางคนกรีดร้อง บางคนก็ขว้างหอกกระดูกด้วยความกรุ่นโกรธ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเพียงโบกมือส่งสัญญาณ หลังจากผ่านไปครึ่งถ้วยชาก็มีศพมากมายนอนเกลื่อนพื้น
ชนพื้นเมืองเหล่านี้มิทราบถึงอารยธรรมอันก้าวหน้าเลยสักนิด !
“เสี่ยวไป๋ ! ส่งกองนาวิกโยธินออกไป 1,000 นายและพยายามจับเป็นมาให้ได้ หากมีผู้ขัดขืนก็จงสังหารทิ้งเสีย”
“ตั้งค่ายพักแรมที่นี่ นำศพเหล่านี้ไปเผาเสีย พรุ่งนี้ข้าจะสำรวจท่าเรือราชนาวีแห่งนี้โดยละเอียด”
“ไปเรียกปิซาร์โรมาพบข้าด้วย”
ไป๋ยู่เหลียนถ่ายทอดคำสั่งออกไป เฮ้อซานเตานั่งอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนพลางจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ
หลังจบสงครามการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ ราวกับนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้นี้ค่อนข้างเฉยเมยต่อชีวิตไปบ้าง
นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องเลวร้ายกันแน่ ?
เฮ้อซานเตามิเข้าใจเท่าใดนัก เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงรู้สึกว่าหากเปลี่ยนเป็นตนเองก็เกรงว่าจะบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่า
“ซานเตาเอ๋ย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมิชอบแทนตนเองด้วยคำว่าเจิ้น ? ”
เฮ้อซานเตาส่ายหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มเล็กน้อย “ตั้งแต่โบราณ คำว่าเจิ้นมีความหมายว่าโดดเดี่ยว หากเอ่ยโดยละเอียดก็คือมิมีคนสนิทไร้มิตรสหายเพราะจักรพรรดิสูงส่ง โหดเหี้ยมและเลือดเย็น ดังนั้นจึงสมควรอยู่อย่างโดดเดี่ยว”
“นี่มิใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา ข้าหวังเพียงสามารถมีมิตรสหายเยี่ยงพวกเจ้าได้ ข้าหวังให้ทุกคนสามารถกลับมารวมตัวกันได้และหวังอีกว่าจะมีผู้ที่สามารถเต้นรำไปด้วยกันกับข้าได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าช้า ๆ “ดังนั้นข้าจึงมิใช่จักรพรรดิผู้เหมาะสมต่อตำแหน่ง หากผ่านไปอีกสักสองสามปีเมื่อประเทศต้าเซี่ยเกิดเสถียรภาพแล้ว ราษฎรที่แก่ตัวไปมีที่อยู่อาศัย ทารกที่เกิดมาใหม่ได้รับการเลี้ยงดู ไร้ซึ่งศัตรูจากภายนอกเข้ามาแทรกอีก… หลังจากที่ประเทศต้าเซี่ยเปิดเส้นทางการค้าระหว่างประเทศทางทะเลแล้วก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก”
“เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะกลับไป”
เฮ้อซานเตาตื่นตกใจขึ้นมาทันใด ฝ่าบาททรงท้อแท้พระทัยถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
“ไม่ ๆ ๆ” เฮ้อซานเตาโบกมือเป็นพัลวัน “พระองค์คือจักรพรรดิที่ดีที่สุดที่กระหม่อมเคยได้ยินมา ทำศึกสร้างบ้านเมืองใหญ่โตถึงเพียงนี้ด้วยความยากลำบาก หากพระองค์กลับไป… พระองค์ยังจำราชวงศ์หยูหลังจากที่พระองค์จากมาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“หลังจากที่พระองค์จากมา ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาก็พลิกผันแย่ลงมิเหมือนเก่า บัดนี้พวกเขาต่างก็เป็นคนของพระองค์แล้ว ความหวังจึงถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครา พระองค์ยังสามารถทอดทิ้งพวกเขาและมิสนใจไยดีพวกเขาได้อยู่อีกหรือ ? ท่านมันไร้ความรับผิดชอบ ! ”
คำเอ่ยของเฮ้อซานเตาถือเป็นการดูหมิ่น ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำมาใส่ใจ
“ดังนั้นจึงมิสามารถให้ราษฎรมอบทุกสิ่งทุกอย่างของตนไว้กับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองท่าทางตกตะลึงของเฮ้อซานเตาแล้วเอ่ยต่อว่า “เจ้าลองคิดดูสิ ข้าเองก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งหาใช่เทพเจ้าแต่อย่างใด ข้าสามารถทำผิดได้ ในอีกมิกี่ปีข้างหน้าข้าอาจจะตกตายก็เป็นได้ ผู้ใดจะสามารถรับประกันได้ว่าจักรพรรดิที่ขึ้นครองบัลลังก์ต่อไปจะมีเมตตาธรรมต่อราษฎร ? ผู้ใดสามารถรับประกันได้บ้างว่าหลังจากบ้านเมืองถูกส่งต่อไปยังรุ่นถัดไปจะยังคงมีความแข็งแกร่งดังเดิม ? ”
“การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยจะเป็นปัญหาใหญ่ภายในชาติ ส่วนเรื่องศัตรูจากภายนอกก็เป็นเพียงฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถบดขยี้อูฐให้ตายได้ก็เท่านั้น”
เฮ้อซานเตามิเข้าใจประโยคนี้ เขามิได้เอ่ยถามเพราะฟู่เสี่ยวกวนกำลังเอ่ยต่อ
“แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าคิดยังค่อนข้างไกลไปสักหน่อย ควรอยู่กับปัจจุบัน จะมาสนใจเรื่องราวหลังจากที่ตนตกตายไปแล้วเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ทว่าข้าก็อดคิดมิได้ เพราะในช่วงหลายวันมานี้เพิ่งทุเลาลงมาบ้าง ใบหน้าของผู้คนเพิ่งมีรอยยิ้มปรากฎออกมาให้เห็น”
“หากช่วงเวลานี้สามารถยืนหยัดต่อไปได้นานสักหน่อย ราษฎรก็จะมีโอกาสเงยหน้าขึ้นเพื่อมองไปยังท้องนภากว้างไกล พวกเขาจะมองเห็นกรงนกนี้และสามารถยื่นมือออกไปปลดล็อคพันธนาการได้”
ยิ่งเฮ้อซานเตาได้ฟังก็ยิ่งสับสน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนควรเรียนหนังสือให้มากกว่านี้
ในขณะนั้นปิซาร์โรก็เดินเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยอย่างช้า ๆ ว่า “ข้ายังมิทราบว่าควรจัดการเยี่ยงไร ? ทว่ามีต้นแบบเอาไว้แล้ว รอสักประเดี๋ยวเถิด”
เฮ้อซานเตามิทราบว่ารออันใด เพราะเขารู้สึกว่าแบบปัจจุบันก็ดีที่สุดแล้ว
คุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้นี้มีความสามารถมากมาย นโยบายที่น่าเวียนศีรษะของพระองค์ก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อราษฎรอย่างแท้จริง
แม้แต่โจ่งหยูภรรยาของเขาก็เคยเอ่ยเอาไว้ว่า พวกเราโชคดีที่ได้เกิดในยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้ พวกเรากำลังจะได้เห็นประเทศต้าเซี่ยอันแข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ กำลังเข้าสู่ยุคสมัยสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองอย่างที่มิเคยมีมาก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การปกครองของฝ่าบาท
นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เหตุใดฝ่าบาทจึง… จึงเหี่ยวเฉาแล้วเล่า ?
ย่อมเป็นไปมิได้ !
เฮ้อซานเตายังคงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ฟู่เสี่ยวกวนกางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะ บนกระดาษแผ่นนั้นมีรูปภาพซึ่งมันคือภาพร่างของท่าเรือราชนาวี
“เจ้าลองดูสักหน่อยเถิด… เจ้ามีความเห็นเยี่ยงไรต่อท่าเรือราชนาวีนี้ก็ให้เอ่ยออกมาตามตรง”
ปิซาร์โรฟุบอยู่กับโต๊ะโดยอาศัยแสงเทียนเพ่งมอง ทันใดนั้นก็ต้องประหลาดใจขึ้นมา
เขาเอียงหน้ามองไปทางฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความตื่นตกใจ “ฝ่าบาททรงออกแบบขึ้นมาเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ปิซาร์โรจึงรู้สึกว่าจักรพรรดิพระองค์นี้ช่างเก่งกาจมากยิ่งนัก
ท่าเรือราชนาวีแห่งนี้ประกอบด้วยท่าเทียบเรือขนาดใหญ่สิบสองช่อง ท่าเทียบเรือขนาดกลางยี่สิบช่อง มีอู่ซ่อมเรืออยู่สามแห่งและอู่ต่อเรืออีกสามแห่ง
บนฝั่งของท่าเรือราชนาวี…เขาเข้าใจเพียงจุดที่เป็นโรงพยาบาลและค่ายทหารตั้งอยู่เท่านั้น ทว่าส่วนที่เหลือนั้นเขามองมิออกเลยสักนิด
“นี่…ฝ่าบาท นี่คือสิ่งใด ? ”
“คลังน้ำมัน”
ปิซาร์โรคิ้วขมวดมุ่น “คลังน้ำมันคือสิ่งใดกัน ? ”
“คือสิ่งที่ใช้เก็บน้ำมัน เจ้าอย่าเอ่ยถามเรื่องนี้อีกเลย มีคำถามอย่างอื่นอีกหรือไม่ ? ”
“ปืนใหญ่เหล่านี้ใช้เพื่อป้องกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ” น่าเสียดายเหมือนกันที่ต้องเอามาวางป้องกันไว้เฉย ๆ
ปิซาร์โรจดจ่ออยู่กับกระดาษแผ่นนั้นอยู่เนิ่นนาน ท่าเรือราชนาวีแห่งนี้มีขนาดที่พอดีและสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน ยังมีตรงที่ใดให้เขาเพิ่มเติมอีกกันนะ เขามีเพียงความสงสัยเท่านั้น…
“ท่าเทียบเรือทั้งสิบสองช่องใหญ่เกินไปหรือไม่ ? ”
“ไม่ ! เพราะข้าจะสร้างเรือที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นมา”
“เยี่ยงนั้นข้าน้อยคิดว่าสัดส่วนของฐานตรงนี้ต้องใหญ่กว่านี้อีก ที่ตรงนี้เหมาะสำหรับการสร้างโกดังเก็บวัสดุก่อสร้างเรือ ส่วนสถานที่ตรงนี้เหมาะแก่งานขนส่งเสบียงและเครื่องใช้ที่ประกอบไปด้วยน้ำจืดและเสบียงอาหารต่าง ๆ…”
ทุกอย่างที่ปิซาร์โรเอ่ยออกมาได้เติมเต็มส่วนที่ขาดในภาพร่างแผ่นนี้
ฟู่เสี่ยวกวนนำดินสอวาดปรับแต่งบนกระดาษตลอดทั้งคืนจวบจนรุ่งสาง บนภาพวาดจึงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างจนกลายเป็นเมืองขนาดกลางไปแล้ว
มีฐานฝึกของกองทัพเรือ มีเรือท้องแบน เรือลำเลียง มีเขตที่อยู่อาศัยของช่างต่อเรือและมีเขตที่อยู่อาศัยของทหารเรือ หนึ่งในนั้นยังมีอาคารที่สูงที่สุดอยู่หนึ่งแห่ง มันมีชื่อเรียกว่าศูนย์บัญชาการนาวิกโยธินและยังมีอื่น ๆ อีกมากมาย
สามวันให้หลัง ทหารจากกองนาวิกโยธิน 1,000 นายก็กลับมาพร้อมกับชาวพื้นเมืองนับหมื่นคน แน่นอนว่ามีอุปสรรคทางด้านภาษาทว่าปิซาร์โรก็มีหนทางอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ…ภาษามือ !
คนผู้นี้ใช้เวลา 2 ชั่วยามในการใช้ภาษามือสื่อสารกับหัวหน้าชนเผ่าพื้นเมือง พวกเขาเหล่านี้จึงเพิ่งเข้าใจว่าได้พบเจอกับสิ่งใดและเกิดเรื่องอันใดขึ้น ในขณะนั้นก็รู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ยอมจำนนต่อฟู่เสี่ยวกวน และได้กลายเป็นทาสรับใช้ของฟู่เสี่ยวกวน
ภายใต้การจัดการของปิซาร์โรจึงให้ช่างก่อสร้างชาวพื้นเมืองจำนวนหนึ่งเริ่มไปหาแร่เพื่อทำปูนซีเมนต์และกระเบื้อง
จำต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ช่างก่อสร้างชาวต้าเซี่ยที่เหลือได้พาชาวพื้นเมืองส่วนหนึ่งไปสร้างบ้านไม้ริมชายหาดโดยใช้วัสดุที่ขนมาด้วยและเริ่มสร้างท่าเรือแห่งแรกขึ้นมา
หลังจากนั้นอีกสามวันให้หลังฟู่เสี่ยวกวนก็ให้ปิซาร์โรและทหารอีก 2,000 นายประจำอยู่ที่นี่โดยมีคำสั่งให้ปิซาร์โรเป็นผู้รับผิดชอบท่าเรือราชนาวีหลักแห่งนี้
ส่วนตนเองและคนที่เหลือก็ได้ขึ้นไปบนเรือรบทั้งห้าลำ จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังแคว้นหลิว