[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 136 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 24) / ตอนที่ 137 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 25)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 136 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 24) / ตอนที่ 137 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 25)
ตอนที่ 136 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 24)
ภายในเขตเล็กๆ ของเมือง C ผู้คนที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งนับไม่ถ้วนเดินร่อนเร่อยู่บนถนน ทอดมองเส้นทางที่พังถล่มด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ไม่กล้าเชื่อว่าบ้านเรือนของตนกลับพังพินาศในเวลาเพียงชั่วพริบตา
กงฉือยืนอยู่ตรงมุมถนน บนท่อนแขนมีเลือดไหลซึมไม่ขาดสาย เสื้อผ้าฉีกขาดยับเยินไม่พอ ใบหน้ายังเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ตลอดทั้งร่างหมดสภาพโดยสิ้นเชิง
ศาสตราจารย์ยันไม้เท้าพยุงเดินเข้ามา ยื่นบุหรี่มวนหนึ่งส่งให้กงฉือ “สูบสักหน่อยสิ จะได้ผ่อนคลาย”
กงฉือเหลือบมองบุหรี่ในมือของศาสตราจารย์ ยิ้มปฏิเสธอย่างสุภาพ “ผมไม่สูบบุหรี่ครับ”
ศาสตราจารย์หัวเราะร่วนพลางเก็บบุหรี่กลับมา ก่อนหยิบไฟแช็คจากกระเป๋าออกมาจุดบุหรี่ให้ตนเอง สูบพลางกล่าวพลางว่า “พวกเราทุกคนดวงแข็งกันน่าดู”
ดวงแข็งจริงดังว่า เดิมทีพวกเขาวางแผนจะขับรถขึ้นเขาเพื่อเริ่มต้นสำรวจตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ระหว่างทางรถมีปัญหานิดหน่อยทำให้ขับขึ้นไปไม่ไหว จึงต้องหาโรงแรมเล็กๆ แถวนั้นหยุดพักผ่อนชั่วคราวและซ่อมแซมรถให้เรียบร้อย
เมื่อสองชั่วโมงก่อนพวกเขายังนั่งทานอาหารอยู่ในร้านใกล้กับโรงแรม ใครจะรู้ว่าพอทานไปได้ครึ่งมื้อโคมไฟบนหัวก็เริ่มโงนเงนไปมา ตอนนั้นพวกเขาตั้งสติได้ทันว่าเกิดแผ่นดินไหวจึงรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด อาการบาดเจ็บที่ขาของศาสตราจารย์เป็นเพราะสะดุดหกล้มขณะวิ่งหนี
“โชคดีที่ไม่ได้ขึ้นเขา” ศาสตราจารย์สูบบุหรี่แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “บนเขาฉางเสวี่ยเกิดหิมะถล่ม ฉันเพิ่งรู้ข่าวเมื่อกี้นี่เอง”
ตันหวายตกตะลึง เม้มปากไม่พูดอะไรสักคำ ระดับแผ่นดินไหวของที่นี่นับว่ารุนแรงไม่น้อย โอกาสเกิดหิมะถล่มก็มีสูงมาก แม้จะคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้ว ทว่าบัดนี้กลับรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง
แค่นิดเดียว เกือบไปอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะอันตรธานไปจากโลกนี้ตลอดกาล โอเมก้าของเขายังเฝ้ารอเขาอยู่ แต่เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว
ศาสตราจารย์สูบบุหรี่จนหมดมวน ก่อนยันไม้เท้าเตรียมกลับศูนย์อพยพฉุกเฉิน กงฉือตั้งใจจะประคองเขาเดินไป ทว่าถูกปฏิเสธเสียก่อน
“แกจะมัวห่วงฉันทำไม ดูหน้าแกมอมขนาดนั้น ยังไม่รีบไปล้างหน้าล้างตาอีก”
กงฉืออึ้งงันไป คลี่ยิ้มพลางชักมือกลับมา จากนั้นก็ชิงหิ้วปีกพาไปส่งศูนย์อพยพฉุกเฉินโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“เฮอะ ฉันว่าถ้าแกหาเมียแล้วตื๊อหัวชนฝาอย่างนี้ แกคงมีเมียเป็นตัวเป็นตนไปนานแล้ว?”
กงฉือไม่ต่อล้อต่อเถียง ถึงอย่างไรตาแก่ขี้โมโหก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เจรจาด้วยเหตุผลได้
เนื่องจากแผ่นดินไหว สัญญาณของที่นี่จึงใช้การไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แม้แต่จะโทรศัพท์แจ้งข่าวกงฉือก็ทำไม่ได้
หน่วยกู้ภัยต้องสามารถติดต่อภายนอกได้แน่นอน แต่พวกเขายุ่งอยู่กับการกู้ชีพ กงฉือไม่อาจเข้าไปรบกวนพวกเขาเช่นกัน
อับจนหนทาง ทำได้เพียงนั่งไม่เป็นสุขอยู่ในศูนย์อพยพฉุกเฉิน
_________
ตันหวายเพ่งมองจอโทรทัศน์เป็นเวลาห้านาทีเต็ม ห้านาทีผ่านไป เขาจึงค่อยได้สติกลับมา พลางเริ่มค้นหาตั๋วเครื่องบินไปยังเมือง C ทันทีทันใด
เที่ยวบินทั้งหมดบนแอพฯ ซื้อตั๋วล้วนถูกยกเลิก ตันหวายรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเสียจริง เมือง C เกิดแผ่นดินไหว จะมีเครื่องบินเดินทางไปที่นั่นได้อย่างไรกันเล่า
ตันหวายถูมืออย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะสวมเสื้อคลุม สอดกุญแจรถใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไปข้างนอก
“ฮั่วหมิงเยว่!”
ตันหวายชะงักงัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะแยกแยะออกในตอนกลางคืนว่าคนที่เรียกเขาเป็นใคร เจี่ยงหลีเหมือนโดนคนต่อยมา หมัดหนักไม่เบาทีเดียว บนใบหน้ายังมีบาดแผลฟกช้ำอย่างชัดเจน
เบือนสายตากลับมาอย่างเฉยเมย ตันหวายไม่หยุดฝีเท้า มองข้ามตัวปัญหานี้ไปอย่างไม่ไยดี
“ฮั่วหมิงเยว่!” เจี่ยงหลียื่นมือไปขวางทางตันหวายเอาไว้ “คุณไม่คิดจะอธิบายอะไรเลยหรือไง?”
ตันหวายเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเจือแววอ่อนระโหยโรยแรง
“ตอนนี้ผมติดธุระสำคัญมาก” ตันหวายกล่าว “คุณมีเรื่องอะไรไว้คุยตอนผมกลับมาได้ไหม?”
เจี่ยงหลีแววตาลึกล้ำ จ้องมองตันหวายไม่พูดไม่จา แต่แสดงท่าทีชัดเจนว่าตันหวายต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
คนทั้งสองสบตากันเนิ่นนาน ตันหวายหมดความอดทน ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญ “คุณจะไม่หลีกไปจริงๆ?”
เจี่ยงหลี “คุยกันให้รู้เรื่อง”
“ได้” ตันหวายเอาฝ่ามือถูกัน แล้วเหวี่ยงหมัดต่อยเข้าที่หน้าของเจี่ยงหลี
พอเจี่ยงหลีโดนต่อยจนมึนงง ตันหวายก็ก้าวขึ้นรถโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากขับรถออกไปได้หลายร้อยเมตร ตันหวายจึงค่อยโทรหาฮั่วหมิงให้เขามารับตัวเจี่ยงหลีที่โดนต่อยสลบไป
ตอนที่ 137 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 25)
“นายคิดจะหนีไปไหนอีกหา?” ฮั่วหมิงแทบอยากจะยื่นมือทะลุจอโทรศัพท์ไปกระชากไอ้น้องชายเจ้าปัญหาปลายสายออกมาอัดสักป้าบ
พอได้ยินเสียงรถเคลื่อนตัวจากปลายสาย ฮั่วหมิงก็ขมวดคิ้ว “นายจะไปไหนกันแน่ ถ้านายไม่ตอบเดี๋ยวฉันจะแจ้งความเลขทะเบียนรถนายมันตลอดทางนี่แหละ”
ตระกูลฮั่วรู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา การตามหาใครสักคนย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย ตันหวายรู้ว่าปิดบังต่อไปไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “ผมจะไปเมือง C”
ฮั่วหมิงเกือบจะลืมหายใจไปเฮือกหนึ่ง เบื้องหน้าพร่าพรายด้วยจุดแสงวิบวับ ฮั่วหมิงผ่อนอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “นายโง่หรือเปล่า ฮั่วหมิงเยว่ ตอนนี้ทางด่วนปิดไปแล้ว นายคิดว่านายจะขับฝ่าไปได้หรือไง?”
ตันหวายตะลึงงัน รีบเบี่ยงรถจอดข้างทางทันที ถือโทรศัพท์ค้างอย่างเหม่อลอยสักพักใหญ่ ก่อนกล่าวเสียงสั่นเครือว่า “พี่…ช่วยผมหน่อยสิ”
ฮั่วหมิงใจอ่อนยวบในพริบตา เจ้าน้องชายของเขาไม่ได้พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดูสงสารเช่นนี้มานานมากแล้ว
“นายอย่าเพิ่งใจร้อน” ฮั่วหมิงหยิบเสื้อสูทบนโซฟาแล้วเดินออกไปข้างนอก “ฉันจะไปดูไอ้งั่งเจี่ยงหลีนั่นก่อน นายอดทนรอฉัน ฟังที่ฉันบอกว่านายไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
ตันหวายรู้ดีว่าฮั่วหมิงพูดถูกทุกอย่าง แต่เขาก็ยังวิตกกังวล ภูเขาฉางเสวี่ยเกิดหิมะถล่ม นั่นมันหิมะถล่มเชียวนะ ใครจะรอดชีวิตจากหิมะถล่มได้กัน ตันหวายคิดฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ
ขับรถกลับมาบ้านอย่างสับสนงงงวย ฮั่วหมิงสั่งให้คนรับตัวเจี่ยงหลีไปส่งเรียบร้อยแล้ว
ฮั่วหมิงพูดอย่างรังเกียจ “ฉันชกหน้ามันเองแหละ แน่จริงก็มาหาฉันสิวะ มาหานายทำบ้าอะไร!”
ตันหวายยกยิ้มฝืดเฝื่อนไม่เอ่ยวาจา ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจว่าเจี่ยงหลีเป็นตายร้ายดีอย่างไร สมองเขาคิดถึงแต่เรื่องของกงฉือ
ฮั่วหมิง “ตอนนี้ฉันยื่นเรื่องไปให้สายการบินในเครือแล้ว คงผ่านอนุมัติภายในสามวัน”
ตันหวายพูดไม่ออก รออีกสามวันก็ไม่ทันการแล้ว
(ท่านเจ้าของร่าง ท่านต้องการไปเยี่ยมชมร้านค้าสักหน่อยไหม?) ระบบแจ้งเตือนด้วยความหวังดี
ตันหวายแววตาเป็นประกาย เร่งรีบกล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่งแล้ววิ่งเข้าห้องไป ปล่อยให้ฮั่วหมิงงงเป็นไก่ตาแตกอยู่คนเดียว
วิ่งเข้ามาถึงห้องภายในชั่วอึดใจ ตันหวายล็อกประตูห้องนอนแน่นหนา รีบร้อนกล่าวว่า “เปิดดูร้านค้า”
ระบบดึงหน้าจอเรืองแสงออกมาอย่างว่าง่าย ตั้งวางไว้ในจิตสำนึกของตันหวาย
ภายในร้านค้าวางขายสินค้าใหม่มากมาย ตันหวายปัดเลื่อนไปหลายหน้าอย่างใจร้อน ก่อนชะงักการเคลื่อนไหวเมื่อมองเห็นอุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลัน
“สิ่งนี้ ช่วยให้ผมไปอยู่ใกล้ตัวกงฉือได้ไหม?”
(ได้แน่นอน) ระบบกล่าว (แต่ของชิ้นนี้ราคาสูงนิดหน่อย ต้องการค่าประสบการณ์หนึ่งร้อยแปดสิบแต้ม)
“เอามาเลย” ตันหวายตอบทันที ค่าประสบการณ์เทียบอะไรไม่ได้เลยกับชีวิตของกงฉือ
(ท่านเจ้าของร่างแลกซื้ออุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลัน ใช้จ่ายค่าประสบการณ์หนึ่งร้อยแปดสิบแต้ม ขณะนี้คงเหลือเจ็ดร้อยแต้ม ท่านเจ้าของร่างโปรดพยายามต่อไป)
“ขอใช้งานเดี๋ยวนี้”
ระบบไม่ตอบโต้ เบื้องหน้าตันหวายมืดลงชั่ววูบหนึ่งก่อนจะพบว่าทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะอันขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
“กงฉืออยู่ที่นี่ไหม?” ตันหวายสูดหายใจลึกสองที รู้สึกว่าตอนนี้หัวใจของตนกระสับกระส่ายยิ่งนัก
“ฮั่วหมิงเยว่!”
สุ้มเสียงไม่มั่นใจดังแว่วมาจากข้างหลัง พอตันหวายได้ยินหัวใจก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ
ตันหวายหันขวับกลับมา จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดหน้าเอาไว้ ไม่อยากให้เขามองเห็นสีหน้าของตนในตอนนี้
เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง ตันหวายก็เม้มปากเดินเข้าไปใกล้กงฉือ ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่เอื้อนเอ่ยคำพูดใด
จนกระทั่งตอนนี้กงฉือก็ยังไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าคือตันหวายจริงๆ พลางยกมือขึ้นหมายจะสัมผัสเขา ทว่าตันหวายอยู่ห่างจากเขาพอสมควร เขาลุกขึ้นยืนไม่ไหวจึงเอื้อมไม่ถึง
“คุณมาได้อย่างไร” กงฉือชะงักไปสักครู่ ถามด้วยความฉงน “คุณมาจากทางไหนกัน?”
ก่อนที่เขาจะขึ้นเขาได้ข่าวว่ารถไฟความเร็วสูงของเมือง C ปิดบริการแล้ว ตกลงเขามาได้อย่างไรกันแน่ หรือว่าจะหายตัวมา?
ตันหวายมองสำรวจกงฉืออย่างถี่ถ้วน สายตาจับจ้องไปยังท่อนขาที่บาดเจ็บของเขา พลันรู้สึกปวดร้าวในหัวใจ