นิยามแห่งราตรี (Night’s Nomenclature ) - ตอนที่ 8 เงา
ตอนที่ 8 – เงา
จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในคุกที่สัตว์ร้ายเหล็กกล้าอาละวาดแห่งนี้
ชิ่งเฉินไม่มีทางหวังเอากับลู่ก่วงอี้ซึ่งไม่รู้ที่มา เพราะเขากลัวว่าสถานะที่ตนเองมาแทนเจ้าของร่างเดิมจะเปิดเผย
แล้วเขาก็ไม่มีทางหวังเอากับคนบ้านเดียวกันคนอื่นที่มาพร้อมกับตนเอง เพราะอีกฝ่ายอนาถยิ่งกว่าตนเองอีก
ดังนั้น ชิ่งเฉินบอกความสามารถของตนเองกับหลี่ซูถงโดยสงบ พิสูจน์ว่าตนเองเป็นคนที่มีประโยชน์
ไม่ต้องกังขาสักนิดเดียวว่าหลี่ซูถงเป็นตัวตนที่มีอภินิหารที่สุดในเรือนจำแห่งนี้ ถึงตนเองจะทำการเสี่ยงขนาดนี้แต่กลับเป็นทางออกที่ดีที่สุด
หลี่ซูถงเอามือไพล่หลังเดินจากไปสบาย ๆ เยี่ยหว่านกับแมวใหญ่ติดตามอยู่ข้างกายเขา ทว่าหลินเสี่ยวเสี้ยวที่ยิ้มซุกซนไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว
เที่ยงตรงยังไม่ถึงเวลากินข้าว หน้าต่างแจกอาหารต้องเปิดให้หลี่ซูถงก่อน
เยี่ยหว่านไปรับอาหารหนึ่งถาดให้หลี่ซูถงกับแมวใหญ่ แมวใหญ่เขี่ยเลือกกิน
ตอนนี้หลินเสี่ยวเสี้ยวมุดออกมาจากที่ไหนไม่รู้อีกแล้ว เขาเตะรองเท้าทิ้ง นั่งยอง ๆ เท้าเปล่าบนเก้าอี้ตรงข้ามกับหลี่ซูถงที่โต๊ะกินข้าว
แมวใหญ่เหลือบมองเขา เยี่ยหว่านขมวดคิ้วกล่าวว่า “ต่อหน้าเจ้านายให้ความเคารพหน่อย”
หลินเสี่ยวเสี้ยวกลอกตา “เจ้านายยังไม่พูดอะไรเลย แม่เยี่ยนายก็ใจกว้างหน่อยสิ”
หลี่ซูถงยิ้มกล่าวว่า “ดูท่าจะมีผลรับนิดหน่อยสินะ”
“ครับ” หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “มีผลรับเยอะเลย ท่านรู้รึเปล่า ชิ่นเฉินคนนี้อยู่ข้างนอกสะอาดเรียบกริ๊บ ร่องรอยผิดปกติสักนิดยังตรวจสอบไม่เจอ แต่อย่างนี้กลับทำให้ผมเกิดความสนใจขึ้นมา”
“เพราะว่าสะอาดเกินไปหรือ” หลี่ซูถงถาม
“ครับ คือว่าสะอาดเกินไปแล้ว ข้อมูลของเขาแสดงออกมาว่าเขาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งของเมืองหมายเลข 18 พ่อแม่ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ได้รับมรดกมา ไม่มีหมายจับก่อนหน้า ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่มีญาติ” หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าว
“เขามีข้อหาอะไร” หลี่ซูถงถาม
“ขโมยของ แฟ้มประวัติระบุว่าเขาขโมยโทรศัพท์จอ LCD หนึ่งเครื่องที่พอให้ได้รับโทษพอดี” หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าว “ท่านก็ทราบว่าคุกหมายเลข 18 นี้เกินครึ่งล้วนเป็นนักโทษอุฉกรรจ์ ปกติแล้วล้วนเป็นกลุ่มแก๊งที่มีประวัติอาชญากรรมหรือว่าถูกหน่วยงานภาษีจับมาถึงได้ขังอยู่ที่นี่ เขาที่เป็นขโมยคนหนึ่งไม่ควรจะปรากฏตัวขึ้นในสถานที่เช่นนี้เลย”
ทำงานในระยะเวลาสั้น ๆ แค่นี้ หลินเสี่ยวเสี้ยวถึงกับอ่านแม้แต่แฟ้มประวัติของชิ่งเฉินหมดสิ้น ในสายตาคนทั่วไปเกรงว่าจะนับว่าเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญในการเล่นเล่ห์เพทุบายแล้ว
หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าวต่อว่า “อีกอย่าง ผมหาคนข้างนอกมาถามดู คดีของเขามีข้อถกเถียงอยู่ ว่ากันว่าเขาอ้างว่าตัวเองซื้อโทรศัพท์จอ LCD มาอย่างถูกต้อง เงินก็จ่ายแล้ว เพียงแต่คนที่ขายโทรศัพท์ไม่รู้ว่าทำไมไม่ลงบัญชี กล้องวงจรปิดก็จู่ ๆ เกิดเสียขึ้นมาไม่มีทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา ดังนั้นพอพนักงานขายโทรศัพท์กลับคำให้การช่วยเป็นพยานให้เขาหรือว่าคลิปวงจรปิดที่เขาจ่ายเงินปรากฏขึ้นมา เขาก็จะสามารถออกไปได้ทันที ท่านดูสิว่านี่มันเป็นวิธีการที่ชวนคุ้นแค่ไหน คนที่เข้าคุกมา ‘ทำธุระ’ เกินครึ่งล้วนมาไม้นี้”
หลี่ซูถงหน้าตาครุ่นคิด “ลงโทษเขานานเท่าไหร่”
“ลงโทษหกเดือน” หลินเสี่ยวเสี้ยวตอบกลับ “นี่เกรงว่าเป็นระยะเวลาต้องขังที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของคุกหมายเลข 18 แล้ว เจ้านาย ท่านไม่รู้สึกว่ามีปัญหามากเลยหรือ…. เขายังแซ่ชิ่งด้วยนะ!”
แซ่ชิ่งนี้ในยุคปัจจุบันพิเศษเกินไปแล้ว ห้าบริษัทใหญ่ผูกขาดเส้นเลือดทางเศรษฐกิจเอาไว้แทบทั้งหมด ครอบครัวหนึ่งในนั้นก็แซ่ชิ่ง
แล้วชิ่งก็ยังเป็นแซ่ที่พบเห็นน้อยมาก ดังนั้นถ้าหากคนเดินไปตามถนนแล้วจู่ ๆ เจอกับคนแซ่ชิ่งล้วนจะต้องงึมงำขึ้นมาในใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนของตระกูลชิ่งหรือไม่
“ต่อ” หลี่ซูถงกล่าวยิ้ม ๆ
“ท่านก็ทราบว่าก่อนหน้านี้กลุ่มตระกูลชิ่งจัดแจงลู่กวงอี้เข้ามาหนึ่งคนแล้ว” หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าว “ของประเภทนี้ตรวจสอบง่ายมาก ตอนนั้นผมแค่คิดไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายอยากจะจัดแจงคนตัวเล็ก ๆ อย่างนี้เข้ามาเพราะอะไร คิดจะทำอะไร”
“ผมจำลู่ก่วงอี้นั่นได้” เยี่ยหว่านกล่าวข้าง ๆ “เขารวบรวมผู้คนอยู่ตลอด”
“ถูกต้อง” หลินเสี่ยวเสี้ยวกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ลู่ก่วงอี้นี่หลังจากเข้ามาก็อาศัยอวัยวะจักรกลที่เหนือชั้นของตนเองกดขั้วอำนาจดั้งเดิมในคุกมาตลอดทาง ใช้เวลาหนึ่งเดือนก็ต้านทานอีกสองฝ่ายจนกลายเป็นสภาพสามเส้า ตอนนั้นผมก็สงสัยอยู่ว่าตระกูลชิ่งส่งเขามารวมคุกหมายเลข 18 เป็นหนึ่งเดียวเหรอ”
“ตระกูลชิ่งรู้ว่าเจ้านายอยู่ที่นี่” ความหมายในคำพูดของเยี่ยหว่านคือ มีหลี่ซูถงอยู่ ใครก็รวมที่นี่เป็นหนึ่งเดียวไม่ได้
หลินเสี่ยวเสี้ยวหยีตา พูดถึงตอนตื่นเต้นแล้วก็แค้นที่ไม่อาจไปแคะเท้าตัวเอง “ก็นั่นแหละ ผมยังคิดเลยว่าตระกูลชิ่งโง่รึเปล่า ถึงกับส่งกุ้งฝอยหนึ่งตัวเข้าคุกหมายเลข 18 มาก่อเรื่อง จะกระทั่งวันนี้ผมถึงเข้าใจ ไอ้เจ้าลู่ก่วงอี้นี่มาเบิกทางให้เด็กชิ่งเฉิน ไม่ว่าตระกูลชิ่งคิดจะทำอะไร ชิ่งเฉินจึงเป็นนาย ลู่ก่วงอี้เป็นแค่มือเท้าเท่านั้น”
เวลานี้หลินเสี่ยวเสี้ยวยังฉงนขึ้นมาอีกว่า “แต่พวกเขามาคุกหมายเลข 18 มีแผนการอะไร ถ้าเกิดเด็กชิ่งเฉินนี่เป็นสายตรงตระกูลชิ่งอันล้ำค่าขึ้นมาจริง ๆ แล้วทำไมยังจะเต็มใจมาที่นี่อีก”
หลี่ซูถงกล่าวขึ้นกะทันหันว่า “ตระกูลชิ่งอาจจะอยากเลือกเงารุ่นต่อไปแล้ว”
เยี่ยหว่านกับหลินเสี่ยวเสี้ยวอึ้งไปพร้อมกัน “เงารุ่นต่อไป? ชิ่งเฉินเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงเหรอ งั้นเขามาที่นี่คือเอาภารกิจมาด้วยน่ะสิ”
กลุ่มหลักทรัพย์ขนาดมหึมาต้องมีคนออกหน้า แล้วก็ต้องมีคนเบื้องหลัง
เจ้าบ้านของตระกูลชิ่งคือคนออกหน้า เงาคือคนเบื้องหลัง
เงาเชี่ยวชาญการทำงานสกปรก อำนาจสิทธิ์ขาดในมือหนักหนายิ่ง เป็นนายของโลกใต้ดินกลุ่มตระกูลชิ่ง นอกจากเจ้าบ้านไม่มีใครสามารถควบคุมได้
เพียงแต่กระบวนการคัดเลือกเงาทุกรุ่นล้วนโหดร้ายเป็นพิเศษ เหมือนกับการเลี้ยงหนอนกู่*
“ดูท่าตระกูลชิ่งอยากจะรบกวนทุกคนไม่ให้ได้อยู่สงบ ๆ อีกแล้ว” หลี่ซูถงทอดถอนใจ
ระหว่างที่พูดมีนักโทษเดินมาอย่างไร้เจตนา พอห่างออกไปห้าเมตรกว่า ๆ จู่ ๆ เยี่ยหว่านก็หันหน้ามองไปทางอีกฝ่าย
นักโทษนั้นถูกสายตาข่มขู่ไปถึงวิญญาณนี้จ้องมองเข้าก็หมุนตัวเดินไปทางอื่นอย่างไม่ทันรู้ตัว
หลี่ซูถงสามคนล้วนไม่ปรึกษาหัวข้อนี้อีกต่อไป หลินเสี่ยวเสี้ยวหันมาถามว่า “เจ้านาย ถึงเขาจะเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเงาก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ภูมิหลังของตัวตนสะอาดขนาดนี้ อย่างกับว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลชิ่งสักนิดเดียว”
ขณะนี้ทุกคนล้วนตัดสินไปแล้วว่าชิ่งเฉินเป็นคนของตระกูลชิ่ง
พอมาถึงระดับอย่างพวกเขา สิ่งที่ไม่เชื่อถือที่สุดก็คือความบังเอิญ
“นอกเสียจากประวัติของชิ่งเฉินนี่ยังปกปิดความลับที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเอาไว้” หลี่ซูถงกล่าว
“เจ้านาย ท่านเดาอะไรได้” หลินเสี่ยวเสี้ยวเอ่ยอย่างอยากรู้
หลี่ซูถงสั่นศีรษะ “ก็แค่พอเธอพูดอย่างนี้ขึ้นมา จู่ ๆฉันก็รู้สึกว่าเขาคล้ายกับคนคนหนึ่งนิดหน่อย”
“ศัตรู? หรือว่าสหาย? ผมกับแม่เยี่ยเคยเห็นไหมครับ” หลินเสี่ยวเสี้ยวอยากรู้
หลี่ซูถงกล่าวว่า “พวกเธอไม่เคยเห็นเขา แต่ไม่ช้าก็เร็วจะได้เห็นเอง เสี่ยวเสี้ยวเอ๊ย ความสัมพันธ์บนโลกนี้ถ้าเกิดสามารถใช้ศัตรูกับสหายมาแย่งแยกได้อย่างเรียบง่ายก็จะดีมากเลย”
พูดไป ๆ หลี่ซูถงอุ้มแมวสีเทาตัวใหญ่บนโต๊ะขึ้นมาแนบอก ถูคางของแมวใหญ่เบา ๆ
แมวใหญ่หลับตาลงอย่างสบายอารมณ์ ทอดร่างลงนอนบนตักของหลี่ซูถงอย่างเกียจคร้าน
เขาพูดกับหลินเสี่ยวเสี้ยวว่า “ฉันยิ่งสนใจชิ่งเฉินคนนี้เข้าไปใหญ่ เธอไปลองทดสอบบุคลิกเขาดูหน่อย”
หลินเสี่ยวเสี้ยวอึ้งไป “เจ้านาย ท่านมองเขาในแง่ดีเหรอ แต่เขาเป็นคนของตระกูลชิ่งนะ!”
“ฉันแค่ให้เธอไปลอบทดสอบเขาเท่านั้น ไม่ได้อยากจะทำอะไรอีก” หลี่ซูถงหัวเราะขึ้นมา “อีกอย่าง การแย่งคนจากในมือตระกูลชิ่งไม่ใช่ว่ายิ่งน่าสนใจเหรอ”
“แต่ผมรู้สึกว่าเขากับพวกเราไม่ใช่คนเส้นทางเดียวกัน” หลินเสี่ยวเสี้ยวจ้องมองเท้าของตนเองพึมพำเสียงต่ำ
หลี่ซูถงยิ้มเอ่ยว่า “ในองค์กรหนึ่งองค์กรคนประเภทอะไรล้วนต้องมี เสือที่เฝ้าภูเขา เหยี่ยวที่มองไกล หมาป่าที่สู้เก่ง เสือดาวที่คล่องแคล่ว สุนัขที่ซื่อสัตย์ ล้วนมีความรับผิดชอบของตนเอง”
หลินเสี่ยวเสี้ยวแววตาเปล่งประกาย “งั้นผมเป็นอะไรในองค์กรนี้”
หลี่ซูถงคิด ๆ ดู “ปลาที่ว่ายน้ำ”
เยี่ยหว่านด้านข้างเอ่ยโดยสงบว่า “ไม้ที่กวนอึ”
หลินเสี่ยวเสี้ยว “???”
…………………………………..
*หนอนกู่ ใครอ่านนิยายกำลังภายในอาจจะคุ้น ๆ มันชอบออกมาจากตัวละครเผ่าแม้ว (พูดอีกอย่างก็คือพวกเราคนไทยคนพม่านี่แหละ…..) ที่ชอบเลี้ยงหนอนกู่ ส่วนมากจะเรียกกันว่าเป็นวิชามารนอกรีต เป็นแมลงพิษทำคุณไสยชนิดหนึ่ง ฤทธิ์มักจะบรรยายว่าสามารถทำให้คนตายได้อย่างไม่รู้ตัวตามการสั่งการของคนเลี้ยง หรือเป็นยากระตุ้นกำหนัด หรือบางทีก็แบบจะกลายเป็นหุ่นเชิดของคนทำคุณไสยเลยก็มี หนึ่งในหลักการเลี้ยงที่โด่งดังที่สุดในการเลี้ยงสัตว์พิษพวกนี้คือการเอาแมลงพิษหลาย ๆ ประเภทมาจับใส่ไหใบเดียวกันฝังดินให้มันฆ่ากันเองจนเหลือหนึ่งเดียว คาดว่าที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อก็คือสิ่งนี้ค่ะ
หลินเสี่ยวเสี้ยวชอบเรียกเยี่ยหว่านว่า “แม่เยี่ย” เป็นการแซะว่าเยี่ยหว่านจู้จี้เหมือนคุณแม่น่ะค่ะ
ตอนที่ 9 – ฝันร้าย