นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที 1266 ร่วมใจกันออกมาส่งเสด็จ
ตอนที 1266 ร่วมใจกันออกมาส่งเสด็จ
รัชสมัยต้าเซี่ยปีที่ห้า เดือนสาม วันที่สิบห้า เมื่อท้องนภาเริ่มส่องแสงสลัว
เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนได้กำชับเป็นหนักเป็นหนาแล้วว่า…การออกเดินทางครานี้ของตนจะต้องเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทว่าพวกเยี่ยนซีเหวินมิได้คิดเช่นนั้น พวกเขาเห็นว่าการออกเดินทางสำรวจครานี้เปี่ยมล้นไปด้วยความหมาย มิอาจทำเงียบ ๆ ได้
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเดินทางไปบุกเบิกเส้นทางอันรุ่งโรจน์ให้กับอนาคตของต้าเซี่ย !
และนี่ถือเป็นการบอกลาระหว่างต้าเซี่ยและฟู่เสี่ยวกวน เขาต้องการเดินทางไปตั้งรกรากถิ่นฐานยังดินแดนที่ไกลโพ้น !
ดังนั้น…อู๋เทียนซื่อจักรพรรดิที่เพิ่งก้าวขึ้นบัลลังก์จึงได้นำขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารมายืนขนาบทั้งสองข้างทางของถนนจูเชว่เพื่อส่งบิดาอย่างสมพระเกียรติ
ข่าวคราวได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองฉางอัน
ชาวเมืองแทบจะทุกคนตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขาต่างก็หลั่งไหลกันไปยังถนนจูเชว่ เพื่อตั้งหน้าตั้งตาคอยส่งฟู่เสี่ยวกวน
วันนั้นร้านอาหารเช้ามิได้เปิดให้บริการ พ่อค้าหาบเร่ต่างก็วางหาบหยุดค้าขาย แม้แต่หญิงสาวในตรอกปู๋เย้ก็เก็บกวาดหอจนสะอาดสะอ้านตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสาง
พวกเขายืนขนาบทั้งสองข้างของถนนจูเชว่พลางลอบมองจักรพรรดิพระองค์ใหม่และเสนาบดีที่ยืนอยู่ตรงใจกลาง ทุกคนต่างชะเง้อรอคอยการมาถึง
ฮั่วหวยจิ่นที่นำกำลังพล 30,000 นายมาประจำการอยู่ที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ถัดจากถนนจูเชว่ เขารู้สึกกังวลมากยิ่งนัก ทั่วทั้งเมืองฉางอันมีประชากรทั้งสิ้น 4,000,000 คน แต่จากการคาดคะเนด้วยสายตาแล้วนั้น บัดนี้บนถนนจูเชว่มีคนกระจุกอยู่มากกว่า 1,000,000 คนเลยทีเดียว !
หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นมาเล่า เขาจะทำเยี่ยงไรดี ?
ในขณะที่ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยนั่นเอง ฟู่เสี่ยวกวนได้พาภรรยาและลูก ๆ ของเขา รวมถึงขันทีและนางในนั่งรถม้าออกมาจากพระราชวัง
ขบวนรถม้ามิได้หรูหรา แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้โดยสารราชรถมังกร ทว่าเมื่อขบวนได้วิ่งผ่านถนนจูเชว่ เสียงร้องเรียกก็ดังกระหึ่มขึ้นมา
“ฝ่าบาท ! ”
“ฝ่าบาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดผ้าม่านออกพลางส่งยิ้มด้วยสีหน้าเบิกบาน เขาเห็นราษฎรตื่นเต้นมากยิ่งนักจึงโบกไม้โบกมือส่งไปให้
“ข้าเพียงอยากจากไปอย่างเงียบ ๆ ทว่านี่….” เขาส่ายศีรษะช้า ๆ ทว่าหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานกลับรู้สึกชอบใจ
“พวกเขาทำใจให้ท่านลาจากมิได้เยี่ยงไรเล่า”
“จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็ใจหายที่ต้องจากพวกเขาเช่นกัน แต่ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้แหละ ใต้หล้านี้ย่อมไร้งานเลี้ยงใดที่มิมีวันเลิกรา สุดท้ายก็ต้องลาจากอยู่ดี”
ขบวนรถจอดลงบริเวณใจกลางของถนนจูเชว่
บัดนี้อู๋เทียนซื่อรู้สึกตื้นตันใจมากยิ่งนัก เขาครุ่นคิดอยู่ในใจว่าทุกสิ่งที่ผู้เป็นบิดาได้กระทำลงไปเพื่อราษฎร บัดนี้ได้รับการตอบแทนบุญคุณทั้งหมดแล้ว
ท่านพ่อจะเป็นแบบอย่างของเขาตลอดไป ในฐานะลูกของพ่อ เจิ้นจะต้องขยันสร้างผลงาน เช่นนี้ถึงจะคู่ควรกับความรักที่ท่านพ่อมีให้ ถึงจะได้รับการสนับสนุนจากราษฎรเช่นนี้
เขาสวมชุดคลุมมังกร เดินลงมาจากรถม้าโดยมีพวกเยี่ยนซีเหวินคอยล้อมรอบ
เมื่อเดินเข้าไป ดวงตาของอู๋เทียนซื่อก็ขึ้นสีแดงเรื่อ
เพราะเยี่ยงไรเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง !
เขามีโอกาสได้สานสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกกับฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น
ทว่าระยะเวลาเพียง 1 ปีก็ทำให้เขาได้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ดั่งภูเขาของผู้เป็นพ่อ
บัดนี้บทเรียนที่ผู้เป็นพ่อได้พร่ำสอนยังคงดังกึกก้องไปมาอยู่ข้างหู แววตาที่กระตือรือร้นของผู้เป็นพ่อได้ฉายขึ้นมาในหัวของเขา
ฟู่เสี่ยวกวนเดินลงมาจากรถม้า จากนั้นก็หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของอู๋เทียนซื่อ
อู๋เทียนซื่อคุกเข่าลง ก้มตัวจนหน้าผากแตะกับพื้นเพื่อถวายความเคารพต่อผู้เป็นพ่อสามครา
เหล่าเสนาบดีก็คุกเข่าตามลงไปเช่นกัน บ้างก็ส่งเสียงร้อง บ้างก็ศีรษะกระแทกพื้น
ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนครองบัลลังก์ เขาได้ยกเลิกพิธีคุกเข่าหมอบกราบไปแล้ว แต่เมื่อเขาสละราชบัลลังก์ มิคาดคิดเลยว่าคนพวกนี้จะคุกเข่าลงทั้งหมด !
“นี่…ทำอันใดกันน่ะ ? ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาให้หมด ! ทำอย่างกับจะลาตายไปได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปพยุงพวกเยี่ยนซีเหวินขึ้นมา จากนั้นก็เข้าไปพยุงอู๋เทียนซื่อขึ้นมา
ครานี้เสนาบดีทั้งหลายถึงยอมลุกขึ้นมา พวกเขาต่างก็ใช้แขนเสื้อปาดน้ำตา ล้วนทำสีหน้าเศร้าหมอง
ฟู่เสี่ยวกวนได้จับมือของอู๋เทียนซื่อเอาไว้
จักรพรรดิพระองค์เก่าและจักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้ผสานมือร่วมกัน ฝูงชนร้องกระหึ่มราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามา
ฟู่เสี่ยวกวนมองอู๋เทียนซื่อด้วยใจที่ห่วงหาอาทร “ลูกเอ๋ย สิ่งที่พ่อควรจะเอ่ย พ่อได้บอกเจ้าไปเกือบทั้งหมดแล้ว”
“ไหน ๆ เจ้าก็มาส่งพ่อแล้ว พ่อก็จะขอเอ่ยกับเจ้าอีกสองสามประโยค”
“ท่านพ่อทรงตรัสออกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันซ้ายหันขวาจ้องมองผู้คนที่คลาคล่ำอย่างมิมีที่สิ้นสุด “รากฐานของต้าเซี่ยยังแข็งแกร่งมิมากพอ ดังนั้นมิว่าจะดำเนินนโยบายใดก็ตาม ห้ามทำตามอำเภอใจเป็นอันขาด ! ”
“เป็นจักรพรรดิมิใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่าง มิว่าจะเป็นด้านความรู้หรือด้านวิสัยทัศน์ ทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่อง จักรพรรดิเองก็เช่นกัน”
“การมีข้อบกพร่องมิใช่สิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือความดื้อรั้น มิยอมฟังความเห็นของเหล่าเสนาบดี คิดเอาแต่ใจตนเอง ! ”
“เจ้าอายุยังน้อย เจ้ายังต้องใช้เวลาอีกมากในการเติบโต พ่อหวังว่าเจ้าจะตั้งใจเรียนรู้จากเสนาบดี และหวังว่าเจ้าจะใจกว้างมากพอ”
“เจ้าจงฟังความในหลาย ๆ ด้าน คณะรัฐมนตรีจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง เสนาบดีเก่าแก่เหล่านั้นรู้ลึกกว้างขวาง ร่ำรวยประสบการณ์ เจ้าต้องเรียนรู้จากพวกเขาให้มาก คำแนะนำของเขาสามารถนำไปปรับใช้ได้เช่นกัน”
“เมื่อเจ้าจะดำเนินนโยบายใดก็ตาม เจ้าต้องฟังคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีให้มาก ๆ ชั่งใจระหว่างข้อดีและข้อเสียให้ดี จงผนึกกำลึงร่วมใจกันผลักดันต้าเซี่ย”
“พวกเขาเป็นสมบัติของต้าเซี่ย เจ้าจงปฏิบัติต่อพวกเขาให้ดี แม้วาจาของเขาอาจจะทำให้เจ้าขุ่นเคืองบ้าง แต่ถ้าหากเจตนารมณ์ของเขาคือทำเพื่อต้าเซี่ย เจ้าก็อย่าได้กล่าวโทษเขาเลย และห้ามโยนความผิดไปใส่ศีรษะของพวกเขาเด็ดขาด”
อู๋เทียนซื่อเงยหน้าขึ้น “ท่านพ่อ ลูกจะจำเอาไว้ให้ดี”
“อืม…เยี่ยม”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดสั่งเสียอู๋เทียนซื่อ เพราะเขาได้สั่งสอนและแสดงตัวอย่างให้เห็นแล้ว ส่วนในอนาคตเขาจะปฏิบัติตามหรือไม่… ก็หวังว่าเขาจะรักษาต้าเซี่ยเอาไว้ ให้ต้าเซี่ยพัฒนาไปอย่างมั่นคง และนี่คงจะเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอู๋เทียนซื่อ
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ที่ร่วมขบวนมาด้วย เขาเหยียดมุมปากส่งยิ้มให้
พลางชะงักฝีเท้าลง
“ต่อให้ส่งข้าไปไกลนับพันลี้ ทว่าสุดท้ายก็ต้องลาจากอยู่ดี อีกอย่างหลังจากที่เส้นทางเดินเรือถูกเปิดใช้งานแล้ว ใช่ว่าข้าจะกลับมามิได้”
“รอให้ข้ากลับมาก่อนแล้วพวกเราค่อยไปฉลองด้วยกันที่หอซื่อฟาง”
“กระหม่อมจะรอพระองค์กลับมา ! ต่อไปในวันข้างหน้าหากพวกกระหม่อมอยากจะไปหาพระองค์… ! ”
“ได้สิ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับไปหาเหล่าเสนาบดี จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังก้องว่า “พวกเจ้า… พวกเจ้าจงติดตามฝ่าบาทกลับไปให้หมด ! ”
“ต้าเซี่ยที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ ยังต้องการให้พวกเจ้าคอยช่วยเหลือจักรพรรดิบริหารประเทศ ! ”
“ราษฎรนับร้อยล้านของต้าเซี่ยจะต้องมีชีวิตที่ผาสุก ต้าเซี่ยต้องการความสมัครสมานร่วมใจของพวกเจ้า ! ”
“ประวัติศาสตร์หน้าเก่าของต้าเซี่ยถูกปิดลงแล้ว ต่อไปนี้ถึงเวลาของพวกเจ้าและจักรพรรดิองค์ต่อไปแล้วที่ต้องบุกเบิกหน้าต่อไป ! ”
“ข้ายังยืนยันประโยคนั้นว่า…ราษฎรคือรากฐานของต้าเซี่ย จงนำความคิดที่จะบริการราษฎรไปปฏิบัติใช้”
“ต้าเซี่ยจะต้องเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป ! ”
“ข้าขอฝากต้าเซี่ยไว้ในมือของพวกเจ้าทุกคนด้วย ลากันตรงนี้แหละ ไว้พบกันใหม่…ในวันข้างหน้า ! ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบ เขาก็เดินกลับไปขึ้นรถม้า จากนั้นก็ออกรถม้าไปอย่างรวดเร็ว ไปยังสุดสายของถนนจูเชว่
“ฝ่าบาท…รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“พวกเราจะรอฟังข่าวชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ! ”
“ฟู่เสี่ยวกวน ข้ารักท่าน... ! ”
เสนาบดีบางคนส่งเสียงร้องตะโกน ทว่าเป็นเสียงของราษฎรที่ดังมากกว่า
เยี่ยงไรถนนสิบลี้ก็ต้องมีจุดสิ้นสุด ขบวนได้เดินทางออกจากเมืองฉางอันโดยมีเสียงอำลาของทุกคนเคล้าคลอตามหลัง ไป๋ยู่เหลียนนำทัพกองนาวิกโยธิน 20,000 นายรออยู่นอกเมือง
แสงสุริยายามเช้าสาดส่องทั่วทั้งท้องนภา
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วหันกลับไปมองอีกครา
เมืองแห่งนี้มิได้มีกำแพงสูงคอยขวางกั้น จึงเห็นหลังคาของตัวอาคารส่องระยับวาววับจับแสงสุริยา
มันช่างสวยงามเสียจริง
เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
เปรียบดั่งยุคหนุ่มสาวของต้าเซี่ย
สุริยาลอยเด่น ลำแสงของมันช่างยิ่งใหญ่เสียจริง
อนาคตเปรียบดั่งมหาสมุทร หนทางยังอีกยาวไกล !