[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 152 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (1) / ตอนที่ 153 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (2)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 152 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (1) / ตอนที่ 153 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (2)
ตอนที่ 152 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (1)
ตันหวายพิงตัวกับผนังอย่างเศร้าสลด จ้องมองผู้เป็นแม่นั่งเช็ดน้ำตาเงียบๆ อยู่ข้างกายเขาด้วยความปวดร้าวใจ
เรื่องการช่วยชีวิตไป๋เยว่ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจเลย แต่บัดนี้ต้องมาเห็นแม่ระทมทุกข์ กลับทำให้เจ็บปวดเสียใจอย่างสุดซึ้ง
(ท่านเจ้าของร่าง ท่านดูท่าทางไม่ดีเลย)
ตันหวายสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นด้วยแววตาโศกเศร้า “คุณคือสิ่งที่ผมจินตนาการขึ้นมาสินะ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณไม่มีอยู่จริง ทำไมคุณถึงยังอยู่อีก?”
(ท่านเจ้าของร่างเพี้ยนไปแล้วหรือไง?) น้ำเสียงของระบบเจือแววไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ (มาซางว่าแท้น้อบักผีบ้าหนิ ทนบ่ไหวจนสิป้อยภาษาถิ่นข่อยแล้วเด้)
ตันหวาย “…คุณเป็นคนอีสาน?”
“แม่นอีหลีล่ะเนาะ”
“…ผมพูดภาษาอีสานไม่เป็น ทำไมคุณต้องพูดภาษาอีสานด้วยเล่า” ตันหวายงงไปหมดแล้ว
ระบบกลอกตาทีหนึ่ง อยากบอกความในใจเหลือเกินว่าเจ้าของร่างคนนี้ช่างโง่เง่า โง่เง่าจริงๆ
ระบบเปลี่ยนสำเนียงถิ่นของตนเองเป็นสำเนียงภาษากลางแบบมาตรฐาน สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง (เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่สิ่งที่ท่านจินตนาการขึ้นมาเอง ตื่นสักทีท่านเจ้าของร่าง)
ตันหวายคิดทบทวนอยู่พักใหญ่ เพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าตนอาจจะคิดมากเกินไป
“ถ้าอย่างนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ตันหวายถามอย่างเหม่อลอย
(เราเป็นแค่ลูกจ้างที่ทำงานให้กับศูนย์บัญชาการ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…เอ๋ หมดเวลาแล้ว?)
ตันหวายใจหล่นวูบ รีบเงยหน้าขึ้นอย่างร้อนรน จารึกบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของตนทั้งสองไว้ในความทรงจำแล้วเร่งรีบจากไป
_________
นี่คือโลกอันอุดมไปด้วยพลังปราณ ท่ามกลางยอดเขาสลับซับซ้อนของที่นี่ มีสำนักเซียนตั้งอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ก่อกำเนิดเป็นยุทธภพอันงดงามตระการตา
บนยอดเขาไท่อินซาน หมู่วิหคบินฉวัดเฉวียนกลางเมฆหมอก สรรพชีวิตต่างบำเพ็ญเพียรเหนือจอมเขาสูง ที่นี่คือที่ตั้งของประตูสำนักจู๋กวงอันเป็นหนึ่งในสามยอดสำนักเซียน
ประตูหินเบื้องหน้าถ้ำค่อยๆ เคลื่อนเปิดออกเสียงดังสนั่น บุรุษชุดเทาผู้มีดวงตาไร้ประกายเดินออกมาจากด้านใน เขาเดินโซเซไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะล้มลงกองกับพื้นเพราะฝืนร่างกายไม่ไหวในที่สุด
หมู่วิหคบินโฉบไปมาเป็นครั้งคราว เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่แผ่คลุมไปทั่วบริเวณก็แผดร้องเสียงโหยหวน
ที่นี่คือยอดสูงสุดของไท่อินซาน สายลมกระโชกสามารถกลบเสียงเล็กน้อยทั้งปวงจนมิด รวมทั้งเสียงฝีเท้าของใครบางคน
เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งสง่างามยืนห่างจากศพไปไม่ไกล สายตาฉายแววสับสน เด็กหนุ่มเดินเข้ามาคุกเข่าลงข้างศพช้าๆ ร้องเรียกศพตรงหน้าอย่างแผ่วเบา “ซือจุน[1]…”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบเขา เด็กหนุ่มตระหนักถึงข้อนี้เช่นกัน สีหน้าหมองเศร้าอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไป
“ซือจุน…ซือจุน…ซือจุนศิษย์สำนึกผิดแล้ว…”
ไม่มีผู้ใดตอบรับ ความคลุ้มคลั่งฉายวาบในดวงตาของเด็กหนุ่ม ก่อนกล่าวพึมพำขึ้นว่า “ข้าต้องแก้แค้น…ต้องแก้แค้น…”
เด็กหนุ่มออกไปจากที่นี่แล้ว ทิวทัศน์ภูเขาหลังเขาจากไปยังคงเดิม ผู้ที่นอนแน่นิ่งบนพื้นก็ยังอยู่บนพื้นเช่นเดิม หลับใหลชั่วนิจนิรันดร์
“ชิบหาย! คราวนี้เป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย” ตันหวายอยากจะขยับแขนตัวเอง แต่กลับเจ็บปวดไปทั้งกายจนขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย
(ท่านเจ้าของร่างอย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าของร่างเดิมเส้นลมปราณขาดสะบั้นหมดแล้ว ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกสักพักใหญ่)
ตันหวายตื่นตกใจ เจ้าของร่างเดิมเป็นใครมาจากไหนกันแน่ แล้วคนคนนั้นต้องเกลียดเขาขนาดไหนถึงได้ตัดเส้นลมปราณเสียขาดสะบั้นหมดตัว
(นี่ เราเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควร ท่านเจ้าของร่างรับชมประวัติเจ้าของร่างเดิมไปพลางก่อนดีไหม)
ตันหวายคิดคำนวณดู พบว่านี่เป็นวิธีฆ่าเวลาที่ดีเช่นกัน “ขอผมดูประวัติเจ้าของร่างเดิมหน่อย”
(ตกลง แต่เราขอแจ้งปณิธานของเจ้าของร่างเดิมให้ทราบเสียก่อน เจ้าของร่างเดิมเป็นประมุขสำนักเซียน ดังนั้นปณิธานของเขาจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เจ้าของร่างเดิมมีศิษย์น้อยผู้หนึ่ง ปณิธานของเขาคือการคลายปมในใจกับศิษย์น้อย นำพาศิษย์กลับสู่หนทางที่ถูกต้อง และทำให้สำนักจู๋กวงผงาดขึ้นสู่ตำแหน่งสามยอดสำนักเซียนอีกครั้ง)
——
[1] ซือจุน หมายถึง อาจารย์ที่เคารพ
ตอนที่ 153 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (2)
ในโลกอันอุดมไปด้วยพลังปราณ ผู้ใดก็ตามที่มีรากปราณล้วนเข้าสู่หุบเขาเซียนเพื่อฝึกบำเพ็ญตน ส่วนผู้ที่รั้งอยู่ในโลกมนุษย์ล้วนเป็นพวกไม่มีรากปราณหรือไม่อาจตัดขาดจากโลกียวิสัย ทว่าในหมู่บ้านเล็กๆ เบื้องล่างขุนเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทุกผู้คนต่างดิ้นรนตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นไป หากคนในตระกูลมีโชควาสนาได้เข้าสู่หุบเขาเซียน ก็นับเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูล สร้างเกียรติยศชื่อเสียงยิ่งกว่าสอบได้ตำแหน่งจอหงวนเสียอีก
ช่างน่าเสียดายที่แม้หมู่บ้านแห่งนี้จะตั้งอยู่เชิงเขาไท่อินซาน แต่ไม่รู้ว่าพลังปราณถูกผู้บำเพ็ญเพียรบนภูเขาซึมซับจนหมดสิ้นหรืออย่างไร จึงส่งผลให้ที่นี่ไม่ปรากฏผู้มีรากปราณมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว
บนเชิงเขามีครอบครัวมนุษย์ผู้ยากไร้ บุรุษหัวหน้าครอบครัวมีนิสัยสมถะและมานะบากบั่น จิตใจโอบอ้อมอารี สั่งสมบุญกุศลไว้มากมาย วันที่ภรรยาให้กำเนิดบุตรเขาได้ช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งจากบนภูเขา
“วันนี้เมียข้าคลอดลูก ข้าพบเจ้าระหว่างทางไปหาหมอตำแยพอดี” ชายฉกรรจ์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าไม่จางหาย
คนชุดเทาสีหน้าซีดเซียว เอนหลังพิงกับโม่หินในลานบ้านอย่างอ่อนแรง เหม่อมองชายฉกรรจ์นิ่งพลางเอ่ยถามด้วยความฉงน “เห็นชัดว่าเจ้าเป็นห่วงเป็นใยภรรยาของเจ้า แต่เหตุไฉนถึงกระหยิ่มยิ้มเช่นนี้กัน?”
ชายฉกรรจ์หัวเราะร่า หยาดเหงื่อบนหน้าผากต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายพราวระยับ “ข้าเคยไปหาหมอดูมา เขาทายว่าข้าบุญวาสนาดี วันข้างหน้าจะมีลูกหลานเต็มบ้าน ตัวข้ากับครอบครัวต้องอายุมั่นขวัญยืนเป็นแน่แท้ ฉะนั้นย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น”
คนชุดเทานัยน์ตาทอแสงวาววับ มองดูไอปราณดำมืดบนหน้าผากของชายฉกรรจ์ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าถือสาหรือไม่หากข้าจะช่วยดูชะตาให้เจ้า?”
“เจ้าดูดวงเป็นด้วยรึ?” ชายฉกรรจ์หัวเราะหึๆ “ข้าช่วยชีวิตท่านเซียนไว้หรอกหรือนี่?”
ว่าแล้วชายฉกรรจ์ก็จ้องมองประตูบ้านที่ปิดสนิทไม่วางตาไปพลาง ยื่นมือของตนส่งให้ไปพลาง
คนชุดเทาไม่ได้รับไว้ แต่กลับผุดลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้าโม่หินแล้วเอ่ยช้าๆ “อีกสิบวันที่นี่จะประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่ รีบย้ายออกไปเสียเถิด”
พอกล่าวสิ้นคำก็ไม่ใส่ใจท่าทีของชายฉกรรจ์ ก่อนจะพยุงร่างตนเองเดินกะปลกกะเปลี้ยจากไป
ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูบ้าน เสียงทารกร้องไห้ก็พลันแว่วดังออกมาจากในห้อง คนชุดเทาชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ออกมาแล้วๆ เป็นคุณชายตัวน้อย…”
ภาพความฝันหายวับไปกะทันหัน ตันหวายนอนอยู่บนพื้นอย่างสับสนงงงวย “คุณให้ผมดูอันนี้ไปทำไม?”
(นี่เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเฟิงหลิวหลีกับศิษย์น้อยของเขา)
เฟิงหลิวหลีก็คือเจ้าของร่างเดิมที่ตันหวายสิงสถิตอยู่ และเป็นประมุขแห่งขุนเขาไท่อินซาน ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักจู๋กวง
เฟิงหลิวหลีผู้นี้ชีวิตยากแค้นลำเค็ญ บิดามารดาความเป็นมาไม่กระจ่างชัด ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นเด็กขอทานอยู่ในตลาด ภายหลังโชคชะตาพลิกผัน จึงเริ่มต้นก้าวเข้าสู่หนทางแห่งเซียน
เฟิงหลิวหลีบำเพ็ญเพียรตามวิถีบรรพชิตผู้ละซึ่งกิเลส แต่ไหนแต่ไรไม่เคยยึดติดกับผู้อื่น แม้กระทั่งบรรดาศิษย์ที่ตนรับเข้ามาก็มิได้ผูกพันเฉกเช่นอาจารย์กับศิษย์ คำนึงถึงแต่ว่าไม่อยากออกนอกลู่นอกทางของตน ทว่าข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือศิษย์น้อยผู้นั้นของเขา
“ศิษย์น้อย?” ตันหวายครุ่นคิดดูแล้ว รู้สึกว่าชายคนนั้นดูแก่กว่าเฟิงหลิวหลีเสียอีก ทำไมถึงเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าศิษย์น้อย
(อย่านึกเชียวว่าเราไม่รู้ว่าท่านคิดอะไร ดูต่อให้จบก่อนไม่ได้หรือไง?)
ไท่อินซานทิวทัศน์งามตระการเสมอมา นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหลิวหลีได้กลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้งจนแสบจมูกเช่นนี้
“ซือฝู[2] กองโจรขี่ม้าล้อมอยู่ข้างล่างไท่อินซานขอรับ” ลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้าสำนักตรงรี่เข้ามารายงาน แต่บนใบหน้ากลับไม่เห็นแววกังวล ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนแต่อย่างใด
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหลิวหลีรู้สึกตัวว่าวิถีของเขาอาจเกิดอุปสรรค เขาบำเพ็ญเพียรตามวิถีละซึ่งกิเลส แต่มิใช่วิถีละทิ้งมโนธรรม
เรื่องทางโลกไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขามากมายนักก็จริง ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนใดก็ไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้ประชาชนข้างล่างภูเขาของตนต้องเสียเลือดเสียเนื้อ
“ตามศิษย์พี่ของเจ้ามาสักสองสามคน ข้าจะลงเขา” เฟิงหลิวหลีสีหน้าเรียบเฉย ระหว่างคิ้วตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เกิดความผิดพลาดขึ้นตรงไหนกันแน่ เฟิงหลิวหลีขมวดคิ้ว ตลอดระยะเวลาหลายปีที่เขามุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญตน ตกลงแล้วสำนักจู๋กวงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง?
——
[1] ซือฝู หมายถึง ท่านอาจารย์